เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 366
ตั้งครรภ์ 2
เฟิงหลีเลี่ยตะลึงจนลืมหายใจ มีเสียงหวีดหวือดังก้องอยู่ในหู คล้ายกับอาการหูหนวกฟังอะไรไม่ได้ยินทั้งนั้น ในหูมีเพียงคำพูดประโยคเมื่อครู่ของหมอเทพดังวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้น
หลานเอ๋อร์ดีใจแทบคลั่ง น้ำตาแห่งความปลื้มปีติพลันไหลลงมา กุมมือของมู่เหยียนยิ้มดีใจอย่างที่สุด
มู่เหยียนก็ดีใจ ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันดีอะไร เขาไม่ได้ดีใจเพราะนายท่านมีลูก แต่เป็นเพราะหลานเอ๋อร์มาจับมือเขาอย่างไม่รู้สึกเขินอายต่างหาก มือทั้งสองกุมกระชับกันแน่น แม้ว่าพวกเขาจะเคยสัมผัสใกล้ชิดกันมาแล้ว แต่เวลาปกติคนทั้งสองก็มักจะยังเก้อเขินและเกรงใจกันและกันอยู่ หลานเอ๋อร์รู้สึกเช่นไรก็มักจะแสดงออกทางสีหน้า เขาจึงไม่กล้ารุ่มร่ามเกินเหตุ กว่าว่านางจะโมโหเอาได้
“ท่านพูดอีกครั้งสิ” น้ำเสียงของเฟิงหลีเลี่ยฟังดูไม่ได้ต่างจากยามปกติทั่วไป ทว่าก็ยังรับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นเล็กๆ ในน้ำเสียงนั้น แม้แต่มือที่ประคองมู่หรงชูอวิ๋นอยู่ก็สั่นไหวเบาๆ สายตาจดจ้องไปที่ปากของหมอเทพ
หมอเทพก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเขาแล้ว เพราะไม่รู้อีกประเดี๋ยวตนจะโดนเขาทำร้ายอย่างไรอีกบ้าง “ข้าบอกว่า สาวน้อยคนนี้ตั้งครรภ์ เจ้ามีลูกแล้ว ถึงบัดนี้ตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว” ชะงักอยู่ครู่หนึ่งก็พูดต่อไปว่า“อีกอย่าง อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สาม” เชื่อว่าพูดขนาดนี้แล้วเขาต้องเข้าใจ ตนเพียงอยากจะรีบรักษาอาการของมู่หรงชูอวิ๋นให้เสร็จโดยเร็ว จะได้กลับไปใช้ชีวิตดีๆ ของตัวเอง ท่องไปในยุทธภพอีกครั้ง
เฟิงหลีเลี่ยได้คำตอบที่ตัวเองต้องการแล้ว ก็โยนเขาทิ้งไปข้างหลังไม่สนใจอีก เฟิงหลีเลี่ยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รอบกายดั่งมีเปลวไฟลุกโชนไปหมด ร้อนรุ่มจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก เขาต้องการที่ระบายความรู้สึก เขาอยากจะแหงนหน้าตะโกนให้ก้องฟ้า ทว่าก็กลัวมู่หรงชูอวิ๋นจะตกใจ ในที่สุดเขาก็มีลูกแล้ว ทั้งยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขระหว่างเขากับมู่หรงชูอวิ๋น ทว่าเมื่อหันหน้ากลับมาเห็นมู่หรงชูอวิ๋นมีสภาพทรมานเจียนตาย ก็รีบเอ่ยถามหมอเทพทันที “แล้วเหตุใดนางจึงดูทรมานเช่นนี้”
“กลิ่นคาวเลือดฟุ้งถึงเพียงนี้ แม้แต่คนแก่อย่างข้าก็ยังทนไม่ไหว นับประสาอะไรกับสาวน้อยที่กำลังตั้งครรภ์ ครรภ์นั้นก็มีรอบของครรภ์ และที่ทนไม่ได้ที่สุดก็คือกลิ่นคาวแบบนี้ ระวังเรื่องเหล่านี้ไว้ก็จะดีเอง” ต่อไปเจ้ายังต้องมีเรื่องให้ทรมานมากกว่านี้อีก ตอนนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เพียงแต่เขาไม่ได้พูดออกไป
ระหว่างวันมู่หรงชูอวิ๋นกินอะไรไม่ได้เลย ปกตินางเป็นคนที่ชอบกินมาก ทว่ายังไม่ทันเห็นว่าเป็นอะไร เพียงแค่ได้กลิ่นนางก็อยากจะอาเจียนแล้ว แม้แต่น่องเป็ดของโปรดที่นางชอบกินที่สุดก็ไม่ต่างกัน ทำเอาเฟิงหลีเลี่ยกลัดกลุ้มจนผมแทบหงอกแล้ว เฝ้าแต่ถามหมอเทพว่ามู่หรงชูอวิ๋นเป็นอะไรกันแน่ เช่นนี้จะมีปัญหาใดตามมาหรือไม่ สุดท้ายหมอเทพอดรำคาญไม่ได้ จึงพูดประชดไปคำว่า “เอาออกก็หมดเรื่องแล้ว” เพียงเท่านี้ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ ไหนเลยจะต้องทรมานให้มากมายอีก หมอเทพพูดคำนี้ออกไปแม้แต่ตัวเองก็ยังตกตะลึง จรรยาบรรณสำคัญของผู้เป็นหมอก็คือมนุษยธรรม ทว่าคำพูดนี้ของเขาคือข้อห้ามสูงสุด เพราะต่อให้เป็นเด็กในท้องของคนที่สมควรตายมานอนอยู่ตรงหน้าแล้ว ผู้เป็นหมอก็ยังต้องช่วยชีวิตก่อน เพราะอย่างไรแล้วผู้ที่กระทำความผิดก็คือผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็กเช่นนี้ หากว่าท่านอาจารย์ของเขาได้ยินที่เขาพูดเมื่อครู่ จะต้องโมโหจนลุกขึ้นจากโลงมาบีบคอเขาเป็นแน่ ทว่าโชคดีที่อาจารย์ของเขาลาโลกนี้ไปนานแล้ว
มู่หรงชูอวิ๋นได้ยินอย่างนั้นก็รีบกอดท้องของตัวเองไว้ มองพวกเขาด้วยสายตาตื่นตกใจ ราวกับว่าพวกเขาจะโหดร้ายทารุณเอาลูกของนางออกจริงๆ
มู่เยี่ยนรีบดึงตัวหมอเทพออกไปอยู่ห่างๆ เขากลัวว่าพริบตาเดียวนายท่านของเขาจะบั่นคอของหมอเทพไปเสียก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรเอามาพูดเล่น ต่อให้นายท่านของเขาไม่บั่นคอหมอเทพเสีย พวกเขาเองก็ยังรู้สึกอยากลงมือ นี่เป็นนายน้อยของพวกเขาเชียวนะ ต้องเฝ้ารอมานานแรมปี ไม่ง่ายเลยที่จะมีได้ พวกเขาสัญญาว่าจะยังไม่ฆ่าหมอเทพทิ้งตอนนี้ เพื่อพระชายาและนายน้อยแล้ว พวกเขาจะยอมปล่อยให้ตาแก่นี่ได้ไปท่องโลกกว้างต่ออีกสักหน่อยก็แล้วกัน