เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 371-372
ตอนที่ 371 เสด็จแม่2
เวลาผ่านไปนานน่าหลันฉิงก็ยังไม่เห็นเฟิงหลีเลี่ยจะมีท่าทีหันมามองนางบ้าง ทำราวกับนางไม่มีตัวตน รู้ทันทีว่าวันนี้คงไม่มีโอกาสแล้ว จึงก้มหน้าแล้วเดินออกไปทางประตูอย่างผิดหวัง นั่งอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะเป็นส่วนเกินของพวกเขาเสียเปล่า
“ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
จังหวะที่นางเดินไปเกือบถึงหน้าประตูแล้ว ข้างหูพลันได้ยินเสียงทุ้มต่ำฟังดูผ่อนคลายทว่ายังดูไร้ตัวตนของเฟิงหลีเลี่ยแว่วดังขึ้นมา ใบหน้าของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มหวานหันหน้ากลับไป คล้ายกับดอกกุหลาบบานสะพรั่ง “เลี่ยเอ๋อร์”
เฟิงหลีเลี่ยไม่เคยคิดว่าจะมองสบตากับสายตาคู่นี้เช่นนี้ พลันตกใจอยู่บ้าง แต่เพียงครู่เดียวก็ได้สติขึ้นมา “ขอบพระทัยที่มาอยู่เป็นเพื่อนนางพ่ะย่ะค่ะ” นี่เป็นคำขอบคุณจากใจจริงของเขา ในค่ายทหารแห่งนี้มีสตรีอยู่เพียงไม่กี่คน การที่นางมาอยู่เป็นเพื่อนมู่หรงชูอวิ๋น ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก ส่วนความรู้สึกที่มีต่อน่าหลันฉิงนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะไปเผชิญหน้าอย่างไร เขาเลยวัยที่ต้องการการปกป้องดูแลจากมารดามานานแล้ว นางไม่ได้ปรากฎตัวขึ้นมาให้เห็นอย่างกระทันหันเช่นนี้หลายปีแล้ว สิ่งที่เขารู้สึกมีเพียงความกลัดกลุ้มและทำอะไรไม่ถูก คิดเพียงแต่อยากจะหลบหน้าหนีไปเท่านั้น เขาไม่ได้โกรธเกลียดเรื่องที่น่าหลันฉิงทำไว้กับเขา อย่างไรแล้วทุกคนล้วนแต่มีเหตุผลของตัวเองทั้งสิ้น หากว่าเขาเป็นน่าหลันฉิง บางทีเขาอาจไม่ยอมให้เด็กในท้องเกิดออกมาก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณน่าหลันฉิงเป็นอย่างมากที่ให้เขาได้เกิดมา ทำให้เขาได้พบกับมู่หรงชูอวิ๋น
อารมณ์ดีใจแทบบ้าของน่าหลันฉิงถูกทำลายไปในทันที “เลี่ยเอ๋อร์ นั่นเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำ ใยต้องขอบคุณ” นั่นคือหลานชายในอนาคตของนาง คนที่นางเฝ้ารอให้เขาลืมตาดูโลก อีกอย่างนางคือแม่ของเฟิงหลีเลี่ย การที่มาดูแลลูกสะใภ้ของตัวเองก็เป็นสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว น้ำเสียงห่างเหินของเฟิงหลีเลี่ยแว่วผ่านหัวใจของนางทุกถ้อยคำ เจ็บปวดจนนางแทบหายใจไม่ออก
เฟิงหลีเลี่ยเม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูดอันใดอีก
น่าหลันฉิงจึงเดินออกไปพลางช่วยปิดประตูอย่างเงียบๆ แทนพวกเขา มองดูแสงสว่างอันสดใส นางได้แอบให้กำลังตัวเอง อย่างน้อยเฟิงหลีเลี่ยก็พูดกับนางแล้ว ซึ่งสิ่งนี้ก็หมายถึงการเริ่มต้นที่ดี นางอย่าได้โลภจนเกินไปเลย นางจะต้องค่อยๆ ชดเชยความผิดที่ตนเองก่อเอาไว้ ไม่เช่นนั้นต่อให้เฟิงหลีเลี่ยจะให้อภัยนางแล้ว แต่ว่านางก็ยังไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ อย่างไรแล้วสิ่งที่ผู้เป็นแม่แท้ๆ อย่างนางทำลงไปนั้น แม้แต่แม่เลี้ยงยังไม่สามารถทำได้ ก็สมน้ำหน้าแล้วที่นางต้องโดนเช่นนี้
