เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 361
ข้าจะไปตามหมอให้เจ้า
หลังจากผ่านช่วงเทศกาลปีใหม่ไปไม่กี่วัน ก็เป็นวันแต่งงานของหลานเอ๋อร์และมู่เหยียน ซึ่งงานแต่งของพวกเขาจัดขึ้นที่พระตำหนักของอี้หวัง เนื่องจากเรือนนอนที่หลานเอ๋อร์อยู่เป็นของสตรี ส่วนเรือนนอนของมู่เหยียนก็เป็นของบุรุษ จะให้ย้ายไปอยู่เรือนนอนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ดูไม่เหมาะสม ดังนั้นเพื่อความสะดวกเฟิงหลีเลี่ยจึงสั่งให้พ่อบ้านผู้เฒ่าเก็บกวาดเรือนหลังหนึ่งยกให้พวกเขาสองคนได้อยู่อาศัย
แววตามู่เยี่ยนหมองหม่นเมื่อเห็นคนทั้งสองในชุดวิวาห์สีแดงทั้งตัวยืนอยู่ด้วยกัน แล้วคนทั้งสองก็คำนับซึ่งกันและกัน ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมสีแดงนั่นจะต้องงดงามมากเป็นแน่ แต่เมื่อคิดถึงว่าคนที่จะได้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวไม่ใช่ตัวเองแล้ว สองมือพลันกำหมัดแน่น
เมื่อเฟิงหลีเลี่ยและมู่หรงชูอวิ๋นกล่าวเป็นประธานเรียบร้อยแล้วก็ขอตัวจากไป เดิมทีมู่หรงชูอวิ๋นอยากอยู่เล่นสนุกต่อ ทว่าเฟิงหลีเลี่ยเป็นห่วงและหวงนาง อย่างไรแล้วแขกที่มาก็ล้วนเป็นผู้ชายที่มากินดื่มในงานเลี้ยงฉลองทั้งนั้น ความงามของพระชายาของเขาต้องเป็นเขาที่ได้มองและครอบครองได้เพียงคนเดียว
ในคืนนั้นไม่รู้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นคิดอย่างไร นางงอแงไม่หยุดอยากจะไปมีส่วนร่วมในการปลุกห้องเจ้าสาว[1]ด้วย เฟิงหลีเลี่ยจึงแบกนางขึ้นบ่า แล้วนำไปปล่อยตัวลงบนเตียง จากนั้นก็ ‘อธิบาย’ ให้นางเข้าใจว่าอะไรคือการปลุกห้องเจ้าสาว สุดท้ายมู่หรงชูอวิ๋นได้แต่นอนทำหน้าตาน่าสงสารอยู่บนเตียง เอ่ยสัญญาว่าจะไม่งอแงอีกแล้ว เฟิงหลีเลี่ยถึงได้ยอมปล่อยนาง แม้จะยังไม่อยากหยุดแกล้งนางก็ตาม กระทั่งเช้าวันถัดมามู่หรงชูอวิ๋นหมดเรี่ยวแรง แม้แต่แขนก็ยกไม่ขึ้น ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้สึกหวาดกลัวกับการปลุกห้องเจ้าสาว ขอเพียงมีคนพูดถึงการปลุกห้องเจ้าสาว นางก็จะวิ่งหนีทันที
อย่างไรแล้วที่นี่ก็มีคนเข้มงวดอย่างเฟิงหลีเลี่ยอยู่ทั้งคน ทุกคนจึงไม่กล้าทำอะไรสะเพร่า แล้วมู่เหยียนนั้นก็เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเขา แน่นอนว่าเขาก็อยากให้งานแต่งงานนั้นออกมาดีที่สุด
กระทั่งถึงเวลาชนจอกเหล้ามงคล มู่เยี่ยนที่ดื่มมาพอประมาณได้เดินไปตบหัวไหล่ของมู่เหยียนกล่าวว่า “ดูแลนางให้ดีนะ” ไม่เช่นนั้นเขาจะแย่งนางกลับคืนมาโดยไม่สนใจว่าจะด้วยวิธีการใด
