เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 374
“หยุดก่อกวนเถิดเพคะ ประเดี๋ยวคนอื่นเข้ามาเห็นจะดูไม่งาม” น่าหลันฉิงครวญด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา นางไม่รู้ว่าวันนี้เฟิงหรงสวี่เป็นอะไร ตั้งแต่เข้ามาก็ดูไม่ปกติแล้ว
เฟิงหรงสวี่หาได้สนใจสายตาของคนทั้งโลกไม่ ทำตามใจปรารถนา น่าหลันฉิงก็ห้ามอะไรเขาไม่ได้
เฟิงหรงสวี่เหลือบมองประตูที่ปิดสนิท เอ่ยออกไปอย่างหาได้สนใจไม่ “ผู้ใดจะกล้าเข้ามา อีกอย่างข้าแสดงความรักกับภรรยาแล้วไปขัดหูขวางตาใครหรือ” ประคองใบหน้าของน่าหลันฉิง แล้วจูบอย่างหนักน่วง เกิดเป็นเสียงชื้นแฉะ แม้แต่หญิงงามวัยกลางคนอย่างน่าหลันฉิงยังรู้สึกเขินอาย ไม่รู้ว่าเขาไปเอาความกล้าหน้าหนามาจากที่ใด
ทุกครั้งที่เฟิงหรงสวี่ได้เห็นน่าหลันฉิง เขาก็ไม่อาจควบคุมความคิดของตัวเองได้ เป็นความรู้สึกอยากเข้าใกล้นางอย่างอดไม่ได้ อยากจะข่มเหงรังแกนาง กระทั่งน้ำตาดอกแพร์ร่วงหล่นเอ่ยอ้อนวอนขอร้อง เขาถึงมาพิจารณาว่าควรปล่อยนางไปดีหรือไม่ เมื่อครู่เดินเข้าห้องมาได้เห็นน่าหลันฉิงหน้าตาเป็นทุกข์ ผมเผ้ายุ่งเหยิงอยู่บ้างร่วงมาปิดรวงแก้มของนาง เห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกรัก อดไม่ได้ที่เขาจะผุดความคิดอยากจะข่มเหงนางขึ้นมา
เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองชอบน่าหลันฉิงตรงไหน อายุของน่าหลันฉิงมากกว่าเขาถึงสามปี หากเป็นสมัยก่อนที่จะได้พบกับนาง เพียงแค่บอกให้เฟิงหรงสวี่แต่งงานกับหญิงสาวที่อายุมากกว่าเขาปีเดียว เขาจะต้องทำเสียงฮึดฮัด ไม่เท่ากับเป็นการให้เขาแต่งมารดากลับจวนหรอกหรือ แต่ยามที่เขาได้เห็นน่าหลันฉิงกลับรู้สึกว่านางเป็นสาวน้อยน่ารักคนหนึ่ง ไม่ว่าจะขยับตัวเคลื่อนย้ายอย่างไรล้วนแต่อ่อนโยนเป็นที่สุด เฉกเช่นดรุณีน้อยวัยสิบแปด ผิวพรรณละเอียดอ่อนดั่งสายธารใสและอ่อนนุ่ม อีกทั้งช่วงเวลานั้นที่เขาและนางได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ยิ่งทำให้เขาหลงรักนางอย่างหมดหนทางเยียวยา เขาไม่สนใจด้วยว่าสายตาของคนทั้งโลกในอนาคต จะยอมรับคนที่แต่งผู้หญิงของพี่ชายเช่นเขาหรือไม่ เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาขาดน่าหลันฉิงไม่ได้
“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”
น่าหลันฉิงหันหน้าทันควันมองไปยังเฟิงเยี่ยนเฉิงที่เหมือนเทพบุตรตัวน้อย พลันตั้งสติขึ้นมาได้ จึงปัดมือของเฟิงหรงสวี่ออกไปวางบนหน้าอกของเขาเงียบๆ จ้องมองบุตรชายที่กำลังเดินเข้ามาหานาง
เฟิงหรงสวี่รีบดึงปกคอเสื้อของน่าหลันฉิงที่ย้อยลงไปให้ปิดขึ้นมา ต่อให้คนที่เข้ามาจะเป็นบุตรชายของเขาเอง ทว่าเขาก็ไม่อยากให้ใครได้เห็น เมื่อตอนที่ลูกชายคนนี้ยังเด็กได้แย่งความสุขของเขาไป เขายังไม่ได้ทวงคืนเลย ในใจแอบสบถไปคำ สมควรตายนัก เมื่อครู่เข้ามาด้วยความตื่นเต้นดีใจ จึงลืมไปว่ายังมีเจ้าเด็กที่ชอบทำให้พ่อซวยไปด้วยคนนี้อยู่ ไม่เช่นนั้นเขาคงจะลงกลอนประตูให้ดีไปนานแล้ว
น่าหลันฉิงหน้าแดงก่ำคล้ายกับไข่ไก่ที่ต้มจนสุก มาแสดงความรักกลางวันแสกๆ ก็พอทนแล้ว ยังจะมาทำให้ลูกเห็นเช่นนี้อีก ช่างขายหน้าไปถึงตระกูลเสียจริง อดไม่ได้ถลึงตาใส่เฟิงหรงสวี่ไปที ใครกันที่พูดว่าไม่มีคนอื่นเห็น
