แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 575 แผนการกับศิลปะ
“นายไปซื้อถุงยางหรือไปวางแผนมีบุตรมาหา?” เสี่ยวเชี่ยนถามอวี๋หมิงหลาง
อวี๋หมิงหลางล้วงกล่องเล็กๆออกมาจากกระเป๋าหลายกล่องพลางบ่น “ไปตั้งหลายร้านกว่าจะซื้อได้ ไม่เห็นจะอยากใช้ของพวกนี้เลย มันไม่ได้ฟีล”
เป็นแค่คำพูดธรรมดาทั่วไป แต่พอมันลอยเข้าไปในหูผู้หญิงที่ถูกสงสัยว่าเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานอย่างเสี่ยวเชี่ยนก็ถอดความออกมาได้ว่า
“นายไม่อยาก…ใช้เหรอ?”
ไม่ใช้=ต้องการมีลูก=ต้องแต่งงาน
อวี๋หมิงหลางเห็นเธอทำท่าช็อคหนัก เขาก็แสดงสีหน้าถอนหายใจออกมาไม่ได้
“ไม่มีใครชอบใช้ไอ้นี่หรอก แต่สถานการณ์คุณในตอนนี้ไม่เหมาะจะมีลูก รออีกสองสามปีค่อยว่ากัน”
พูดถึงเรื่องลูกเสี่ยวเชี่ยนก็เครียดขึ้นมาทันที กลัวเขาจะพูดเรื่องแต่งงาน
ปรากฏว่าเขาไม่พูดถึง เดินเอื่อยๆไปทำงานบ้าน ปกติเสี่ยวเชี่ยนเป็นคนรักสะอาดมาก ในบ้านเช็ดจนไม่ให้เหลือคราบฝุ่น เขาจึงเอาอุปกรณ์เช็ดกระจกที่เพิ่งซื้อมาไปเช็ดกระจกในบ้าน อีกทั้งยังรายงานเรื่องที่เมื่อกี้ออกไปซื้อของ
“เมื่อกี้ซื้อถุงยางเสร็จผมไปเดินเล่นในร้านหนังสือมา”
“ไปอ่านการ์ตูนมาเหรอ?”
“เปล่า อ่านอย่างอื่น”
ไม่ใช่แค่อ่าน ยังจดบันทึกด้วย
เล่นเอาเจ้าของร้านมองตาเขียว โตป่านนี้แล้วยังมาแอบคัดลอกหนังสือไม่มียางอายหรือไง
อวี๋หมิงหลางเห็นเจ้าของร้านไม่พอใจจึงซื้อหนังสือแต่ไม่ได้เอากลับมา ฝากไว้ที่ร้านพรุ่งนี้ถ้ามีโอกาสจะไปจดโน้ตต่อ
“นอกจากการ์ตูนแล้วนายอ่านอย่างอื่นด้วยเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนซื้อพวกการ์ตูนมาไว้ให้เขาไม่น้อย การ์ตูนแทบจะล้นห้องหนังสือแล้ว
“ความลับ”
ไม่คุยเรื่องที่เซ้นสิทีพทั้งสองคนก็อยู่อย่างมีความสุข ตอนเธอนั่งเขียนงานเขาก็หาอย่างอื่นทำอยู่ข้างๆ เวลาเขาอยู่บ้านเธอจะเขียนงานได้มากขึ้นเพราะรู้สึกจิตใจมั่นคง
ตัวเสี่ยวเชี่ยนเองก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร ชอบอยู่กับเขาชัดๆแต่พอพูดเรื่องแต่งงานก็วิตกกังวล
ดีที่อวี๋หมิงหลางไม่ได้พูดถึงเรื่องแต่งงานอีก แค่ตอนกินข้าวเย็นพูดเรื่องต้าหลงขึ้นมา
“เรื่องต้าหลงคุณวางแผนไว้ว่ายังไง?” อวี๋หมิงหลางถามเสี่ยวเชี่ยน
เสี่ยวเชี่ยนวางชาม “ฉันคิดว่าจะให้ซื้อใบปริญญาแล้วให้เขาไปใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยในมหาวิทยาลัยมันไม่มีประโยชน์ มหาลัยที่ซื้อใบปริญญาได้สภาพแวดล้อมในโรงเรียนแย่มาก ส่วนใหญ่มีแต่เด็กเกเรมาอยู่รวมกัน วันๆคิดแต่เรื่องใช้เงิน เล่นเกม จีบสาว นิสัยอย่างเฉินจื่อหลงเข้าไปเสียคนแน่”
เฉินเจื่อหลงเรื่องเรียนไม่เอาไหน เรื่องเลวเรียนรู้ไว ถ้าสภาพแวดล้อมไม่ดีเขาก็จะเตลิดไปไกล เหตุการณ์เมื่อชาติก่อนเป็นหลักฐานชั้นดี
“แต่ตอนนี้เขาอายุยังน้อยนะ ทัศนคติมุมมองอะไรก็ยังมีไม่มากพอ ปล่อยให้เข้าสู่สังคมไวเกินไปจะยิ่งเสียคนง่าย”
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า เธอเองก็คิดแบบนั้น
“ดังนั้นคุณคิดว่า—” อวี๋หมิงหลางมองตาเสี่ยวเชี่ยน จากนั้นทั้งสองคนก็พูดออกมาพร้อมกัน
“เป็นทหาร”
แค่มองตาก็รู้กัน คิดเหมือนกันเปี๊ยบ
“แต่ว่าลูกเชี่ยน คุณถามต้าหลงหรือยังว่าเขาอยากเป็นทหารหรือเปล่า?”