ในใจของมู่เหยียนมีความรู้สึกทั้งหวานทั้งขม ดีใจเสียใจปะปนกันไปหมด “ขอบใจมาก” ขอบใจที่เจ้าไม่ได้มาทำลายเรื่องนี้ทุกวิถีทางเพราะความชอบที่เจ้ามีต่อนาง มู่เหยียนไม่รับประกันว่าตนเองจะเอาชนะมู่เยี่ยนได้ เพราะเขาเป็นคนซื่อบื้อ เอาใจไม่เก่ง ดังเช่นเฟิงหลีเลี่ยเคยให้พวกเขาแสดงความคิดเห็นเรื่องส่งของกิน เขามักจะคิดถึงของง่ายๆ แค่หมั่นโถวกับซาลาเปา แต่มู่เยี่ยนนั้นมักจะเสนอให้ส่งขนมไปให้
เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ก็ได้เห็นดวงตาเขินอายของหลานเอ๋อร์ กะพริบปรับสายตาเพื่อรับแสงที่แยงตาเข้ามา เป็นแววตาที่เปล่งประกายดั่งน้ำใส เห็นแล้วเป็นต้องหลงใหล
“หลานเอ๋อร์…”
หลานเอ๋อร์ถูกสายตาของเขาจ้องมองจนต้องก้มหน้าหลบเพราะความเขินอาย
เมื่อแกะผ้าคาดเอวออก เสื้อผ้าบนกายของหลานเอ๋อร์พลันหลุดออก เผยให้เห็นผิวขาวดั่งหิมะและเรือนร่างอรชร ดวงตาของมู่เหยียนหรี่ลงเขม้นมองไปที่นาง หลานเอ๋อร์ถูกจ้องจนเขิน ใบหน้าแดงก่ำไปหมด
วันถัดมา กว่าจะตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว หลานเอ๋อร์รู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด ขยับตัวแทบไม่ได้ เมื่อเลิกผ้าห่มออกเห็นเรือนร่างตนเองมีรอยเขียวช้ำ ในที่สุดก็ได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดวันนั้นมู่หรงชูอวิ๋นจึงเป็นเช่นนี้ โชคดีที่เฟิงหลีเลี่ยใจดีอนุญาตให้นางลาหยุด วันนี้นางจึงไม่ต้องไปปรนนิบัติมู่หรงชูอวิ๋น ไม่เช่นนั้นนางคงจะลุกไม่ไหวจริงๆ
มู่เหยียนเดินเข้ามาเห็นหลานเอ๋อร์กอดผ้าห่มท่าทางเหม่อลอย จึงวางถาดอาหารในมือลง ก่อนจะเอ่ยถาม “เป็นอะไรหรือ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
หลานเอ๋อร์เขินจนหน้าแดง มือกุมผ้าห่มไว้แน่น ไม่กล้าขยับตัว หรี่ตามองค้อนใส่เขาไปที เหตุผลก็กระจ่างแจ้งแก่ใจ ยังจะมาถามตรงๆ เช่นนี้อีก ช่างเป็นเจ้าทึ่มเสียจริงๆ
มู่เหยียนถูกนางมองด้วยสายตาเช่นนี้ก็กลืนน้ำลายลงคอ แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อคืนก็ฉายชัดขึ้นมาตรงหน้า พลันรู้สึกคอแห้งกลืนน้ำลายไม่ลงในทันที
“ไม่เป็นอันใด” ทว่านางพยุงตัวจะลุกขึ้นได้ไม่เท่าไรก็ล้มลงไป คิ้วขมวดด้วยรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว
“ไม่ได้การ ข้าจะไปตามหมอให้เจ้า” มู่เหยียนเห็นว่าท่าทางของนางไม่ไหวแล้ว คิ้วงามขมวดเป็นรอยไปหมด จึงรีบวิ่งออกไปทางประตู
หลานเอ๋อร์มือไม่ไวจึงคว้าเขาไว้ไม่ทัน เห็นเขาวิ่งไปเกือบถึงหน้าประตูแล้ว “คนโง่ หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
มู่เหยียนหยุดชะงักฝีเท้าอย่างพาซื่อและเชื่อฟัง
“ไม่ได้เป็นอันใดมากเสียหน่อย เพียงแต่…อ่อนเพลียอยู่บ้าง” ประโยคสุดท้ายที่พูดเสียงพลันแผ่วลงไป
[1] ปลุกห้องเจ้าสาว หมายถึง วิธีการหนึ่งที่แขกในงานกระทำต่อคู่บ่าวสาวอย่างสนุกสนานครื้นเครง ทั้งนี้ หากต่างพื้นที่ ต่างประเพณี การปลุกห้องเจ้าสาวก็จะแตกต่างไปด้วย