แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 488 ใช่ และก็ไม่ใช่
“หนูกลัวพออาจารย์เห็นว่าเป็นเงินก็จะคิดว่าหนูติดสินบน จากนั้นก็จะโมโหแล้วริบโอกาสคืน ไว้หนูค่อยให้อาจารย์ดีกว่า”
“เงิน?” ศาสตราจารย์หลิวนึกไม่ถึงว่าในนั้นจะเป็นเงินจริงๆ
“ค่ะ เมื่อเย็นวานหวางย่าเฟยมาหาหนู บอกว่าต้องการให้ค่ารักษากับหนู หนูคิดว่าเงินนี้ถือเป็นการยอมรับในความสามารถในการทำงานของอาจารย์กับหนูเลยควรรับไว้ แต่ตอนนี้หนูไม่มีใบประกอบโรคศิลปะ ถ้ารับไว้ก็เท่ากับรักษาโรคโดยไม่มีใบอนุญาต ดังนั้นหนูเลยอยากเอาให้อาจารย์ค่ะ”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้าแล้วหยิบซองจดหมายมาเปิดดู จากนั้นก็คิ้วขมวด
“ทำไมไปเอาเงินเขามาเยอะขนาดนี้?”
“…นี่เหรอเยอะ? มิน่าอาจารย์ทำงานวิจัยมาตลอดชีวิตยังอยู่ได้แค่อพาร์ทเม้นท์เก่าๆ”
“ฉันมีบ้านแต่ขายไปแล้ว…เอาส่วนนี้ไปคืนเขา ส่วนนี่แบ่งไว้เป็นเงินทำวิจัยให้รุ่นพี่เธอ อันนี้ให้เธอ”
ศาสตราจารย์หลิวควักเงินออกมายี่สิบ เสี่ยวเชี่ยนน้ำตาจะไหล
“อาจารย์ ในใจของอาจารย์หนูมีค่าแค่ยี่สิบเองเหรอคะ?”
เงินที่หวางย่าเฟยให้ไม่กี่ร้อยนี่เดิมก็ไม่ได้มากมายอยู่แล้ว อาจารย์ยังจะให้เอาไปคืนเยอะขนาดนี้อีก มาถึงเธอแค่ยี่สิบ ทำแบบนี้ถึงได้ไม่มีเพื่อนไง
“ในใจของฉันเธอประเมินค่าไม่ได้ จะให้ใช้เงินมาเป็นตัววัดไม่ได้เข้าใจไหม? อีกอย่างครอบครัวของหวางย่าเฟยก็ฐานะไม่ดี ทหารยศต่ำๆแบบเขาจะมีเงินสักเท่าไรกัน?”
“แต่ไปรักษาที่ไหนก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น จะมาคิดราคาถูกๆเพราะพวกเราไม่สั่งยาให้ได้ไงคะ อาจารย์ทำให้ราคาตลาดมันวุ่นวาย คนในวงการเขาจะเกลียดเอานะคะ”
เสี่ยวเชี่ยนรักษาคนไม่เคยคิดราคาถูกๆ หน้าที่การงานของเธอก้าวหน้าจนรู้จักคนไปแทบทุกวงการ แต่อาจารย์สนใจแต่สังคมชั้นล่าง ค่ารักษาถูกแล้วถูกอีกจนสร้างความหมางใจให้คนในแวดวงเดียวกันไม่น้อย
“เฉินเสี่ยวเชี่ยน ในอนาคตเธอจะเดินไปทางไหน?”
