แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 578 แพะรับบาปกับตัดสินใจ
“ฝันร้ายเหรอ?” อวี๋หมิงหลางโอบไหล่เธอ แล้วเอามือทาบตรงหัวใจเธอ ตรงนั้นมีหัวใจที่กำลังหวาดกลัวหลบอยู่
“อืม ไม่เป็นไรหรอก ไม่กี่วันก็ดีขึ้น”
“ฝันว่าอะไรเหรอ?” ตอนที่เขากำลังมองหน้าเธอพลางครุ่นคิดอยู่นั้นอยู่ๆก็เห็นเธอดิ้นไปมา สีหน้าดูเจ็บปวด เขายังไม่ทันจะได้ปลุกเธอก็ตื่นขึ้นมาก่อน
เสี่ยวเชี่ยนพอตื่นขึ้นมาสีหน้าดูทรมานมาก เขาเห็นแล้วก็ยิ่งปวดใจ
“ไม่มีไรหรอก ลืมแล้ว นอนเถอะ” เสี่ยวเชี่ยนหลบตา เธอไม่อยากพูดเรื่องนี้
“เสียวเหม่ย…”
“หืม?”
“คุณทำใจเชื่อผมเต็มร้อยไม่ได้ใช่ไหม?” คบกันมานานขนาดนี้เขายังทำให้เธอเชื่อใจเต็มร้อยไม่ได้เลยเหรอ?
“คนเรายังไงก็ต้องมีช่องว่างระหว่างกัน ต่อให้เป็นคนที่สนิทที่สุดก็ต้องมีพื้นที่ของตัวเอง”
คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนทำให้อวี๋หมิงหลางเม้มปากไม่พูดอะไร
เขาว่าเขารู้แล้วว่าต้องทำไง
หลังจากคืนนั้นอวี๋หมิงหลางก็ยังคงทำงานบ้าน การบ้านก็ไม่เคยหยุด แต่เสี่ยวเชี่ยนก็ยังดูแปลกๆชอบกล
อาจเพราะช่วงนี้เขาชอบเงียบไปบ่อยๆ ระเบียงเป็นพื้นที่ในการใช้ความคิดของเขาไปแล้ว เสี่ยวเชี่ยนจำได้ว่าตอนที่เพิ่งคบกันไม่นานเขาเคยบอกว่าตอนทำบ้านใหม่ในอนาคตเขาจะทำห้องสำหรับเวลาครุ่นคิดไว้ในบ้าน
ตอนนั้นคิดว่าเขาล้อเล่น ตอนนี้ดูท่าจำเป็นต้องมีห้องแบบนั้นจริงๆ
ในช่วงเวลาที่คบกันที่ผ่านมา เธอกับเขาไม่มีเลยสักครั้งที่จะเป็นอย่างตอนนี้ อยู่ๆก็ได้มีเวลาพักร้อนนานๆมีเวลาได้อยู่ด้วยกันเยอะแยะ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเชี่ยนเห็นอวี๋หมิงหลางเอาแต่เงียบ ตอนช่วงแรกที่เขาเพิ่งยืนคิดอะไรแบบนี้เธอยังอยากจะให้เวลาเขาคิดกับพื้นที่ส่วนตัวจนพอใจ
สถานการณ์นี้เกิดต่อเนื่องจนถึงวันที่สาม เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
อวี๋หมิงหลางเล่นเกมใช้ความเงียบครุ่นคิดเกินสามวันแล้ว ฝันร้ายของเธอก็หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
เธอคิดไว้ว่าหลังเลิกประชุมจะมาคุยกับเขา
ประชุมกลุ่มสัปดาห์ละครั้งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่นักศึกษาระดับปริญญาโท-เอกหนีไม่ได้ ตอนเสี่ยวเชี่ยนไปถึงคนนั่งกันเต็มแล้ว มีแค่ที่นั่งตรงกลางสองที่ว่างอยู่ ตรงกลางสุดเป็นที่ของเถ้าแก่ใหญ่ ที่นั่งประจำของศาสตราจารย์หลิว ส่วนตัวที่อยู่ติดกันเป็นที่นั่งของเสี่ยวเชี่ยน
ถ้าเสี่ยวเชี่ยนไม่มาก็ไม่มีใครกล้านั่งตรงนั้น เพราะตรงนั้นใกล้ศาสตราจารย์หลิวมากที่สุด ปกติคนแรกที่ต้องอ่านรายงานก่อนก็คือคนนั่งตรงนั้น ศาสตราจารย์หลิวสนิทกับใครก็จะเอาใจใส่คนนั้นเป็นพิเศษ ชอบเล่นงานคนใกล้ตัวก่อน
ซึ่งนี่เองเป็นความสมบูรณ์แบบของประธานเชี่ยน เถ้าแก่ใหญ่เข้มงวดขนาดนี้ยังแทบหาจุดบกพร่องของเธอไม่ได้เลย ถ้าเป็นคนอื่นคงสติแตกไปนานแล้ว
นักศึกษาปริญญาโทที่เถ้าแก่ใหญ่ดูแลมีแค่เสี่ยวเชี่ยนคนเดียว คนอื่นๆล้วนเป็นรุ่นพี่ทั้งชายและหญิงที่เรียนปริญญาเอก ส่วนคนที่เหลือคอยติดตามเถ้าแก่เล็ก
เสี่ยวเชี่ยนหันมองที่นั่งของเถ้าแก่ใหญ่ที่ว่างอยู่ ครั้นแล้วจึงถามสาวน้อยหน้ากลมที่นั่งอยู่ข้างๆ “เสี่ยวฉาเถ้าแก่ใหญ่ล่ะ?”
