แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย - ตอนที่ 642 ครั้งนี้ไม่ได้แกล้งเธอนะ~
เสี่ยวเชี่ยนชอบเงินมาก แต่เงินซื้อการยอมแพ้จากอดีตศัตรูหัวใจไม่ได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการฆ่าคนอย่างเย่เสียวอวี่ให้ตัดใจ เสี่ยวเชี่ยนจึงเลือกที่จะเอาค่าตอบแทนในอีกรูปแบบหนึ่ง สะใจกว่ากันเยอะ
เมื่อตกลงกันได้แล้วก็ออกจากโรงพยาบาล เสี่ยวเชี่ยนไปส่งศาสตราจารย์หลิวที่บ้าน
“ชั่วโมงละห้าพัน?” ศาสตราจารย์หลิวคาดเข็มขัดนิรภัยพลางถามเสี่ยวเชี่ยนด้วยน้ำเสียงโหด
ยังไม่ทันจะได้เปิดแอร์ก็รู้สึกหนาวขึ้นมาทันที เสี่ยวเชี่ยนยิ้มพลางตอบอย่างนอบน้อม
“บางครั้งหนูก็ทำงานการกุศลนะคะ ไม่มีทางลืม!”
ศาสตราจารย์หลิวทั้งโมโหทั้งขำ แต่มาคิดดูครั้งนี้เสี่ยวเชี่ยนก็ทำงานการกุศลจริงๆ ถึงจะมีข้อสงสัยเรื่องที่แก้แค้นอดีตศัตรูหัวใจก็ตาม แต่โดยรวมก็ทำได้ดี
“เสี่ยวปืนเหล็ก ทำไมเธอถึงได้ใส่ใจเด็กคนนั้นจัง การรักษาโรคซึมเศร้าหมอไม่ต้องตามติดขนาดนั้นสักหน่อย?”
ให้ผู้ป่วยย้ายมาอยู่บ้านตรงข้าม มันใส่ใจมากเกินไปหรือเปล่า
สำหรับหมอหน้าเลือดที่กล้าเก็บค่ารักษาชั่วโมงละห้าพันหรือมากกว่านั้น เสี่ยวเชี่ยนดูใส่ใจน้องสาวของอดีตศัตรูหัวใจมากเกินไป
“มันเป็นความตั้งใจของหนูค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนมองไปข้างหน้า แล้วขับรถออกไป
ศาสตราจารย์หลิวพอใจกับคำตอบ เสี่ยวเชี่ยนมีจิตที่เมตตาต่อคนไข้
แต่ในใจของเสี่ยวเชี่ยนกลับคิดถึงนางฟ้าตัวน้อยๆ เสี่ยวเหวย ‘ให้’ เธอช่วยเธอก็ช่วย พยายามให้ถึงที่สุด
หลังจากนั้นสามวัน เสี่ยวเชี่ยนนอนจนถึงเที่ยง อวี๋หลิวเหมยตนขยันได้ทำอาหารเช้ารวบอาหารเที่ยงไว้ให้เธอบนโต๊ะแล้ว อวี๋หลิวเหมยโพกผ้าขนหนูไว้บนหัวกำลังยืนตรงหน้าต่างมองลงไปข้างล่าง
“พี่สะใภ้ สวัสดีตอนเที่ยงค่า!”
“ทำไมสภาพเป็นแบบนั้นล่ะ?” เสี่ยวเชี่ยนถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ตอนบ่ายฉันมีสัมภาษณ์งานกลัวหัวจะมีกลิ่นอาหาร พี่สะใภ้รู้สึกไหมว่าตอนนี้ฉันดูเหมือนคนเป็นอาจารย์ขึ้นมาแล้ว?” อวี๋หลิวเหมยทำท่าทางเคร่งขรึม เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า
“พอไหว”
เธอนึกออกแล้ว วันนี้อวี๋หลิวเหมยจะไปสัมภาษณ์งานครูพละโรงเรียนมัธยมเอกชนแห่งหนึ่ง
“มีคนย้ายเข้ามาด้วย ดูเหมือนจะมาอยู่ตรงข้ามบ้านเรา พี่สะใภ้กินข้าวก่อนนะ ฉันลงไปดูหน่อย” หลิวเหมยดูกระตือรือร้นมาก เสี่ยวเชี่ยนเรียกเธอไว้
“ไม่ต้องไปดูหรอก เดี๋ยวพวกเขาจะมาหาเราเอง ต่อไปจะมีคนช่วยพวกเราทำงานบ้านแล้ว” เสี่ยวเชี่ยนดื่มซุปด้วยท่าทางสง่างาม น้ำเสียงเธอยามพูดเข้ากับชุดนอนผ้าไหมที่อยู่บนตัวเธอ ให้ความรู้สึกเหมือนคุณนาย