เฟิงหลีเลี่ยเอามือมาวางทาบบนท้องของมู่หรงชูอวิ๋น สัมผัสถึงการถีบดิ้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างแรงในท้องของนาง เขายังจำได้ว่าครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงการดิ้นของลูกน้อย คือในวันนั้นเขากำลังนอนหลับสะลึมสะลืออยู่ ด้วยความเคยชินเอามือไปโอบบนท้องของมู่หรงชูอวิ๋น ตอนนั้นเขายังไม่ทันรู้สึกตื่นดีพลันต้องสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาเพราะแรงดิ้นของลูกน้อยนั้น ได้ลุกขึ้นมาประสานสายตากับมู่หรงชูอวิ๋นที่เพิ่งตื่นพอดี จึงสั่งให้มู่เยี่ยนที่เฝ้าอารักขาอยู่หน้าประตูรีบไปตามหมอเทพเข้ามา
การปล่อยไก่ในครั้งนั้นทำให้หมอเทพโมโหมาก จึงเอาตำรานรีเวชขั้นพื้นฐานมาให้เขาศึกษา เพื่อที่ตัวเองจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขบ้าง หากยังถูกเฟิงหลีเลี่ยทรมานต่อไปเช่นนั้น เกรงว่าคงต้องสิ้นใจไปก่อนวัยอันควรแน่ หากว่าเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อนเขาจะต้องขอบคุณเฟิงหลีเลี่ยเป็นอย่างมากที่ทำให้เขาจากไปโดยเร็ว ทว่าตอนนี้เขารู้สึกว่าตนเองนั้นยังใช้ชีวิตไม่คุ้ม ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้เห็น ถึงเวลาที่ต้องลาจากโลกไปแล้วจะเอาอะไรไปเล่าให้ภรรยาของเขาฟังได้ เกรงว่าแม้แต่เรื่องจะเล่าให้ลูกของตัวเองฟังก็ยังไม่มี
“พี่ชายใหญ่เจ้าคะ เสด็จแม่โกรธหรือไม่เจ้าคะ ดูท่าทางนางไม่ค่อยมีความสุขเลย” มู่หรงชูอวิ๋นจับคางเอ่ยถามอย่างเป็นทุกข์
เฟิงหลีเลี่ยรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบที่หน้าอกอย่างแรง “อวิ๋นเอ๋อร์ เหตุใดจึงเรียกนางว่าเสด็จแม่?”
ราวกับพูดถึงเรื่องที่ทำให้มู่หรงชูอวิ๋นเสียใจเข้าแล้ว “ข้าแพ้พนันให้กับเฟิงเยี่ยนเฉิง เขาจึงให้ข้าเรียกนางว่าเสด็จแม่เจ้าค่ะ”
เงยหน้าขึ้นมากระทันหันพลางเอ่ยกับเฟิงหลีเลี่ย “พี่ชายใหญ่ ท่านต้องช่วยข้านะเจ้าคะ ข้าแพ้ตลอดเลย ไม่เคยชนะสักครั้งเลยเจ้าค่ะ”
“ได้” ขอเพียงนางบอกมา ไม่ว่าอะไรเขาก็รับปากทั้งนั้น ต่อให้จะทำไม่ได้ก็ตาม
ตอนที่ 372 เสด็จแม่3
เฟิงเยี่ยนเฉิงเป็นโอรสของเฟิงหรงสวี่และน่าหลันฉิง ปีนี้อายุสิบขวบพอดี เป็นวัยที่กำลังดื้อซุกซน
ตั้งแต่เด็กมาเฟิงเยี่ยนเฉิงก็รู้ว่าตนเองมีพี่ชายแท้ๆ คนหนึ่ง และน่าหลันฉิงได้สอนเขาอยู่เสมอว่า หากวันหนึ่งเขาได้พบกับเฟิงหลีเลี่ยจะต้องปฏิบัติกับเขาให้ดี ทว่าเฟิงเยี่ยนเฉิงกลับไม่ชอบเฟิงหลีเลี่ย ถึงขนาดที่พูดได้ว่าเป็นความเกลียดชัง เพราะว่าเขาจะเห็นเสด็จแม่แอบร้องไห้คนเดียวอยู่หน้ารูปวาดของเฟิงหลีเลี่ยคนนั้นเสมอ บางครั้งก็ร้องไห้หนักจนตาพร่ามัว อีกอย่างเฟิงหลีเลี่ยก็ไม่เหมือนพี่ชายของคนอื่น ที่จะออกมาปกป้องน้องชายเวลาที่ถูกคนอื่นรังแก นอกจากรูปวาดของเขาแล้ว เฟิงเยี่ยนเฉิงไม่เคยเห็นตัวจริงของเขาสักครั้ง บางคราเขาก็เข้าใจว่าเฟิงหลีเลี่ยไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว เสด็จแม่จึงได้เสียใจถึงเพียงนั้น เขาเคยถามเสด็จพ่ออยู่หลายครั้งว่าเหตุใดเสด็จแม่จึงเป็นเช่นนี้ เสด็จพ่อก็ได้แต่ยิ้มพลางลูบหน้าผากตัวเอง ถอนหายใจอย่างเศร้าใจ หนี้ที่ติดค้างอย่างไรแล้วก็ต้องชำระ
มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเคยแอบเอารูปวาดของเฟิงหลีเลี่ยทุกภาพไปซ่อน ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เฟิงเยี่ยนเฉิงได้เห็นเสด็จแม่ตะคอกใส่เขา โกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟ จากนั้นนางก็ไม่สนใจเขากับเสด็จพ่อนานถึงหนึ่งเดือนเต็ม ทำเอาเฟิงหรงสวี่ผู้ที่เป็นคนตามใจภรรยาดั่งชีวิตอยากจะดึงลูกชายตัวแสบที่ทำให้เขาต้องซวยไปด้วยมาตีให้หนักสักรอบ โทษฐานที่ทำให้เขาเดือดร้อนไปด้วยราวกับปลาติดหลังแหอย่างไรอย่างนั้น เสด็จแม่ของเขาเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนที่สุด แม้แต่จะพูดจากับผู้อื่นด้วยเสียงดังยังเป็นอะไรที่ยากมาก แม้แต่เสด็จพ่อที่เป็นคนจู้จี้จุกจิกที่สุดยังเอ่ยชมว่าเสด็จแม่เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนที่สุดและเป็นหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ด้วย
เมื่อไม่นานมานี้เขาได้ยินว่าเฟิงหลีเลี่ยจะมาที่นี่ เขาตั้งใจเชิดหน้าบึ้งตึงบอกว่าเขาจะไม่ไปพบเฟิงหลีเลี่ย น่าหลันฉิงก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะให้เขาไป เพราะแม้แต่ตัวนางเองยังกระวนกระวายลุกนั่งไม่ติด ทว่าเมื่อถึงวันที่เฟิงหลีเลี่ยมาถึงแล้ว ทุกคนต่างก็ไปพบเฟิงหลีเลี่ยทั้งนั้น เขาอดใจไม่อยู่ก็ติดตามไปด้วยเช่นกัน กระทั่งได้เห็นคนที่มีรูปโฉมดั่งเทพบุตรปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าของเขาคนนั้น อีกทั้งรัศมีเย็นชาที่ทำให้รู้สึกไม่กล้าเข้าใกล้ที่แผ่ซ่านออกมาเช่นนั้น เขาเห็นสิ่งที่พวกเขามีคล้ายกันบนใบหน้าของเฟิงหลีเลี่ย จึงอดใจไม่ไหวขยับขึ้นหน้าเข้าไปใกล้ ตะโกนเรียกเสียงดัง “เสด็จพี่”
ทว่าเมื่อเฟิงหลีเลี่ยมองมายังเด็กน้อยตัวเท่าเอวของเขาแล้ว เพียงแต่กวาดสายตาเรียบเฉยมองเขาไปที จากนั้นก็พยักหน้าให้กับเสด็จพ่อของเขาแล้วเดินเข้าด้านใน ไม่แม้แต่จะเหลือบมองเสด็จแม่ของเขาเลยสักนิด
เฟิงเยี่ยนเฉิงโมโห หน้าซาลาเปาพองปูดด้วยความบูดบึ้ง เอ่ยขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด “เจ้าคนนี้เหตุใดจึงเสียมารยาทเช่นนี้ เสด็จแม่ของข้าพูดอยู่กับเจ้านะ เจ้าเป็นใบ้หรือไรถึงไม่รู้จักตอบ” เขาโกรธที่เฟิงหลีเลี่ยไม่เห็นหัวเขา นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเด็กน้อยเช่นเขาที่ถูกคนอื่นไม่แยแสเช่นนี้