คนที่นั่งข้างเธอเป็นนักศึกษาที่เถ้าแก่เล็กดูแลชื่อหลู่เสี่ยวฉา เป็นคนกินเก่ง มีดวงตากลมโตใบหน้ากลมเหมือนลูกแอปเปิ้ล เวลากินอะไรชอบยัดเข้าปากจนแก้มตุ่ย พกกระเป๋าสะพายข้างที่ข้างในมีแต่ของขบเคี้ยว
“ได้ยินว่ามีธุระไม่มาแล้ว ประธานเชี่ยนตอนเที่ยงไปกินบุฟเฟ่ต์กัน หน้ามหาลัยมีร้านบุฟเฟ่ต์ชาบูอร่อยมากเลยนะ” คนช่างกินวันๆคิดแต่เรื่องกินอะไรกับกินที่ไหนดี
“ไม่ล่ะฉันมีธุระต่อ” เสี่ยวเชี่ยนหันไปมองที่นั่งของศาสตราจารย์หลิว เธอเดาว่าอาจารย์คงไปรักษาคนไข้
เธอให้อวี๋หมิงหลางมารับหลังประชุมเสร็จ ถึงตอนนั้นเธอคงได้คุยกับเขาอย่างจริงจัง
เวลานี้เถ้าแก่ใหญ่กำลังรักษาคนไข้อยู่จริงๆ เพียงแต่ ‘ผู้เข้ารับการรักษา’ คนนี้ค่อนข้างพิเศษหน่อย
“หมิงหลางมาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
อวี๋หมิงหลางนั่งอยู่ที่โซฟาของศาสตราจารย์หลิวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“น้าหลิวครับ อาชีพของน้าต้องเก็บข้อมูลคนไข้เป็นความลับใช่ไหมครับ?”
“ใช่สิ เธอคงไม่ได้มีปัญหาอะไรมานะ? อย่ามาล้อเล่นน่า พวกเธอมีตรวจสุขภาพจิตเป็นประจำอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?”
ศาสตราจารย์หลิวได้รับสายจากอวี๋หมิงหลางระหว่างทางไปห้องทดลอง ถึงได้ยกเลิกกำหนดการไป
“ผมมีเรื่องจะขอร้องครับ หวังว่าการพูดคุยของพวกเราจะเป็นความลับ อย่าให้คนอื่นรู้ รวมถึงคู่หมั้นผมด้วย”
ถึงเขาจะพยายามสืบค้นข้อมูลเต็มที่แล้ว แต่ข้อมูลที่เกี่ยวกับสาขาจิตวิทยายังมีน้อยอยู่
เมื่อปัญหาอยู่ตรงหน้า อวี๋หมิงหลางเลือกที่จะไม่หลบ เผชิญหน้ากับอนาคต
“มีปัญหาจริงๆเหรอ?” ศาสตราจารย์หลิวสีหน้าเคร่งเครียดตาม
อวี๋หมิงหลางพยักหน้า “ผมเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงาน รบกวนน้าบอกด้วยครับว่าผมควรทำยังไง?”
“เธอ…?” ศาสตราจารย์หลิวมองซ้ายมองขวา สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
อวี๋หมิงหลางพยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ครับ ตอนนี้ผมเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจเรื่องชีวิตคู่ อยากจะหนี ไม่อยากแต่งงาน ทุกคืนผมจะฝันร้าย ช่วยบอกด้วยครับว่าควรทำไง?”
