เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 364
สละชีวิตเพื่อคุณธรรม
เฟิงหลีเลี่ยได้ยินเสียงหมอเทพตะโกนโวยวายอยู่ด้านนอก แต่ก็หาได้รู้สึกไม่พอใจ เพียงยิ้มมุมปากพลางพูดผ่านทางม่านหน้าต่างปลิวไสวนั้น “ท่านอาวุโสจะเคืองโกรธไปไย ช่วยคนให้พ้นภัย สละชีพเพื่อคุณธรรม มีจิตใจแห่งความเมตตาโดยแท้ บนผืนแผ่นดินนี้ยากจะหาคนที่ข้ายอมยกย่องนับถือเช่นนี้ได้ ท่านอาวุโสก็เป็นหนึ่งในนั้น”
มู่เยี่ยนแอบชื่นชมเจ้านายของตัวเองอยู่ในใจ สามารถเปลี่ยนดำให้เป็นขาว พูดจากผิดเป็นถูกได้เช่นนี้ อีกทั้งยังพูดออกมาได้อย่างสง่างามจนใครก็ไม่อาจคัดค้านได้ เกรงว่าคงมีแต่นายท่านของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้ถึงขั้นนี้
เมื่อวานตอนที่เปลี่ยนรถม้า พวกเขาต่างแอบรู้สึกสงสารอยู่ในใจลึกๆ มองดูหมอเทพผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไร หอบห่อผ้าของตนเองไปเปลี่ยนตำแหน่งกับเฟิงหลีเลี่ยอย่างดีอกดีใจ
เมื่อหมอเทพได้ยินเช่นนี้แล้วก็ถึงกับสะอึก เกือบสำลักเลือดที่กำลังพลุ่งพล่านของตัวเองตาย โกรธตัวสั่นชี้ไปทางม่านหน้าต่างผืนหนานั้นอยู่นานทว่าก็พูดอะไรไม่ออก เขาไม่อยากได้คุณธรรมอะไรพวกนี้สักหน่อย มิเกือบต้องเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้วหรอกหรือ ยังจะให้เอาสิ่งลวงตาเหล่านี้มาทำประโยชน์อันใด อย่างไรแล้วเรื่องทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเฟิงหลีเลี่ยหลอกตน ประเดี๋ยวรอให้ได้รู้สถานะของเขาก่อนเถิด ถึงตอนนั้นเขาจะให้เฟิงหลีเลี่ยมาคำนับเรียกเขาว่า ‘ท่านปู่’ อย่างนอบน้อมเลยคอยดู
หลังจากนั้นมา ไม่ว่าหมอเทพจะพบหน้าเฟิงหลีเลี่ยกี่ครั้งก็ไม่คิดสบตา บางคราก็มองเขาด้วยสายตาไม่ชอบใจ มักจะปรายตามองอย่างเกียจคร้าน ทำสีหน้ารังเกียจเป็นที่สุด
“นายท่าน ทั้งหมดเป็นโจรภูเขาขอรับ” มู่เหยียนรายงานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หมอเทพมองค้อนใส่พวกเขาทุกคน แล้วเดินจากไปด้วยท่าทีโมโห ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่มีที่จะอยู่แล้ว รถม้ามีทั้งหมดสามคัน คันของเขาเสียหายไปแล้ว เมื่อกวาดตามองโดยรอบสุดท้ายจึงขึ้นไปนั่งเบียดบนรถม้าของหลานเอ๋อร์ เขาชำเลืองมองหลานเอ๋อร์ไปทีเห็นนางมีท่าทางตกใจ บีบฝ่ามือไว้แน่นจนไร้เลือดฝาด เขาจึงเลือกจะเข้าไปนั่งซุกตัวอยู่ข้างหนึ่งแล้วหลับตาลงเสีย
เพียงครู่บรรยากาศในรถม้าก็สงบลงไป ตอนที่โจรภูเขาโผล่ออกมา มู่เหยียนก็ลงจากรถม้าไปจัดการ ขณะที่กำลังจะออกไปนั้นได้หันมามองหลานเอ๋อร์ด้วยสายตาเป็นห่วง หลานเอ๋อร์ยิ้มให้แทนความหมายว่า ‘วางใจเถิด’ มู่เหยียนถึงได้ตัดใจยอมจากไป
ก่อนหน้านี้หลานเอ๋อร์ตกใจจนแทบหยุดหายใจ มีโจรคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาในรถม้า ทว่าสุดท้ายมือนั่นก็ถูกตัดขาดตรงหน้าของนาง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ก่อนจะตกลงไปใต้รถ ในตอนนั้นนางหวังยิ่งกว่าใครๆ อยากให้มู่เหยียนมาอยู่ข้างกายนาง แต่นางก็รู้ว่ายากนัก เพราะพวกเขาล้วนแต่เป็นข้ารับใช้
มู่เหยียนหายไปนานก็ยังไม่เห็นจะกลับมา ด้านนอกมีเพียงเสียงเคลื่อนไหวแว่วอยู่ไกลๆ ทว่าไม่มีเสียงพูดคุยเลยสักนิด พลันอดเป็นห่วงความปลอดภัยของมู่เหยียนไม่ได้ นางทำได้เพียงนั่งหวาดหวั่นอยู่ในรถเท่านั้น มู่เหยียนออกไปต่อสู้อยู่ข้างนอก ไม่รู้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ นางอยากจะเปิดม่านออกไปดู ทว่าตำแหน่งที่หมอเทพนั่งอยู่ตรงหน้าต่างพอดี ทั้งยังนั่งบังหน้าต่างไว้มิดชิด ไม่เหลือแม้เพียงช่องเล็กๆ ให้นางได้สอดส่องมองดู
นางจึงเอ่ยปากกับหมอเทพที่นั่งตัวตรงไม่ขยับ “ท่านอาวุโส ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” นางกลั้นหายใจ ราวกับกลัวว่าตนเองจะพลาดอะไรไป
หมอเทพลืมตาขึ้นมา เห็นนางมีสีหน้ากลัดกลุ้มคิ้วขมวดย่น จึงตอบไปว่า “เขาไม่เป็นอันใด” เขาเป็นคนแยกแยะบุญคุณความแค้นได้ ถึงแม้จะไม่พอใจเฟิงหลีเลี่ย แต่ก็จะไม่เอาความคับแค้นนั้นมาลงที่ผู้บริสุทธิ์เด็ดขาด อีกอย่างหลานเอ๋อร์ก็ปฏิบัติกับเขาอย่างดี เวลามีของอร่อยก็จะนำมาให้เขา แม้ว่าของเหล่านั้นจะเป็นของเฟิงหลีเลี่ยและมู่หรงชูอวิ๋นก็ตาม
หลานเอ๋อร์พลันโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง หน้าตาผ่อนคลายลงมาก ยังดีที่เขาไม่เป็นอันใด แล้วพนมมือหลับตาอธิษฐาน
หมอเทพกวาดตามองท่าทางของนาง พลันกระตุกมุมปากก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง การกระทำเช่นนี้เขาเห็นมามากแล้ว มีบางคนเพื่อต้องการรักษาโรคให้หาย ก็ได้แต่อธิษฐานขอพรกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงเหล่านี้ ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะอย่างไรแล้วสิ่งนั้นก็เป็นที่พึ่งทางจิตใจอย่างหนึ่ง หากว่าไม่มีที่พึ่งทางใจนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนอีกมากมายเท่าไรที่ไม่อาจปล่อยวางทุกสิ่งอย่างได้