“หา! คนนั้นนี่นา! นักจัดรายการวิทยุไม่ใช่เหรอ?” หลิวเหมยจำได้แล้ว คนที่แต่งหน้าสวยสวมแว่นกันแดดเดินลงมาจากรถคนนั้นก็คือพิธีกรที่อยู่บนเวทีตอนที่เธอเดินผ่านลานกว้างเมื่อวานซืน เห็นว่าทางสถานีมาจัดรายการข้างนอก
“ต่อไปเขาจะมาทำงานบ้านให้เราฟรี ไม่ต้องเกรงใจเขาเลยนะ เดี๋ยวเขียนเมนูที่จะกินตอนเย็นทิ้งไว้ให้เขาไปจ่ายตลาดมาทำกับข้าว แล้วก็เสื้อผ้าของพวกเราก็ให้เขาซัก”
“…พี่สะใภ้ แบบนั้นมันจะดีเหรอ?” หลิวเหมยยังไม่รู้จักเย่เสียวอวี่ดีเท่าไร แค่รู้สึกว่าผู้หญิงสวยๆแบบนั้นต้องมาทำงานหนักมันดูไม่ค่อยเหมาะ
เธออยู่กับเสี่ยวเชี่ยนเรื่องงานบ้านผลัดกันทำคนละครึ่ง เสี่ยวเชี่ยนทำอาหารไม่เป็นก็ไปซักผ้าแล้วให้อวี๋หลิวเหมยทำอาหารแทน เรื่องทำความสะอาดใครมีเวลาก็ทำ
“คนๆนี้น่ะ เคยแอบรักพี่ชายเธอตอนอยู่มอปลาย ตอนนี้มีเรื่องต้องขอร้องพี่ พี่ก็เลยอยากจะฝึกเขาหน่อย เข้าใจหรือยัง?”
อวี๋หลิวเหมยเข้าใจทันที เธอยืนขึ้น
“หาอะไรเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนถามด้วยความอยากรู้
“ฉันจำได้ว่ามีรองเท้าวิ่งอยู่คู่หนึ่งดำเขรอะมาก จะเอาให้เขาซัก” กล้ามาทำลายชีวิตคู่ของพี่สะใภ้คิดว่าจะรอด?
อุ๊บ! เสี่ยวเชี่ยนหัวเราะ
“อาจารย์ที่สอนวิชาให้ฉันมีคำพูดติดปากอยู่คำพูดหนึ่ง สาเหตุที่คนเราคิดเยอะก็เพราะว่างเกินไป พี่สะใภ้วางใจได้ ฉันจะทำให้เขายุ่งเสียจนไม่มีเวลาคิดถึงสามีคนอื่น!”
“ดีมาก~” บอสเสี่ยวเชี่ยนชอบรูมเมทแบบนี้นี่แหละ พูดนิดเดียวก็เข้าใจ
พอกินข้าวเสร็จออดประตูก็ดังขึ้น เย่เสียวอวี่สะพายกระเป๋าใบเล็กสวมแว่นกันแดด ท่าทางเหมือนดาราดัง ด้านข้างเธอมีเย่เสี่ยวเวยที่ใบหน้าซีดเซียวเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา
“พี่เหม่ยเหวย!” เย่เสี่ยวเวยพอเห็นเสี่ยวเชี่ยนก็ยิ้มหน้าบาน
“คนสวยมาแล้ว~” เสี่ยวเชี่ยนยื่นมือออกไปกอดเธอ
“พอหนูรู้ว่าจะได้มาอยู่กับพี่ก็ดีใจมาก นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเป็นเพื่อนบ้านกับพี่เหม่ยเหวยด้วย ว้าว หนูไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ?” เวยเวยขอบตาคล้ำหนักมาก ใบหน้าซูบซีดแต่กลับพยายามยิ้มกว้าง
ยากที่จะจินตนาการออกว่าเด็กคนนี้คิดฆ่าตัวตายเมื่อหลายวันก่อน ยิ้มกว้างของเธอทำให้อวี๋หลิวเหมยที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกเกิดความรู้สึกดีๆ
แม้แต่เย่เสียวอวี่ยังคิดว่าดูเหมือนอาการของน้องสาวไม่ได้หนักขนาดนั้น พอออกจากโรงพยาบาลก็เห็นพยายามยิ้มตลอด ใช้เสียงแหบแห้งที่เกิดจากการถูกล้างท้องพูดจาเจื้อยแจ้วกับทุกคน
มีแค่เสี่ยวเชี่ยนที่รับรู้ได้ถึงความเหนื่อยล้าของเด็กคนนี้ ความร่าเริงที่เด็กคนนี้แสดงออกล้วนแสร้งทำทั้งนั้น