อวี๋หมิงหลางคิดว่าค่ายทหารเป็นสถานที่ฝึกฝนคนได้ดี ถ้าเฉินจื่อหลงไปเป็นทหารสองปีย่อมมีส่วนช่วยเรื่องนิสัยและอารมณ์ ถ้าเด็กคนนี้ไม่ถนัดเรียนหนังสือไม่สู้ส่งไปเป็นทหารสองปี ออกมาแล้วค่อยว่ากันเรื่องอนาคต
ดูก็รู้ว่าต้าหลงไม่เหมาะจะเป็นทหารอาชีพ ค่ายทหารเป็นที่ที่หนักเกินไปสำหรับเขา
“คนนิสัยขี้เกียจอย่างนั้นมีเหรอจะยอม? เรื่องแบบนี้ไม่ต้องไปถามความเห็นหรอก ถ้าคะแนนสอบเข้ามหาลัยไม่ได้เฉียดใกล้มหาลัยกลางๆเลยก็ไปเป็นทหาร พอฤดูใบไม้ร่วงก็เข้าไปอยู่ในค่าย ถ้ากล้าหนีก็จัดการไปตามกฎคนหนีทหาร แต่อย่างต้าหลงไม่กล้าหรอก”
เสี่ยวเชี่ยนกล้าจัดการกับน้องชายขั้นเด็ดขาด
“คุณเคยคุยกับเขาแล้วใช่ไหม?”
“เมื่อก่อนเคยมีลองๆถาม นายรู้ไหมว่าน้องตัวแสบของฉันพูดว่าไง?” เสี่ยวเชี่ยนทั้งโกรธทั้งขำ
“เขาตอบว่าไง?” อวี๋หมิงหลางถามด้วยความสงสัย
“บอกว่าเป็นทหารน่ะยังพอทน แต่ถ้าไปเตะตาทหารหน่วยรบพิเศษเข้าจะทำไง?”
อวี๋หมิงหลางได้ยินก็ไม่พอใจ “เป็นทหารหน่วยรบพิเศษแล้วทำไม? ทหารหน่วยรบพิเศษเป็นจอมทหารเป็นเกียรติอันสูงสุดของทหาร เขายังกล้ารังเกียจพวกเราอีก ใช่ว่าทุกคนจะเข้าไปเป็นได้นะ”
“เขาบอกว่าทหารหน่วยรบพิเศษฝึกหนัก ใช้ฮอร์โมนเยอะ ฮอร์โมนคอร์ติซอลก็จะหลั่งมากขึ้น การเหนื่อยล้ามากเกินไปจะทำให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง แล้วก็จะทำให้ไม่อยากคิดเรื่องแฟน”
“เด็กคนนี้เรียนแย่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมพูดจามีหลักการขนาดนี้ล่ะ” อวี๋หมิงหลางหน้าบึ้ง
เสี่ยวเชี่ยนเห็นสีหน้าท่าทางของเขาแล้วก็อยากขำ
อันที่จริงแน่นอนว่าเฉินจื่อหลงไม่มีทางพูดได้ขนาดนี้หรอก แต่สองพี่น้องช่วงหลายปีมานี้ค่อนข้างสนิทกัน แต่จะสนิทแค่ไหนน้องชายก็ไม่มีทางพูดกับพี่สาวแบบนี้ เฉินจื่อหลงก็แค่พูดเป็นนัยๆ ได้ยินว่าคนที่ฝึกหนักมากๆส่วนนั้นจะไม่ค่อยดี ให้เสี่ยวเชี่ยนหาอะไรบำรุงอวี๋หมิงหลาง ซึ่งเขาเห็นจากในหนังสือมา
เสี่ยวเชี่ยนเลยตั้งใจไปหาหนังสือเล่มนั้น มีแนวคิดแบบนี้จริงๆ บอกว่าการออกกำลังหนักเกินไปจะหมดอารมณ์ทางเพศ เป็นทฤษฎีที่ดอกเตอร์เขียนเสียด้วย
“ผมจะเป็นตัวแทนทหารหน่วยรบพิเศษทหารบกไปล้างแค้นคนที่มันเสนอแนวคิดที่ไม่จริงนี้ บอกผมมาว่าใครเป็นคนกรอกเรื่องพวกนี้ใส่สมองต้าหลง ผมจะไปพังบ้านมัน”
