เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 363
โจร 2
ตุ้บ! มีเสียงของหนักอย่างหนึ่งตกลงมา มู่เยี่ยนดึงบังเ**ยนม้าในมือไว้แน่นบังคับให้รถหยุด สายตาแหลมคมกวาดมองสภาพโดยรอบ มือขวาจับด้ามกระบี่ พร้อมจะชักออกมาได้ตลอดเวลา
มู่หรงชูอวิ๋นตกใจ ลุกขึ้นนั่งหลังตรงตัวแข็งทื่อไปหมด
เฟิงหลีเลี่ยดึงมู่หรงชูอวิ๋นที่เป็นนกตื่นธนู[1] เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตนเอง พลางลูบแผ่นหลังปลอบขวัญนาง ก่อนจะจูบผมสลวยของนาง แล้วจ้องดวงตาดำขลับใสเปล่งประกายของนางพลางเอ่ยปลอบว่า “ไม่ต้องกลัว ไม่มีเรื่องอันใดหรอก” มีเขาอยู่ด้วย ไม่มีใครจะมาทำร้ายมู่หรงชูอวิ๋นได้
น้ำเสียงของเขาเรียบและทุ้มต่ำ เปี่ยมด้วยพลังที่แสดงถึงความสุขุมเยือกเย็น ให้ความรู้สึกปลอดภัย ช่วยให้รู้สึกสงบจิตใจลงได้เป็นอย่างมาก ภายใต้การปลอบโยนของเขาทำให้มู่หรงชูอวิ๋นผ่อนคลายลงไปไม่น้อย
มู่หรงชูอวิ๋นฟังเสียงหัวใจตรงหน้าอกของเฟิงหลีเลี่ยที่กำลังเต้นอย่างรุนแรง พลางพยักหน้า
“จะมาปล้นข้าทำไม ข้าเป็นเพียงคนแก่ยากจนก็เท่านั้น” ด้านนอกมีเสียงตกใจอกสั่นขวัญแขวนของหมอเทพดังขึ้นมา
เดิมทีมู่หรงชูอวิ๋นอยากจะเปิดผ้าม่านออกดู ทว่าเฟิงหลีเลี่ยห้ามไว้ก่อน พร้อมกับช่วยสวมหมวกให้กับมู่หรงชูอวิ๋น ผ้าผืนยาวห้อยลงมาถึงหน้าอกของมู่หรงชูอวิ๋น ทำให้การมองเห็นของนางพร่ามัวมองอะไรได้ไม่ชัด
“เหตุใดยังตามข้ามาอีก ช่วยข้าด้วย…”
หมอเทพกุมศีรษะวิ่งหลบซ้ายหลบขวา ภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ลับและเหล่าทหาร ทว่าเขาถูกเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ตกใจเสียขวัญ จนลืมไปว่าตนเองก็ยังพอมีวรยุทธ์แมวสามขาอยู่บ้าง
เสียงหินก้อนใหญ่ที่กลิ้งตกลงมาจากยอดเขาเมื่อครู่นี้ ได้ปิดเส้นทางทั้งหมดของพวกเขาไว้ จากนั้นรถม้าคันที่หมอเทพนั่งมาก็ได้รับอันตราย ถูกโจรกระหน่ำยิงธนูใส่จนหลังคาพังเสียหาย หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นมู่เยี่ยนปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว ดึงเขาออกไปได้ทันเสียก่อน ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะถูกยิง ต้องสังเวยชีวิตไปเสียแล้ว
เสียงคมดาบฟาดฟันกันดังแสบแก้วหู แว่วดังขึ้นข้างหูของมู่หรงชูอวิ๋นไม่หยุด ทว่าก็ไม่มีใครสักคนเข้ามาใกล้รถม้านี้ได้ แม้แต่ในบริเวณวงแคบสามฉื่อ[2]ก็ยังไม่อาจบุกเข้ามาได้ ดังนั้นกลิ่นคาวเลือดจึงไม่ได้เข้มข้นมากนัก บรรยากาศในรถม้าของนางมีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยอยู่ภายใน เป็นกลิ่นหอมของน้ำชาใสนั่นเอง