เขาเป็นพระโอรสคนเดียวของเฟิงหรงสวี่ ตั้งแต่วัยเยาว์มีแต่คนคอยตามใจ เป็นนายน้อยที่มีอิทธิพลมาโดยตลอด แม้แต่เฟิงหรงสวี่ยังน้อยครั้งที่จะพูดจารุนแรงกับเขา ไฉนเลยจะเคยเจอกับการเย็นชาใส่เช่นนี้ได้ อีกอย่างเสด็จแม่ทรงเป็นทุกข์เสียใจเพราะเฟิงหลีเลี่ยอยู่ทุกครั้ง
น่าหลันฉิงได้ยินคำพูดของเขาเช่นนี้ ตกใจรีบเอามือมาปิดปากไม่มีหูรูดของเขาไว้แน่น รีบร้อนอธิบายกับเฟิงหลีเลี่ยทันที “เฉิงเอ๋อร์เขาไม่ได้ตั้งใจ เจ้าอย่าถือโทษโกรธเลย หากจะโทษให้โทษข้าก็พอแล้ว” ทว่านางกลับรู้สึกเหมือนว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป ลนลานทว่าก็ไม่รู้ควรอธิบายอย่างไรดี ร้อนใจแทบอยากจะร้องไห้ อย่างไรแล้วการที่นางปกป้องเฟิงเยี่ยนเฉิงเช่นนี้ ก็เหมือนว่านางเป็นแม่ที่ให้ท้ายลูกของตัวเอง แต่อีกฝ่ายก็คือลูกชายที่นางทำผิดต่อเขามานานหลายปี
“เลี่ยเอ๋อร์ เดินทางมาเหน็ดเหนื่อยแล้ว รีบไปพักผ่อนก่อนเถิด” เฟิงหรงสวี่ที่อยู่ด้านข้างรีบเอ่ยหงายไพ่เป็นคนดีในทันที
เฟิงหลีเลี่ยเป็นคนเย็นชาไม่แยแสผู้ใดมาแต่กำเนิด ไม่ใช่ว่าผู้ใดก็สามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของเขาได้โดยง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมารดาที่ทำลายวัยเด็กของเขาด้วยเลย ส่วนมู่หรงชูอวิ๋นนั้นไม่มีอะไรนอกจากเรียกว่าโชคดีที่ได้เข้าไปอยู่ในใจเขา
เฟิงหลีเลี่ยพยักหน้ารับคำ เข้าไปยังรถม้าแล้วอุ้มมู่หรงชูอวิ๋นที่เหนื่อยจนผล็อยหลับไปคนนั้นออกมา ตอนที่สายตาของเขามองไปที่มู่หรงชูอวิ๋นนั้น พลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาในทันที
น่าหลันฉิงมองเห็นท้องนูนเล็กๆ ของหญิงสาวร่างเล็กอรชนในอ้อมแขนของเฟิงหลีเลี่ยแล้ว น้ำตาอุ่นพลันเอ่อล้นขึ้นมา นางหันหลังให้กับทุกคนแล้วน้ำตาแห่งความปิติยินดีก็ไหลออกมา มุมปากผลิยิ้มดั่งบุปผาเบ่งบาน สะพรั่งเช่นนั้นอยู่นาน ลูกชายของนางมีความสุขแล้ว
ตอนที่นางได้เห็นเฟิงหลีเลี่ยมาปรากฎตัวตรงหน้าของตนนั้น ความประหม่าพลันผุดขึ้นมาชั่วขณะ แทบอยากจะหลบหน้าหนีไป หากไม่ใช่เพราะความอุ่นที่ส่งผ่านมาจากฝ่ามือของเฟิงหรงสวี่ เกรงว่านางคงยืนหยัดเอาไว้ไม่อยู่ ได้เห็นความเย็นชาที่เผยออกมาจากใบหน้าและแววตาคู่นั้น คล้ายกับบุปผาที่แช่เย็นอยู่ในน้ำค้างแข็ง เป็นความเย็นชาที่นางไม่เคยเห็นในรูปวาดมาก่อนเลย นางยังคงจดจำได้คลับคล้ายคลับคลาถึงภาพในพระตำหนักเย็น ครั้งที่นิ้วทั้งสิบของนางบีบที่ลำคอบางเล็กของเขา ซึ่งเฟิงหลีเลี่ยก็ไม่เคยร้องเจ็บแม้เพียงนิด ดวงตาที่จดจ้องมองนางคู่นั้นยังคงชัดเจนและกระจ่างใส
แท้จริงแล้วเฟิงหรงสวี่เป็นห่วงว่านางจะยิ่งรู้สึกผิดขึ้นไปอีก หากนางได้รู้ว่าเฟิงหลีเลี่ยเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้จึงได้ส่ังให้คนปิดรูปคิ้วแหลมคมของเฟิงหลีเลี่ยไปเสีย
มาถึงวันนี้แม้แต่จะเรียกชื่อเฟิงหลีเลี่ย นางยังไร้ซึ่งความกล้า เพราะแม้แต่การถักเสื้อผ้าให้เฟิงหลีเลี่ยสักชุดนางก็ยังไม่เคยมีให้ หลายปีมานี้นางได้ทุ่มเทความรักและความรู้สึกผิดที่มีต่อเฟิงหลีเลี่ยให้กับเฟิงเยี่ยนเฉิงเป็นเท่าทวี