เฟิงหรงสวี่ใบหน้าขาวกระจ่างพลันเคร่งขรึม มีความหล่อคมเข้ม ดวงตาดำขลับลึกล้ำประกายสีสันให้ชวนน่าหลงใหล คิ้วเข้มจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากมีเสน่ห์ ไม่ว่าจะมองส่วนไหนล้วนดูสง่างามและสูงศักดิ์ เขาเอ่ยขึ้นว่า “มีมือเอาไว้ทำสิ่งใด จะเข้ามาเหตุใดจึงไม่เคาะประตู? ไร้ซึ่งมารยาท” อดกลั้นความโมโหไว้จนหน้าผากมีเหงื่อละเอียดผุดซึมขึ้นมา สักวันเขาคงต้องบ้าตายเพราะเจ้าลูกพาซวยคนนี้เป็นแน่ ไม่รู้เหตุใดตอนนั้นถึงได้อยากให้เขาเกิดมา ออกมาแล้วก็มาทรมานตนเอง
เฟิงเยี่ยนเฉิงไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตา “เวลาเสด็จพ่อเข้ามาก็ไม่เคยเคาะประตูนะพ่ะย่ะค่ะ? ข้าก็เรียนรู้จากท่าน การไม่อบรมลูกให้ดีเป็นความผิดของบิดา” อีกอย่างเสด็จพ่อมักจะจับเขาโยนออกจากห้องไปทุกครั้ง เขาได้ยินคนพูดกันว่าสมัยที่เขาเป็นเด็กเสด็จพ่อมักจะโยนเขาออกไปนอกห้อง แล้วครอบครองเสด็จแม่ของเขาเพียงคนเดียว
เฟิงหรงสวี่กลืนน้ำลายลงคอ ทั้งยังมีเหตุผลมากล่าวอ้าง “ข้ามาหาภรรยาของข้า การเข้ามาห้องตัวเองมีปัญหาใดเช่นนั้นหรือ?”
“ข้าก็มาหาเสด็จแม่ของข้า เข้ามาห้องของเสด็จแม่มีปัญหาใดเช่นนั้นหรือ?” เฟิงเยี่ยนเฉิงโก่งคอเถียงกลับไปอย่างไม่ยอม ทุกคนต่างรู้จักแต่จะรังแกเด็กเช่นเขา ให้สู้อย่างไรเขาก็เอาชนะคนอย่างพวกเขาไม่ได้ ความรู้สึกน้อยใจที่ได้มาจากเฟิงหลีเลี่ยพลันถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง
“มีปัญหา เพราะว่าที่นี่ก็คือห้องของข้า”
เป็นห้องของเขาและภรรยา
“เช่นนั้นท่านย้ายออกไปก็สิ้นเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงหรงสวี่กัดฟันกรอดเอ่ยไปว่า “เจ้าเด็กหัวเหม็น ไหนเจ้าลองพูดอีกทีสิ” เขาไม่รังเกียจที่จะทำหน้าที่ของพ่อเสียหน่อย กล้ามาบอกให้เขาย้ายออกไปเช่นนั้นหรือ นับตั้งแต่วินาทีที่เขาเข้ามาในห้องภรรยาของเขาแล้ว ผู้ใดก็ไม่สามารถกีดกันให้เขาแยกจากภรรยาไปได้ จะให้แยกห้องยิ่งเป็นไปไม่ได้
เฟิงเยี่ยนเฉิงหดตัวอยู่ในอ้อมแขนของน่าหลันฉิงอย่างหวาดกลัว ใบหน้าซาลาเปาน้อยหงิกงอพลางเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงจะตีลูกให้ตาย หรือว่าลูกเป็นเหมือนพี่ชายใหญ่ที่ไม่ใช่ลูกในไส้ของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” เศร้าใจเกือบต้องเช็ดน้ำตาแล้ว ไหนเลยจะเรียกว่าแม่หม้ายสามีทิ้ง
เฟิงหรงสวี่มีสีหน้าเคร่งเครียดดั่งมีเมฆครึ้มลอยอยู่เหนือศีรษะ[1] ตัวเองเถียงไม่ได้แล้วยังมาฟ้องว่าคนอื่นผิด “วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าเห็นอะไรที่เรียกว่าพ่อเลี้ยง” เป็นคำพูดจากลูกในไส้ของตัวเองโดยแท้ เสียดายข้าวสุกที่ป้อน เสียดายความรักที่ทุ่มเทให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจริงๆ เลี้ยงสุนัขมันยังรู้จักกระดิกหางให้เจ้านาย โมโหจนแทบอยากจะจับเจ้าลูกชายตัวดี ยัดเข้าท้องของน่าหลันฉิงกลับเข้าเตาไปหลอมกลับมาใหม่เสียเหลือเกิน
[1] เมฆครึ้มลอยอยู่เหนือศีรษะ อุปมาความชั่วร้ายกำลังจะสำแดงออกมา