ทั้งที่จริงๆแล้วยิ้มไม่ออก ไม่ได้มีเรื่องให้รู้สึกมีความสุข เพียงแต่รู้ว่าการทำแบบนี้จะทำให้คนรอบตัววางใจได้บ้าง เด็กคนนี้กำลังฝืนตัวเอง
“ไม่เป็นไรนะ ไม่อยากยิ้มก็ไม่ต้องยิ้ม อยู่ที่นี่หนูอยากจะทำอะไรก็ทำได้เลย” เสี่ยวเชี่ยนกอดเย่เสียวเวย รู้สึกได้ถึงความแข็งทื่อของร่างกายเด็กคนนี้ ในใจยิ่งสงสารมากขึ้นกว่าเดิม
อายุน้อยกว่าน้องชายเธอสองปีได้ แต่เฉินจื่อหลงกลับเป็นพวกวันๆไม่คิดอะไร เอาแต่เที่ยวเล่นไร้สาระ ไม่เก็บเรื่องทุกอย่างมาใส่ใจ
ความร่าเริงที่มาจากตัวตนกับแสร้งทำออกมามันให้ความรู้สึกที่แตกต่าง คล้ายกับการใส่หน้ากาก จิตวิญญาณที่ไร้ความรู้สึกมองเห็นทุกอย่าง แต่ร่างกายกลับต้องแสร้งทำตัวให้เข้ากับสังคม รู้ว่าหากตัวเองทำแบบนี้แล้วทุกคนจะสบายใจ ถึงได้พยายามแสร้งทำ
แต่แบบนั้นยิ่งเป็นการทรมาน เสี่ยวเชี่ยนจูงมือเย่เสี่ยวเวยไปนั่งที่โซฟา แล้วเรียกหลิวเหมยมา
“เหมยจื่อ ตอนเย็นจะกินอะไรก็บอกเขาไป ต่อไปมีคุณเสียวอวี่แล้ว พวกเราได้พักเวรทำพาร์ทไทม์แล้วล่ะ”
พี่สะใภ้พวกเราเคยทำพาร์ทไทม์ที่ไหนกัน? อวี๋หลิวเหมยขยิบตาให้เสี่ยวเชี่ยน
ตอนนี้มีแล้ว ก็เย่เสียวอวี่ไง! เสี่ยวเชี่ยนขยิบตากลับ
อ้อ ไอซี!
“คือว่า คุณเสียวอวี่คะ ฉันกับพี่สะใภ้ไม่ค่อยเลือกกิน ตอนเย็นพวกเรากินแบบจืดๆแล้วกันอย่างพระกระโดดกำแพง—”
“เธออยากกินพระกระโดดกำแพง?” เย่เสียวอวี่คิดในใจ ไม่อยากกินหูฉลามน้ำแดงไปเลยล่ะ!
“งั้นวันอื่นแล้วกัน วันนี้กินง่ายๆ ซุปจับฉ่ายอีสานทำเป็นไหมคะ? เอาอันนี้หนึ่ง แล้วก็เส้นใหญ่เผ็ด หมูชุบแป้งทอดราดซอส อาหารหลักเอาหมั่นโถวห้าสี ได้สารอาหารหลากหลายหน่อย ฝากซื้อเบียร์กลับมาแช่ไว้สักโหลด้วยนะคะ ฉันกับพี่สะใภ้บางทีชอบนั่งจิบเบียร์กัน แล้วก็มื้อดึก…”
อวี๋หลิวเหมยพูดแต่ละอย่างเย่เสียวอวี่ก็หน้าบึ้งหนักขึ้นเรื่อยๆ
“ฉันสั่งเอาได้ไหม?”
เสี่ยวเชี่ยนเงยหน้ามอง ตอนนี้แค่เย่เสียวอวี่เห็นสายตาของเสี่ยวเชี่ยนก็จนปัญญา “ได้ ห้ามสั่ง เข้าใจแล้ว!”
เดิมเธออยากจะชักสีหน้า แต่เห็นตาแป๋วของน้องสาวที่นั่งอยู่ตรงโซฟาแล้วก็ได้แต่อดทน
ครั้นแล้วจึงฉีกยิ้มออกมา “เวยเวยอยากกินอะไรจ๊ะ? เดี๋ยวพี่ทำให้กิน”
“อะไรก็ได้ค่ะ” เวยเวยไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น แม้แต่การกินข้าวก็กลายเป็นเรื่องทุกข์
“เตรียมอาหารที่มีสารอาหารครบๆให้เขาแล้วกัน นอกจากกับข้าวเมื่อกี้แล้วเตรียมกุ้งตัวใหญ่ให้เขาด้วย ต่อไปเด็กคนนี้จะมากินกับพวกเรา” เสี่ยวเชี่ยนมองสีหน้าของเย่เสียวอวี่ที่แทบจะกลั้นความโกรธไว้ไม่ไหวแล้ว จึงพูดเสริมอีกประโยค
“ครั้งนี้ฉันไม่ได้แกล้งเธอนะ เรื่องอาหารก็เป็นส่วนหนึ่งในการรักษา”
เย่เสียวอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก็ได้ ฉันจะทน!