อวี๋หมิงหลางกัดฟันกรอด ทุเรศมาก พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนแอบขำเขาก็เดาได้เลยว่าเธอจงใจเติมแต่งคำพูด เลยลากเธอมานั่งบนตักเพราะกลัวเธอหนี
“ดอกเตอร์ฝรั่งที่เสนอทฤษฎีนั่นผมก็เคยอ่านมาก่อน แต่นั่นมันก็แค่ผิวเผิน ช่วงแรกหลังจากที่ร่างกายฝึกหนักจะสูญเสียฮอร์โมนมากไประยะหนึ่ง แต่ความสามารถที่แฝงอยู่ในตัวบุคคลกลับพัฒนาอย่างไม่หยุดหย่อน เมื่อทหารคุ้นชินกับการฝึกนี้แล้ว ระดับฮอร์โมนในร่างกายก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นทุกครั้งที่พวกเรากลับบ้านไป ‘ทำการบ้าน’ ฝีมือมีแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางแย่ลง อีกอย่างคุณเป็นคนทดสอบด้วยตัวเอง ทำไมไม่แก้ไขสิ่งที่น้องชายเข้าใจผิดให้มันถูกต้อง กลับไปเออออตามเขาอีก”
อย่างอื่นทนได้แต่เรื่องนี้ไม่ได้ อีกอย่างแนวคิดแบบนี้ยกระดับมาไกลถึงประเทศเราแล้ว คนที่พูดแบบนี้ควรจับส่งไปอยู่ในดงทหารหน่วยรบพิเศษที่ฮอร์โมนเหลือล้น แล้วผลัดกันรุมกระทืบ
“ฉันเป็นพี่สาวจะให้พูดเรื่องแบบนี้กับน้องชายอย่างละเอียดได้ไง? ของแบบนี้ถ้าเขาไม่ไปลองเองคนอื่นพูดไปก็ไร้ประโยชน์—เสี่ยวเฉียง ไม่งั้นนายไปลองกับเขาไหมล่ะ?”
อวี๋หมิงหลางกำลังจะบอกว่าได้ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ เสี่ยวเชี่ยนทำตัวเหมือนปลาไหลหนีออกไปได้ทัน ไม่หนีได้ถูกลงโทษแน่
“เฉินเสียวเหม่ย หยุดเดี๋ยวนี้อย่าหนีนะ บอกแล้วไงว่าห้ามอ่านการ์ตูนเพี้ยนๆของสืออวี้ เสียคนไปหมดแล้วเนี่ย มานี่นะ”
การ์ตูนที่สืออวี้วาดทำยอดขายในต่างประเทศได้ค่อนข้างดี ตอนนี้ภายในประเทศยังไม่อนุญาตงานที่มีเนื้อหาแบบนี้ เธอจึงเอาไปขายต่างประเทศ
ผลงานเด่นๆก็มี ตำนานความรักของพี่ชายฉันมันน่าสงสัย เสียงร่ำไห้ของดอกเบญจมาศ เป็นต้น ล้วนเป็นประเภทที่เด็กห้ามอ่าน แนวๆชายรักชาย
ดังนั้นพออวี๋หมิงหลางคิดได้ขึ้นมาก็วิ่งไล่จับเสี่ยวเชี่ยนไปทั่วห้อง ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนถูกเขาจับกดลงบนเตียงแล้ว ‘ลงโทษ’ ก็แอบคิดในใจอย่างชั่วร้ายว่า เธอไม่บอกอวี๋หมิงหลางดีกว่าว่าช่วงนี้สืออวี้เปลี่ยนแนวแล้ว เพิ่งวาดผลงานเรื่องใหม่
ไม่ใช่การ์ตูนวาย เป็นแนวคนกับปีศาจ นางเอกมีไฝคนงามที่หน้าผากคล้ายเธอ ข้างกายมีหมาป่าที่กลายร่างได้อยู่ตัวหนึ่ง ใครกล้าเข้าใกล้นางเอกมันก็จะกัด
ฟันของเขางับลงเบาๆที่คอเธอ เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าโลกศิลปะก็มาจากชีวิตจริงนี่แหละ…