“อยู่ต่อหน้าจิตแพทย์ต้องจริงใจ เธอเป็นจริงๆเหรอ?” ดูเหมือนศาสตราจารย์หลิวจะเข้าใจอะไรแล้ว เธอดันแว่นตา
“ใช่ครับ”
เขาไม่มีทางบอกว่าเป็นเสี่ยวเชี่ยน
ตอนนี้เธอเป็นนักให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาที่มีใบอนุญาต แล้วจะบอกว่าเธอมีปัญหาได้ยังไง อวี๋หมิงหลางรู้ว่าศาสตราจารย์หลิวจะต้องสงสัย แต่ขอแค่เขายืนยันว่าตัวเองมีปัญหา ศาสตราจารย์หลิวก็ทำอะไรเขาไม่ได้
เขารู้นิสัยของศาสตราจารย์หลิวที่ไม่มีทางไปหาเสี่ยวเชี่ยนเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้แน่ ขอแค่เขารู้ว่าทำอย่างไรถึงจะช่วยให้เสี่ยวเชี่ยนเอาชนะปัญหาที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้แค่นั้นก็พอแล้ว ข้อมูลที่หาได้ผิวเผินจนเกินไป ไม่สู้ไปถามผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
“เขารู้ไหมว่าเธอทำเรื่องพวกนี้เพื่อเขา?”
“ผมไม่ได้ทำเพื่อเขา ผมทำเพื่อตัวเองครับ”
“อ้อ?”
“ผมตัดสินใจเลือกเขาเพราะอยากให้เขามีความสุข ดังนั้นจึงอยากทำตามสัญญาซึ่งมันไม่เกี่ยวกับเขาครับ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องบอกเขา น้าหลิวบอกผมมาก็พอครับว่าต้องทำไง”
“โรคหวาดกลัวการแต่งงานเป็นปัญหาจิตเวชที่เล็กมาก ปกติสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้มีสามประเภท ประเภทแรกคือมาจากความรู้สึกเก็บกดภายในรวมถึงเคยเจอเรื่องที่ทำร้ายจิตใจมาก่อน โดยเฉพาะคนที่พ่อแม่หย่ากันหรือเด็กที่ถูกพ่อแม่ปฏิเสธจะเจอปัญหานี้ได้ง่ายๆ ครอบครัวเธอมีความสุขดีใช่ไหม?”
เพื่อปกป้องผู้หญิงที่ตัวเองรัก อวี๋หมิงหลางพูดโกหกโดยไม่ต้องร่างคำตอบก่อน
“พ่อกับแม่ผมทะเลาะกัน เมื่อวานซืนผมโทรไปพ่อยังทะเลาะกับแม่อยู่เลยครับ พ่อบอกว่าแม่ไม่ยอมให้กินเหล้าอีกทั้งยังควบคุมอาหารการกินของเขา เขาบอกทนอยู่ไม่ได้แล้ว”
ศาสตราจารย์หลิวเกือบหัวเราะออกมา เพื่อปกป้องแฟนตัวเองถึงกับกล้าพูดแบบนี้ออกมา แต่เธอก็ยังเก็บอาการอยู่
“ยังมีอีกประเภท คนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ ยอมขาดดีกว่าเกินแบบไร้ค่า เขาอยากได้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ กังวลว่าถ้าแต่งงานแล้วชีวิตจะไม่สมบูรณ์แบบอีก”
“ใช่ครับ ผมอยากได้ความสมบูรณ์แบบ จะเมียจะลูกต้องพรั่งพร้อม ทางที่ดีอยากได้ลูกสาว อันที่จริงลูกชายก็ได้นะครับ”
แต่เสี่ยวเชี่ยนคิดแบบนี้หรือเปล่า? อวี๋หมิงหลางไม่ค่อยแน่ใจ
ศาสตราจารย์หลิวอยากหากระจกให้อวี๋หมิงหลางส่องจริงๆ สีหน้าของเขาในเวลานี้มันเหมือนคนเป็นโรคกลัวการแต่งงานเหรอ? ควรเป็นโรคหื่นกระหายการแต่งงานมากกว่า ขาดอยู่แต่ข้อความเขียนบนหน้าว่า ตอนนี้พี่โคตรอยากแต่งงาน แต่งเสร็จก็อยากมีลูกเลย