แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 573 บังคับแต่งงานกับหน้าแตก
“หัวเราะอะไร ฉันกลุ้มจะตายอยู่แล้ว ฉันไม่ยอมแพ้ไอ้ลูกคนนี้หรอก ทุกคนกลุ้มเรื่องมันจะตายแต่มันกลับทำเหมือนไม่มีอะไร เชี่ยนเอ๋อ แกช่วยคิดหน่อยสิว่าจะทำไงกับน้องชายแกดี?”
“หนูจะทำอะไรได้ สอบได้แค่ไหนก็แค่นั้น ขนาดเลี่ยวฟู่กุ้ยยังทำอะไรไม่ได้ พวกหนูก็จนปัญญา”
เสี่ยวเชี่ยนพูดไปตามความจริง น้องเธอไม่ได้โง่ อีกทั้งยังเป็นคนช่างสังเกต แต่เรื่องการเรียนไม่เอาไหนจริงๆ
ตอนสอบเข้ามอปลายเธอกับอวี๋หมิงหลางผลัดกันติวให้ เอาแส้หนังเล็กๆคอยตี น้องชายเธอถึงได้เข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่แย่ที่สุดได้ หลังจากที่เจี่ยซิ่วฟางปรึกษากับเสี่ยวเชี่ยนแล้วจึงตัดสินใจยอมจ่ายแพงเอาเฉินจื่อหลงเข้าโรงเรียนเอกชนชั้นดี ต่อมาก็ได้ดอกเตอร์ในบ้านช่วยติวให้ตัวต่อตัว แล้วก็ได้คะแนนจำลองการสอบครั้งที่สาม 250…
แม้แต่อวี๋หมิงหลางยังสงสารเลี่ยวฟู่กุ้ย ที่พี่ฟู่กุ้ยต้องนอนซมคงเพราะรับไม่ได้
“คะแนนแบบนั้นเรียนปวส.ยังอาจจะไม่ได้เลย หรือนี่ฉันจะต้องยัดเงินให้เข้าเรียนปวส.หรือไม่ก็อาชีวะแล้วก็ใช้เงินซื้อใบจบให้เหรอ?” ตอนนี้เจี่ยซิ่วฟางโมโหมาก ช่วงสองปีมานี้เธอไม่ทำงานรับซื้อเศษวัสดุก่อสร้างแล้ว ไปเปิดร้านซักแห้งขนาดใหญ่แทน จ้างคนมาทำงานหมด เธอก็แค่ไปดูที่ร้านบ้างเพื่อตรวจเช็คบัญชี
ฐานะดีขึ้นแล้ว เงินที่ได้ในช่วงไม่กี่ปีมานี้เพียงพอที่จะให้เธอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ได้ต่อไปอย่างไม่ลำบาก ตึกแถวที่อยู่ในเมืองก็ได้ค่าเช่า รายจ่ายในบ้านพ่อเลี่ยวก็เป็นคนออก วันๆเจี่ยซิ่วฟางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเป็นคุณนายผู้พิพากษา
อย่างเดียวที่ทำให้ไม่สบายใจก็คือเส้นทางอนาคตของลูกชาย ไม่อยากให้ลูกชายความรู้น้อยต้องไปทำงานเป็นลูกน้องระดับล่างมีชีวิตลำบากเหมือนตัวเธอ แต่เด็กคนนี้เรื่องเรียนไม่เอาไหนเลยจริงๆ จะทางไหนก็มองไม่เห็นหนทาง
“เรื่องของน้องเดี๋ยวหนูขอปรึกษากับอวี๋หมิงหลางก่อนแล้วค่อยให้คำตอบนะแม่” เสี่ยวเชี่ยนวางแผนอนาคตของน้องชายไว้แล้ว เพียงแค่ยังไม่ได้ถามความเห็นของน้องชาย
“น้องชายแกนี่น่าปวดหัวจริงๆ แกเองก็เหมือนกัน” เจี่ยซิ่วฟางบ่น
“หนูว่าแม่เนี่ยพอเป็นคุณนายผู้พิพากษาแล้วชักจะเอาใหญ่ หนูไปทำให้ปวดหัวตรงไหน?” เสี่ยวเชี่ยนไม่ยอม
“แกกับหมิงหลางหมั้นกันมานานเท่าไรแล้ว? แกจะจบปริญญาโทอยู่แล้ว ทำไมเขายังไม่พูดเรื่องแต่งงานกับแกอีก? พวกแกนอนด้วยกันตั้งกี่ครั้งแล้ว ฉันนี่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แกก็อายุมากขึ้นทุกวัน—”
“เดี๋ยวนะแม่ หนูอายุมาก?” เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกเหมือนโดนโจมตีอย่างรุนแรง
เธอเรียนจบก่อนสองปี ตอนนี้เพิ่งอายุยี่สิบนิดๆ เป็นเหมือนดั่งดอกไม้แรกแย้ม ทำไมถูกแม่ทำเหมือนกับเธอกำลังจะแก่?