“หนูแพลนไว้ว่าจะรับปรึกษาส่วนตัวให้กับคนระดับสูงค่ะ ตอนนี้ตลาดยังขาดแคลนในเรื่องนี้…ถึงหนูไม่ทำก็มีคนอื่นทำอยู่ดี จะปล่อยให้แกะตัวอ้วนๆของบ้านเราหนีเอาเงินไปเสียให้ต่างชาติได้ไงคะ อีกอย่างเรื่องของสังคมพื้นฐานจิตใจของคนบ้านเรา พวกฝรั่งใช่ว่าจะเข้าใจได้ดี”
ความหมายก็คือ ในอนาคตประธานเชี่ยนไม่เก็บแพงเท่าไรหรอก แต่จะเก็บให้แพงที่สุด ฆ่าแกะตัวอ้วนๆให้เมามัน
เสี่ยวเชี่ยนพูดให้ดูแย่ไว้ก่อน เป้าหมายของเธอไม่มีทางเปลี่ยน เธอทำตัวเป็นคนดีอย่างอาจารย์ไม่ได้ การคิดค่ารักษาถูกๆหรือฟรีบ้างไม่เหมาะใช้กับคนมีเงิน คนที่มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีในระดับหนึ่งจะคิดว่าราคาถูกๆใช่ว่าจะดี
แต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ ศาสตราจารย์หลิวไม่ได้รู้สึกโกรธกับการพูดความคิดออกมาตรงๆของเสี่ยวเชี่ยน แต่พยักหน้าอย่างเงียบๆ
“คนเรามีปณิธานที่ไม่เหมือนกัน ฉันไม่บังคับให้เธอมาเป็นอย่างฉันหรอก อีกอย่างสิ่งที่เธอพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล งานด้านเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวระดับสูงยังเป็นที่ขาดแคลนจริงๆนั่นแหละ เพียงแต่…”
“เพียงแต่หนูไถเงินกับคนรวยแล้วก็อย่าลืมช่วยคนจน อย่าเอาแต่คิดถึงเรื่องเงินใช่ไหมคะ? อาจารย์วางใจได้ค่ะ อีกหน่อยถ้าหนูทำได้ขึ้นมา นอกจากหนูจะรักษาให้พวกคนรวยแล้วหนูก็จะรับงานที่อยู่ในขอบเขตของหนูเพื่อตอบแทนสังคมด้วยค่ะ”
ชาติที่แล้วเธอก็ทำแบบนี้
ศาสตราจารย์หลิวส่ายหน้า “ไม่ได้หมายความแบบนั้น อันที่จริงฉันแค่อยากบอกเธอว่า การเก็บค่ารักษาถูกแพงไม่ได้เป็นตัววัดหลักการของหมอ ในอนาคตขอแค่จดจำอาชีพของเธอ รวมถึงความสุขที่ได้จากการทำงานไว้ บางครั้งความภาคภูมิใจของพวกเราก็ไม่ได้มาจากตัวเงิน ยังมีสิ่งอื่นอีกที่ทำให้เรามีความสุข เธอเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ ฉันไม่อยากเห็นเธอเป็นหุ่นยนต์เก็บเงิน ฉันอยากให้เธอมีความสุขกับการเป็นหมอ”
คำพูดพวกนี้ชาติที่แล้วศาสตราจารย์หลิวไม่เคยพูดกับเสี่ยวเชี่ยน พอได้ยินแบบนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็แอบซึ้งใจ
“ดังนั้นที่อาจารย์รับรักษาฟรีบ่อยๆเป็นเพราะมีความสุขกับการได้ทำเหรอคะ?”
“ใช่สิ คนที่มาปรึกษาแต่ละคนล้วนให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันกับฉัน การได้สัมผัสกับพวกเขา ได้รู้จักโลกของพวกเขาก็ทำให้ฉันได้พัฒนาตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงินนะ”
“งั้นอาจารย์พัฒนาตัวเองมานานขนาดนี้…ทำไมยังถึงได้โดดเดี่ยว ไม่ได้ทำให้มีคนอยากจะเข้ามาทำความรู้จักอยู่อีกล่ะคะ?”
อยู่ๆศาสตราจารย์หลิวก็อยากเข้าไปตีเสี่ยวเชี่ยน เด็กคนนี้นี่ นับวันชักเอาใหญ่
“อาจารย์ อันที่จริงหนูมีคำถามที่อยากถามอาจารย์ค่ะ เรื่องนี้มันอัดอั้นอยู่ในใจหนูมานานแล้ว เกี่ยวกับเรื่องหูเหม่ยจิ้งค่ะ”
วันนี้คุยกันมาขนาดนี้แล้วเสี่ยวเชี่ยนจึงไม่อยากเก็บไว้อีกต่อไป เลยพูดเรื่องหูเหม่ยจิ้งออกมา
“เขาทำไมเหรอ?” พอได้ยินชื่อหูเหม่ยจิ้งศาสตราจารย์หลิวก็จริงจังขึ้นมาทันที
“ตอนที่หนูไปรักษาให้ฉู่เซวียนก็ได้ให้หูเหม่ยจิ้งทำแบบทดสอบด้วย อาจารย์ก็รู้ว่าหากในครอบครัวมีสมาชิกที่มีปัญหาจิตเวชสมาชิกคนอื่นๆก็ย่อมจะได้รับอิทธิพลในระดับที่แตกต่างไปด้วย แล้วหนูก็พบว่าหูเหม่ยจิ้ง…”
“เขาดูเป็นคนเก็บตัวใช่ไหม?”
