เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 369-370
ตอนที่ 369 จราจล2
“เลี่ยเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าก้าวต่อไปพวกเราควรไปที่ใดหรือ?” เฟิงหรงสวี่เอ่ยถามด้วยท่าทางมีชัยชนะอยู่ในมือ
เฟิงหลีเลี่ยกวาดมองแผนที่ตรงหน้าที่ปักธงสีแดงไว้หลายแห่ง
“เกรงว่าเสด็จอาทรงคิดเอาไว้ก่อนหน้าแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงหลีเลี่ยเดิมทีอยากจะพามู่หรงชูอวิ๋นเดินทางไปแก้พิษ ทว่าใครจะรู้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นมาตั้งครรรภ์เสียก่อน อีกทั้งหมอเทพได้เอ่ยอย่างลำบากใจ การถอนพิษออกนั้นไม่ส่งผลดีทั้งต่อแม่และลูก ซึ่งก็พอดีกับเฟิงหรงสวี่ก่อกบฏและเขาก็ได้รับจดหมายแจ้งข่าวจากเฟิงหรงสวี่ เพื่อให้มู่หรงชูอวิ๋นสามารถคลอดลูกได้อย่างปลอดภัย เขาจึงตัดสินใจมาหาเฟิงหรงสวี่ อีกทั้งได้พ่วงหมอเทพมาด้วยกัน และทิ้งให้อยู่เป็นหมอทหารในค่ายทหารเสียเลย
ด้วยคำพูดของเฟิงหลีเลี่ยที่ว่า เนื่องจากมู่หรงชูอวิ๋นยังไม่ได้รับการถอนพิษออกจากตัว เขาจึงยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น หากต้องการจะไปให้ทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่
ทุกวันนี้สิ่งที่หมอเทพต้องทำเป็นประจำทุกวันก็คือการด่าเฟิงหลีเลี่ย เวลากินข้าวไม่ถูกปากก็จะด่า เวลาต้องไปช่วยรักษาคนก็จะด่า…หรือเพียงแค่ปากว่างเมื่อใดก็จะด่า
เดิมทีเฟิงหรงสวี่อยากให้หมอเทพคอยดูแลพวกเขาไม่กี่คนก็พอแล้ว ใครจะรู้ว่าเฟิงหลีเลี่ยกลับเอ่ยปากเช่นนี้ ผู้ที่เกียจคร้านไม่ทำงาน สมควรเลี้ยงให้เปลืองข้าวเช่นนั้นหรือ สู้เอาไปสับเป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้เสียดีกว่า เฟิงหรงสวี่ถึงจะเห็นใจหมอเทพแต่ก็ยากจะช่วยอะไรได้ อย่างไรเสียเขาก็ต้องเอาใจเฟิงหลีเลี่ย ไม่อาจทำให้ความพยายามที่ทุ่มเทลงไปต้องสูญเสียไปเปล่าๆ เพียงเพื่อคนนอกเพียงคนเดียว ซึ่งเป้าหมายของเขาก็คือ ทำให้เฟิงหลีเลี่ยยอมเรียกขานเขาว่า ‘พ่อ’ แต่โดยดี
“เจ้าเด็กนี่ จะยอมอ่อนข้อให้เสด็จอาของเจ้าบ้างเลยไม่ได้หรือ” เฟิงหรงสวี่พูดออกไปอย่างหน้าไม่อาย หยุดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเศร้าใจ “ความจริงข้าอยากให้เจ้าเรียกข้าว่าเสด็จพ่อสักคำ หรือจะเรียกว่าพ่อเฉยๆ ก็ได้”
คำพูดประโยคนี้จบลง เฟิงหลีเลี่ยก็ลุกพรวดขึ้นไม่พูดไม่จา หน้าตาบึ้งตึงแล้วเดินจากไปทันที โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตนเป็นแขกที่เฟิงหรงสวี่เชิญมา