“ลูกสาวของน้องชายน้องสาวอาเลี่ยวของแกอายุเท่าแกแต่งงานมีลูกกันหมดแล้ว เมื่อวานยังอุ้มลูกมาให้ฉันดู แกกลับไปถามหมิงหลางดู ถ้าได้ก็จัดงานแต่งไปเลย จะยื้อไว้ทำไม ตอนแกเรียนจบฉันก็อยากให้แกแต่งงานแล้ว แต่แกบอกขอเรียนจบปริญญาโทก่อนค่อยว่ากัน นี่อีกเดี๋ยวก็จะจบแล้ว ฉันล่ะกลัวแกจะบอกขอจบดอกเตอร์ก่อนค่อยว่ากัน…”
เจี่ยซิ่วฟางพูดด้วยเสียงสูงมาตลอด เสียงดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ไปเข้าหูอวี๋หมิงหลาง เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเซ้นสิทีฟเขาให้ความสนใจทันที เขาแสดงท่าทีแอบฟังอย่างชัดเจน ถึงขนาดที่ว่าหยิบโทรศัพท์จากมือเสี่ยวเชี่ยนมากดเปิดลำโพง
เสี่ยวเชี่ยนโมโหจนกระทืบเท้าเขา แต่ก็ไม่อาจขัดขวางจิตใจที่แน่วแน่ของพี่หลางที่อยากฟังเรื่องสำคัญ
เขายังส่งสายตาได้ใจไปให้เธอ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของคุณนะ มันเกี่ยวกับผมด้วย
อาศัยความตัวสูงกว่า อวี๋หมิงหลางชูโทรศัพท์ขึ้น เสี่ยวเชี่ยนกลัวแม่จะพูดอะไรแปลกๆออกมา จึงรีบพูดดักคอไว้ก่อน
“พูดจาระวังหน่อยนะแม่ อย่าพูดอะไรที่ไม่ผ่านสมองออกมา”
“ไอ้ลูกเวรนี่ ถ้าฉันพูดไม่ใช้สมอง แล้วทีแกทำเรื่องที่ควรทำบ้างไม่ควรทำบ้างล่ะผ่านสมองหรือยัง? ผ่านแต่ไตใช่ไหมล่ะ”
คนเป็นแม่เวลาคุยกับลูกสาวจะไม่สนอะไรทั้งนั้น เจี่ยซิ่วฟางรู้ที่ไหนกันว่าลูกเขยก็อยู่แถวนั้นด้วย
“แม่งานยุ่งไม่ใช่เหรอ รีบไปทำเถอะ ถ้าแม่ยังไม่ไปจ่ายตลาดทำกับข้าวอีกอาเลี่ยวหิวไส้ขาดแน่” เสี่ยวเชี่ยนหมดแรงแล้ว นี่เธอมีแม่ที่โหดร้ายกับลูกสาวแบบนี้ได้ยังไงนะ?
“แกอย่ามาทำเฉไฉ รีบไปคุยกับหมิงหลางเรื่องแต่งงาน เด็กคนนี้นี่ ถ้ากล้านอนด้วยกันแล้วไม่แต่ง ฉันจะไปคุยด้วยตัวเอง”
“คุณน้าครับ ผมยินดีจะแต่งกับเสี่ยวเชี่ยนครับ เขายอมตกลงเมื่อไรผมจะรีบจัดงานทันทีครับ”
“เฮ้ย”
ถัดจากเสียงตกใจของเจี่ยซิ่วฟางเป็นเสียงของหล่น น่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ
เสี่ยวเชี่ยนมองบน ดี สมน้ำหน้า
เป็นไงล่ะผู้หญิงวัยทองปากคอเราะร้าย โดนคนอื่นได้ยินแล้วเป็นไงล่ะ?