รอกระทั่งเหตุการณ์สงบลง หมอเทพที่ตกใจกลัวอกสั่นขวัญหายก็ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น เขาเดินมาอยู่ตรงหน้ารถม้าของเฟิงหลีเลี่ยด้วยท่าทางโมโหฉุนเฉียว แล้วตะโกนเสียงดังไปยังม่านหน้าต่างของรถม้า “เฟิงหลีเลี่ย เจ้ามันร้ายกาจนักนะ ชีวิตของข้ามันไร้ค่าเพียงนั้นเลยหรือ?” หมอเทพไม่สงวนท่าทีหรือเก็บอาการตัวเองเลยสักนิด เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขาเกือบเอาตัวไม่รอดอยู่หลายครั้ง
เขายังนึกเอะใจว่าเหตุใดเฟิงหลีเลี่ยถึงได้ใจดีขึ้นมา ที่แท้เมื่อวานที่เฟิงหลีเลี่ยยอมเปลี่ยนรถม้ากับเขาก็เพราะแบบนี้ หมอเทพโวยวายว่าพวกเขาเดินทางชักช้าเช่นนั้นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเดือนไหนปีไหนจะไปถึงที่หมายเสียที เขานั่งรถม้าสั่นสะเทือนจนปวดก้นไปหมดแล้ว เฟิงหลีเลี่ยไม่รู้ว่าจะเถียงกับคนหัวรั้นนี้อย่างไร จึงบอกปัดไปว่าจะยอมเปลี่ยนรถม้ากับเขา ซึ่งในตอนนั้นก็ทำให้หมอเทพตะลึงกะพริบตาปริบๆ อย่างเหลือเชื่อไปเลยทีเดียว เขายังรู้สึกว่าในตอนนั้นเฟิงหลีเลี่ยเป็นคนที่มีคุณธรรมอย่างมาก เดิมทีคิดอยากจะปฏิเสธ ก็รถม้าคันของเขาคับแคบ ให้เขานอนคนเดียวยังรู้สึกอึดอัดเลย ทว่าเพราะเดินทางมาเหนื่อยจริงๆ จึงตอบตกลงไปอย่างกึ่งรับกึ่งสู้ ใครจะไปล่วงรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ดั่งเช่นวันนี้ เหตุที่พวกโจรเหล่านั้นยิงธนูใส่หลังคารถคันที่เขานั่งอยู่ก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะรถคันนั้นดูหรูหราโอ่อ่ากว่าคันอื่น ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าพวกโจรย่อมต้องเลือกลงมือกับเขาก่อน ใครจะไปปล้นขอทานหัวเหม็นที่ขี่ลาตัวน้อยกันเล่า หากว่าหมอเทพได้รู้ความคิดของโจรเช่นนี้ เขายอมที่จะขี่ลาตัวเล็กของตัวเอง ดีกว่ามานั่งรถม้ากับพวกเขา ที่พากันคิดไปเองว่าจะปลอดภัย
เกรงแต่ว่าเฟิงหลีเลี่ยได้คำนวณทุกอย่างไว้หมดแล้ว รู้ว่าบริเวณนี้ไม่ค่อยน่าไว้ใจจึงได้ยอมเปลี่ยนรถกับเขา อีกทั้งจะเปลี่ยนทั้งทีก็ไม่เปลี่ยนเสียเนิ่นๆ แต่เพิ่งจะมาเปลี่ยนเมื่อไม่นานนี้ เพราะเห็นแก่ความสบายเพียงเล็กน้อย หมอเทพเกือบได้เอาชีวิตของตัวเองไปทิ้งเสียแล้ว หนำซ้ำยังหลงกลอุบายอย่างโง่เขลาเช่นนี้ อยู่มาทั้งชีวิตเขายังไม่เคยถูกใครเล่นงานเช่นนี้ เพียงแค่คิดก็โมโหจนแทบอยากจะฉีกเฟิงหลีเลี่ยเป็นชิ้นๆ
[1] นกตื่นธนู เป็นสำนวนจีน ใช้เปรียบเทียบคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ไม่ดีมา เมื่อภายหลังมีอะไรมากระทบเล็กน้อยก็จะตื่นกลัวอย่างมาก
[2] ฉื่อ (尺) หน่วยวัดระยะของจีน ความยาวประมาณ 1 ฟุต