เฟิงหรงสวี่มองดูเงาแผ่นหลังยืดตรงของเฟิงหลีเลี่ย พลางลูบจมูกตัวเองด้วยความรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง เขาไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย สองแม่ลูกคู่นี้ล้วนแต่เอาใจยากจริงๆ นิสัยปากแข็งเหมือนกันทั้งคู่ ทว่าเป็นเช่นนี้ถึงจะมีความหมาย เมื่อคิดถึงคนที่รอเฟิงหลีเลี่ยอยู่ในกระโจม เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาในทันที
ในปีนั้นเฟิงหรงสวี่มีเรื่องกลัดกลุ้มอยู่ในใจ เดิมคิดอยากจะออกไปเดินเล่นให้ผ่อนคลายอารมณ์เสียบ้าง ไม่ทันระวังได้เดินไปชนเข้ากับน่าหลันฉิงที่เสื้อผ้ามอมแมม สติฟั่นเฟือง พูดจาฟังไม่รู้เรื่อง เดิมคิดจะชักดาบมาฆ่าให้ตายไปเสีย ทว่าเมื่อเหลือบมองคนที่กองอยู่กับพื้น แม้ว่าจะมีเส้นผมปิดบังใบหน้า ทว่าก็ยังมองเห็นว่านางเป็นคนที่มีความทุกข์ทรมานและความเกลียดชัง คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเคยเป็นพระสนมฝ่ายในแห่งตำหนักหรงฉ่งหกตำหนัก เขายังจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้พบน่าหลันฉิงนั้น นางงดงามเพียงใด แม้ว่าเขาจะเคยพบเจอสาวงามมากมายในแต่ละท้องที่มาแล้วนับจำนวนไม่ถ้วน ก็ยังอดใจสั่นให้กับความงามของนางไม่ได้ แม้แต่ความงามของมู่หรงชูอวิ๋นในตอนนี้ยังไม่อาจเทียบความงามของนางได้ หามีใครจะล่วงรู้ได้ไม่ว่านางจะกลายมาเป็นสภาพเช่นทุกวันนี้ พลันรู้สึกใจอ่อนอยากช่วยเหลือนางออกมา เขาสั่งให้องครักษ์ลับคอยเฝ้าอารักขาอยู่ที่พระตำหนักเย็น กระทั่งได้พบว่ามีเฟิงหลีเลี่ยอยู่ด้วย ในตอนที่แม่นมใบ้กำลังจะฆ่าเฟิงหลีเลี่ยนั้น เขาได้สั่งให้คนเปลี่ยนขวดยาพิษ และช่วยใส่ยาถอนพิษให้เฟิงหลีเลี่ยได้ทันเวลา ด้วยเหตุนี้จึงสามารถรักษาชีวิตน้อยๆ ของเฟิงหลีเลี่ยเอาไว้ได้หลายปีเช่นนี้ เดิมทีเขาอยากจะรักษาน่าหลันฉิงให้หายเป็นปกติ เพื่อใช้นางเป็นเครื่องมือต่อกรกับฮ่องเต้ในอนาคต
ทว่าช่วงเวลาที่เขาช่วยรักษาน่าหลันฉิงนั้น ได้เห็นความดิ้นรนต่อสู้อันแสนเจ็บปวดในแววตาของนาง อีกทั้งเมื่อนางฟื้นขึ้นมาแล้วกลับคุกเข่าตรงหน้าของเขา ร้องขอให้เขาฆ่านางทิ้งเสีย เขาโกรธจัดตบหน้านางไปที เขาต้องลำบากมากมายเพียงใดกว่าจะรักษานางให้หายเป็นปกติได้ ทว่านางกลับอยากจะตายเสียเอง ความจริงเขาก็รู้ว่าในใจของน่าหลันฉิงทุรนทุรายเพียงใด เพราะตอนที่นางล้มป่วยอยู่นั้น เขาพอจะได้ยินคำพูดฟั่นเฟืองของนางมาบ้าง และเมื่อนำมาปะติดปะต่อรวมเข้าด้วยกันแล้ว ก็พอจะเดาออกว่านางได้ทำอะไรกับเด็กน้อยผู้น่าสงสารอย่างเฟิงหลีเลี่ยไปบ้าง พลันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวเหน็บหัวใจ เด็กนั่นเป็นลูกที่นางอุ้มท้องมานานสิบเดือน กว่าจะคลอดออกมาได้ต้องลำบากยากเข็ญเพียงใดเชียวนะ