“บอกแล้วไงว่าพูดอะไรให้ผ่านสมองก่อน ไม่ยอมฟัง” เสี่ยวเชี่ยนไม่สงสารแม่ตัวเองเลยสักนิด แค่เซ็งๆนิดหน่อย รู้สึกเหมือนตัวเองกับแม่ไปบีบบังคับให้อวี๋หมิงหลางแต่งงาน เธอไม่อยากมองอวี๋หมิงหลางเลยว่าตอนนี้เขามีสีหน้าแบบไหน แต่สายตาก็ยังแอบเหลืองมองอย่างควบคุมไม่ได้
อวี๋หมิงหลางมีสีหน้าเคร่งเครียด การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา จะมาทำเล่นๆไม่ได้
ทางด้านเจี่ยซิ่วฟางเงียบไปห้าวินาทีแล้วถึงมีเสียงของเจี่ยซิ่วฟางดังลอดออกมาจากสาย น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าตอนคุยกับเสี่ยวเชี่ยนอย่างเห็นได้ชัด
“หมิงหลาง อยู่กับเชี่ยนเอ๋อเหรอ? กินข้าวหรือยังล่ะ?”
“กำลังกินครับ คุณน้าครับผมยินดีจะแต่งกับเสี่ยวเชี่ยน ส่วนเป็นเมื่อไรเดี๋ยวผมขอตกลงกับเสี่ยวเชี่ยนก่อนแล้วจะบอกนะครับ ส่วนเรื่องต้าหลงอย่าเพิ่งใจร้อนนะครับ รอเสี่ยวเชี่ยนหยุดแล้วเดี๋ยวพวกเรากลับไปหานะครับ พวกเรามานั่งหารือกัน”
“อ้อๆๆ ไม่รีบๆ—อาทิตย์หน้ากลับมาไหม?” เจี่ยซิ่วฟางดีใจอย่างเห็นได้ชัด ถึงคำพูดที่พูดถึงลูกเขยจะถูกเจ้าตัวได้ยินจนน่าอาย แต่คำพูดของอวี๋หมิงหลางทำให้เธอพอใจมาก ปากบอกไม่รีบแต่กำหนดวันมาให้เฉย
“ไม่มีปัญหา ผมได้พักร้อนแล้วครับ”
“งั้นกลับมาค่อยคุยกัน” เจี่ยซิ่วฟางรู้สึกเหมือนได้เห็นลูกสาวใส่ชุดเจ้าสาว ความกลุ้มเรื่องคะแนน250เจือจางลงไปมากในทันตา วางสายอย่างมีความสุข
“เสียวเหม่ย ที่คุณน้าพูดได้ยินแล้วใช่ไหม?” อวี๋หมิงหลางถาม
เสี่ยวเชี่ยนหลบตา “ได้ยินแล้ว ก็แค่เรื่องน้องชายสอบได้ 250คะแนนไม่ใช่เหรอ? ฉันกำลังอยากพูดเรื่องนี้กับนายพอดี—”
“ปัญหาของเขาเดี๋ยวเราค่อยว่ากัน ผมหมายถึงเรื่องแต่ง—”
“โอ๊ะ ในบ้านไม่มีจิ๊กโฉ่ กินเกี๊ยวไม่ใส่จิ๊กโฉ่รสชาติแย่เลยนะ เดี๋ยวฉันลงไปซื้อก่อน”
อวี๋หมิงหลางมองตามเธอพลางครุ่นคิด นี่เขาคิดมากไปหรือเปล่า?
ทำไมรู้สึกเหมือนเสียวเหม่ยจะเลี่ยงเรื่องงานแต่ง?
หรือจะไม่พอใจที่เขาขอแต่งงานเป็นทางการไม่มากพอ บรรยากาศไม่ได้เรื่องเหรอ?
อวี๋หมิงหลางก้มหน้ามองกางเกงขาสั้นกับมือที่เลอะแป้งทำอาหาร ก็ได้ บรรยากาศมันก็ไม่ใช่จริงๆน่ะแหละ งั้นเดี๋ยวค่อยคุยกับเธอ
ครั้งนี้เขาลาพักร้อนด้วยวันหยุดที่สะสมมาหลายปีก็เพราะต้องการจัดการเรื่องใหญ่เรื่องนี้
เขาจะขอแต่งงาน จะเอาชื่อเสียวเหม่ยกับชื่อเขาบันทึกลงในสมุดเล่มแดงให้ได้ ซึ่งสมุดแดงเล่มนั้นมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘ทะเบียนสมรส’