“ตอนแรกก็เป็นแบบนั้นค่ะ แต่ต่อมาหนูก็พบว่าพอหนูพูดถึงเรื่องทฤษฎีสองดวงจิตเขาดูมีอาการที่แปลกไป พอคิดได้ว่าเขาเป็นลูกบุญธรรมของอาจารย์หนูเลยมาถาม…”
เสี่ยวเชี่ยนพยายามพูดให้ไม่มีช่องโหว่ แต่ศาสตราจารย์หลิวกลับส่ายหน้า แล้วยื่นมือไปดีดหน้าผากเสี่ยวเชี่ยน
“เธอเจออะไรเข้าใช่ไหมล่ะ กะแล้วว่าปิดบังเธอไม่ได้ เธอมันฉลาดเกินไป หูเหม่ยจิ้งไม่ได้เป็นคนสองบุคลิกหรอก แต่เป็นคนบุคลิกสลับขั้ว หรือที่ในทางจิตวิทยาเรียกว่าโรคเก็บซ่อนความทรงจำจากการสะเทือนใจ เธอก็คงรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร แสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไปก็เท่านั้น ยัยเสี่ยวปืนเหล็กเธอนี่มันแสบจริงๆ”
เสี่ยวเชี่ยนอึ้งก่อน จากนั้นหน้าก็ค่อยๆแดง รู้สึกว่าตัวเองอุตส่าห์พูดอ้อมตั้งไกล พยายามหาวิธีปิดบังวัตถุประสงค์ของตัวเอง แต่อาจารย์กลับมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
สมกับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาระดับปริญญาเอก ไอคิวสูงมาก มองเสี่ยวเชี่ยนออกได้อย่างง่ายดาย เสี่ยวเชี่ยนเห็นอาจารย์พูดออกมาตรงๆแบบนี้ก็ไม่เกรงใจจะปิดบังอีกต่อไป
“ใช่ค่ะ หนูรู้แล้วว่าเขาเป็นบุคลิกสลับขั้ว แต่หนูไม่ค่อยเข้าใจ…อาจารย์คะ ทำไมอาจารย์ถึงได้เสี่ยงอันตรายขนาดนั้นแบกรับความเจ็บปวดในใจเพื่อทำเรื่องแบบนั้นล่ะคะ ทำไปเพื่ออะไรกันแน่?”
ในเมื่อเป็นคนฉลาด งั้นก็เปิดอกคุยกันไปเลย เสี่ยวเชี่ยนพูดจากใจจริง เธอรู้สึกเป็นห่วงอาจารย์มาก
“เพราะรู้ว่าเธอเป็นห่วงฉัน ฉันถึงได้ไม่โกรธ…เด็กน้อยเอ๋ย ปีนี้เธออายุเท่าไรแล้ว?” ศาสตราจารย์หลิวถอนหายใจแล้วถามเสี่ยวเชี่ยน เวลานี้เสี่ยวเชี่ยนสัมผัสไม่ได้ถึงความทะนงตนในตัวเองของอาจารย์แบบที่มียามปกติ มีแค่ผู้ใหญ่ธรรมดาที่อยู่ตรงหน้า
“สิบเก้าแล้วค่ะ แต่หนูเคยทำแบบทดสอบจิตใจของตัวเอง ปาไปสี่สิบแล้วค่ะ”
ศาสตราจารย์หลิวยิ้มบางๆพลางส่ายหน้า “ต่อให้สภาพจิตใจเธอเท่าคนอายุสี่สิบ แต่ในสายตาฉันเธอก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี เด็กอายุเท่าเธออาจไม่มีทางเข้าใจการกระทำของฉัน อันที่จริงที่ฉันทำแบบนั้นก็เพราะมีเหตุผล”
“เหตุผลอะไรคะ?”
“มีอยู่สองเหตุผล หนึ่งคือจากมุมมองคนเป็นหมออย่างฉัน ฉันมีหน้าที่ทำแผนการรักษาที่ฉันคิดว่าเหมาะสมให้กับคนที่มีอาการบุคลิกสลับขั้ว แต่เหตุผลที่สำคัญกว่าก็คือ…”
สายตาของศาสตราจารย์หลิวทอดยาวไปไกล ทันใดนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็เข้าใจทันที
“เป็นเพราะอาจารย์อยากทำตามความปรารถนาของลูกชาย ดูแลคนที่เขาห่วงใยใช่ไหมคะ?”
ศาสตราจารย์หลิวพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้า
ใช่ และก็ไม่ใช่