ตอนที่ 370 เสด็จแม่1
เฟิงหลีเลี่ยกลับมาถึงกระโจม เห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างมู่หรงชูอวิ๋น ในมือของนางถือพัดผ้าไหมเล่มเล็กดั่งดอกจำปี เข็มขัดหยกพันรอบเอวขับเน้นความเพรียวบางและเรือนร่างสง่างาม งดงามดุจนางสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ รอยยิ้มบริสุทธิ์สดใสยิ่งกว่าดวงดาราอันโชติช่วง เดิมทีใบหน้าอ่อนโยนกลับเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที ดวงตาหงส์อันงดงามพลันเย็นชาดั่งตระกรันน้ำแข็ง
ไม่มีผู้ใดเคยคาดคิด ระหว่างที่ไม่ได้ใส่ใจกาลเวลาลื่นไหลผ่านไป ความชราภาพก็ปรากฎขึ้นมาบนเส้นผมให้ประจักษ์ ทว่าความงามหาใดเปรียบแห่งยุคได้ของนางกลับยิ่งมากขึ้น บรรดาหญิงสาวที่ชิงดีชิงเด่นกับนางในสมัยนั้นคงจะแก่ตัวลงไปไม่น้อย หากได้มาเห็นความงดงามของนางเช่นนี้ เกรงว่าคงจะโมโหจนต้องสำลักโลหิต
สีหน้าของเฟิงหลีเลี่ยยังคงเรียบเฉย ไร้การเปลี่ยนแปลงใดๆ เฉกเช่นเคย
เมื่อนางเห็นคนที่หน้าประตูค่อยๆ เดินเข้ามา ความตื่นเต้นดีใจพลันปรากฎขึ้นบนใบหน้า “เลี่ยเอ๋อร์…” เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือ มือที่กุมผ้าเช็ดหน้าอยู่นั้นเผลอกำแน่นขึ้นอยู่หลายส่วน
เฟิงหลีเลี่ยไม่ได้ตอบอันใด แม้แต่สายตาของเขาก็ยังไม่เคยมองมาที่ใบหน้าของนาง แน่นอนว่าเขาพลาดกับแก่นแท้แห่งความผิดหวังและความโดดเดี่ยวในแววตาของนางไป
ดวงตาของเขาคู่นั้นดำขลับเปล่งประกาย ทั้งมีสายตาแหลมคมประหนึ่งจะแทงทะลุทุกสิ่งอย่าง ด้วยเหตุนี้น่าหลันฉิงจึงไม่เคยกล้าสบตากับเฟิงหลีเลี่ย
ทว่าเมื่อดวงตาคู่นั้นมองลงมาที่มู่หรงชูอวิ๋นและท้องนูนของนางแล้ว พลันอ่อนโยนขึ้นเป็นพิเศษ แววตาคู่นั้นเก็บซ่อนความรักและเอ็นดูมากมายอย่างที่ไม่อาจประเมินได้.“วันนี้สบายดีหรือไม่?”
มู่หรงชูอวิ๋นหาได้มองระลอกคลื่นความรู้สึกของพวกเขาทั้งสองออกได้ไม่ นางเอ่ยตอบอย่างมีความสุข “พี่ชายใหญ่ วันนี้ข้าได้กินน่องไก่ชิ้นโตแสนอร่อยด้วยเจ้าค่ะ มันหอมมากเลย น่าเสียดายที่ท่านไม่อยู่ จึงอดชิมด้วยเลย”
เฟิงหลีเลี่ยหยักโค้งมุมปาก “เช่นนั้นอวิ๋นเอ๋อร์ก็ชิมเผื่อพี่ชายใหญ่เถิด” นี่เป็นกลเม็ดที่มู่หรงชูอวิ๋นมักจะใช้เป็นประจำ หลังจากมู่หรงชูอวิ๋นผ่านอาการแพ้ท้องไปแล้ว นางก็กลับมากินได้มากขึ้น บางครั้งนางกินจนหมดแล้วถึงเพิ่งจะนึกได้ว่าเฟิงหลีเลี่ยยังไม่ทันได้กินเลย ซึ่งนางมักจะอ้างเหตุผลเช่นนี้เสมอ
น่าหลันฉิงที่นั่งอยู่ด้านข้างพลันรู้สึกยินดี พลางเอ่ยอย่างดีใจ “เลี่ยเอ๋อร์ หากลูกชอบกินแม่…จะทำให้เจ้าอีก” พูดคำว่า ‘แม่’ ออกไปโดยสัญชาตญาณ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเฟิงหลีเลี่ยยังไม่เคยพูดว่าเขายอมรับแม่ใจร้ายเช่นนางเลยสักครั้ง
เวลาที่พบหน้ากับเฟิงหลีเลี่ย นางมักจะวางตัวอย่างระมัดระวัง มีครั้งหนึ่งเฟิงหรงสวี่ไม่พอใจตวาดใส่เฟิงหลีเลี่ยไปที เป็นเหตุให้น่าหลันฉิงเมินเฉยใส่เขาถึงสามวัน หลังจากนั้นมาเฟิงหรงสวี่จึงได้แต่บอกตนเองว่าตนไม่เห็นอะไรที่เกิดขึ้นทั้งนั้น ทำเช่นนี้ตนจะได้ไม่โกรธจนตวาดใส่เฟิงหลีเลี่ยอีก
เดิมทีก่อนที่น่าหลันฉิงจะเข้าไปอยู่ในวังเย็นนั้นนางไม่ได้เสียสติ เพียงแต่ท้อแท้หมดกำลังใจก็เท่านั้น ในใจแบกรับความเครียดแค้นของเผ่าแมนจู และความทุกข์ที่ชำระแค้นไม่ได้ นางเป็นคนที่ชอบสนทนาพาที น้ำเสียงไพเราะฟังเสนาะหูดั่งนกขมิ้นเหลืองทองบนกิ่งไม้ ทว่าตลอดทั้งวันจะหาใครสักคนมาพูดคุยด้วยก็หามีไม่ การที่ฮ่องเต้ทรงส่งแม่นมใบ้คนหนึ่งมาคอยดูแลนาง ก็เพียงเพื่อต้องการบอกให้นางรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว และเมื่อนางได้รู้ว่าตนเองท้องเฟิงหลีเลี่ยอยู่นั้น นางก็รู้สึกเหมือนดั่งทุกสิ่งทุกอย่างได้โจมตีนางให้พ่ายแพ้ เพราะนางเคยคิดอยากตาย ทว่าเวลานี้ไม่สามารถตายได้อีกแล้ว
ครั้งแรกที่นางสัมผัสถึงวินาทีที่เฟิงหลีเลี่ยดิ้นอยู่ในท้องของนางนั้น นางก็ได้บอกกับตัวเองว่านางหาใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปไม่ น้ำตาร้อนผ่าวแห่งความซาบซึ้งไหลรินลงมา หลังจากนั้นนางก็ไม่เคยคิดอยากจะตายอีกแล้ว ทุกวันปฏิบัติตัวเรียบร้อยเพราะกลัวว่าเฟิงหลีเลี่ยในท้องจะหลุดไปอย่างไม่คาดคิด ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าการได้อุ้มท้องลูก ก็ยังไม่สามารถเอาชนะความทุกข์ที่ฝังอยู่ในใจได้ นางเสียสติขึ้นมาและเห็นเฟิงหลีเลี่ยเป็นคนที่เกลียดชังที่สุด มีอยู่วันหนึ่งนางตื่นขึ้นมาเห็นหน้าเฟิงหลีเลี่ย เหมือนกับได้เห็นใบหน้าของคนคนนั้น จึงบีบคอของเฟิงหลีเลี่ยไว้แน่น ใบหน้าเปี่ยมด้วยความเกลียดชัง หากไม่ใช่เพราะแม่นมใบ้เข้ามาเห็นเหตุการณ์นี้พอดี เฟิงหลีเลี่ยคงได้ตายไปนานแล้ว ครั้นที่นางได้สติขึ้นมาเห็นเฟิงหลีเลี่ยหน้าแดงเทือก ลมหายใจรวยรินเหมือนคนใกล้จะตาย นางพลันรู้สึกกลัวมาก ไม่กล้ายื่นมือบาปหนาคู่นั้นของตนไปแตะต้องเขาอีก จากนั้นมาสติของนางเลือนลางลงไปทุกวัน ดังนั้นเฟิงหลีเลี่ยจึงไม่เคยได้รับความรักของแม่จากนางสักครั้ง มีเพียงภาพของผู้หญิงบ้าที่บางครั้งบางคราจะทุ่มกำลังทั้งหมดตรงเข้ามาบีบคอของเขาที่ฝังลึกอยู่ในสมองเช่นนั้น