เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 379 ขอโทษ
ฉินอวิ๋นซินคุกเข่าอยู่กับพื้นนานเป็นครึ่งวัน ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดีจึงจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคืองโกรธ
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ตำหนินางไปหลายคำ ความรู้สึกทุกข์ใจที่เก็บกลั้นอยู่ในใจมานานหลายปีพลันคลายลงไปได้บ้าง กวาดสายตามองไปยังรอยบากยาวที่ใบหน้าของฉินอวิ๋นซิน ในตอนนั้นที่นางกลับมาจวนสกุลมู่หรงได้สวมหน้ากากปิดบังรอยบ่กนี้ไว้ ฮูหยินผู้เฒ่าเกรงใจจึงไม่กล้าจ้องมองใบหน้าของผู้อื่น ถึงตอนนี้เมื่อได้เห็นแล้วดูท่าหลังจากที่นางจากไปคงเกิดเรื่องราวกับนางอยู่ไม่น้อย
“ปีนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? อีกอย่างอย่าพูดว่าเจ้าบอกข้าไม่ได้ เพราะข้าไม่ใช่เจ้าลูกชายโง่ของข้าคนนั้น ที่จะได้หลับหูหลับตาปล่อยผ่านไปได้โดยง่าย” ฮูหยินผู้เฒ่าด่ามู่หรงไป๋ว่าโง่อย่างไม่รู้สึกผิดแม้เพียงนิด หากเขาไม่โง่ ไหนเลยจะมาช่วยนางปกปิดอยู่เช่นนี้ กระทั่งเรื่องแดงขึ้นมาเช่นนี้ถึงได้ยอมรับออกมา
ฉินอวิ๋นซินรู้ดีว่าหากนางยังไม่ยอมพูดความจริงกับฮูหยินผู้เฒ่า อย่าหวังเลยว่าชีวิตนี้จะได้กลับเข้ามายังสกุลมู่หรงอีก แม้เพียงอยากพบหน้ามู่หรงชูอวิ๋นก็เป็นความคิดเพ้อเจ้อที่ไม่มีทางเป็นไปได้ มาถึงขั้นที่พวกเขารู้เรื่องของนางกันหมดแล้ว จึงเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังอย่างไม่ปิดบัง
ฮูหยินได้ฟังเรื่องราวจากปากของฉินอวิ๋นซินแล้ว ก็เงียบไม่พูดอะไรอยู่นาน คิ้วยังคงขมวดแน่นไม่คลาย
ก่อนจะโพล่งคำถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง “แม่ของมู่เอ๋อร์รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของเรื่องนี้หรือไม่?” ดวงตาพลันหรี่ลงอย่างลึกซึ้ง
ฉินอวิ๋นซินย่นคิ้วก่อนจะพยักหน้ายอมรับ ฮูหยินผู้เฒ่าฉลาดเป็นที่สุด ไม่มีเรื่องใดที่จะปิดบังนางได้เลย
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าดูแย่ขึ้นมาก
ในปีนั้นที่นางได้พบกับคนเผ่าเดียวกัน บังเอิญถูกซูซื่อเห็นเข้าพอดี ซูซื่อเข้าใจผิดคิดว่าฉินอวิ๋นซินทรยศมู่หรงไป๋คบกับชายอื่น ไม่ว่าฉินอวิ๋นซินจะอธิบายเช่นไรนางก็ยืนกรานเชื่อความคิดตัวเองเป็นกระต่ายขาเดียว ในสมัยนั้นซูซื่อริษยาที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้ความสำคัญกับฉินอวิ๋นซินที่เป็นเด็กกำพร้า มากกว่าคุณหนูมีชาติตระกูลอย่างนาง แม้ว่าฉินอวิ๋นซินจะให้กำเนิดบุตรสาวก็ยังทั้งรักทั้งหลงกันถึงเพียงนี้ ทั้งที่ประจักษ์กันอยู่ว่านางให้กำเนิดบุตรชายไว้สืบสกุลมู่หรงแท้ๆ ทุกคนก็ยังไปห้อมล้อมอยู่ที่ครอบครัวของมู่หรงไป๋ กระทั่งว่านางเห็นสายตาของมู่หรงอิงสามีของตนอย่างไม่ค่อยชัดเจนเท่าใด ยามที่เขามองฉินอวิ๋นซินหาใช่สายตาของพี่เขยคนหนึ่งใช้มองน้องสะใภ้ นางรู้สึกหวาดระแวงและไม่ยอม กลัวว่ามู่หรงอิงจะไปสนใจภรรยาของน้องชายตนเองเข้าให้ ทว่าก็ไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมา นางงามสู้ขนผิวหน้าของฉินอวิ๋นซินยังไม่ได้ ถึงตอนนี้โอกาสมาวางอยู่ตรงหน้าแล้ว นางจึงบอกให้ฉินอวิ๋นซินเลือกว่าจะยอมสารภาพหรือยอมจากไป ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่รังเกียจที่จะพูดเรื่องนี้แทนฉินอวิ๋นซินเอง สุดท้ายเรื่องก็เกิดขึ้นอย่างที่เป็นมา ฉินอวิ๋นซินในเวลานั้นถูกบีบด้วยแรงกดดันจากชนเผ่า นางจึงขอให้ซูซื่อช่วยดูแลมู่หรงชูอวิ๋นให้ดี ก่อนจะกินยาแกล้งตายไปเสีย
“เหตุใดตอนนั้นจึงไม่บอกข้า?” หากยอมบอกเสียแต่แรกเรื่องทั้งหมดก็คงไม่เป็นเช่นนี้ ในตอนนั้นท่าทางของซูซื่อตื่นตระหนก ฮูหยินผู้เฒ่ายังรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ทว่าเพื่อความสามัคคีปรองดองของตระกูลมู่หรงแล้ว นางจึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจให้มาก ใครจะคาดคิดคนที่รู้จักกันจะหลายเป็นคนที่รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ
ฉินอวิ๋นซินในตอนนั้นเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ คิดเพียงอย่างเดียวคือจะไม่ทำให้สกุลมู่หรงต้องมาลำบาก
“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ” ในตอนนี้ฉินอวิ๋นซินไม่รู้ว่าควรพูดถึงบาปของตนเองอย่างไร ยิ่งอธิบายก็ยิ่งเหมือนหลบหนี นางไม่ต้องการหนีอีกต่อไป เพราะนางได้หนีไปสิบปีแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาว มองคนที่นั่งก้มหน้าจนน้ำตาที่กลั้นไว้เกือบจะไหลลงมาแล้ว พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่รีบร้อน กำลังได้จังหวะพอดี “คนที่เจ้าต้องพูดขอโทษนั้นไม่ใช่ข้า และก็ไม่ใช่ไป๋เอ๋อร์ แต่เป็นอวิ๋นเอ๋อร์” นางไม่รู้หากมู่หรงชูอวิ๋นรู้เรื่องนี้แล้วจะทนรับไหวหรือไม่ มู่หรงชูอวิ๋นในเวลานี้มีความสุขเช่นนั้น นางไม่อยากให้คนอื่นมาทำลายความสุขของหลานสาวอีกแล้ว
ดวงตาคลุกเคล้าไปด้วยความเสียใจ “ข้าไม่กล้าขอให้อวิ๋นเอ๋อร์ให้อภัย หวังเพียงท่านแม่จะยอมให้ข้าได้อยู่ชดเชยความผิดข้างกายอวิ๋นเอ๋อร์เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังนางเอ่ยถึงมู่หรงชูอวิ๋น พลันคิดได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ตนได้รับจดหมายรายงานความปลอดภัยจากเฟิงหลีเลี่ย รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นที่มุมปากอย่างอดไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าเฟิงหลีเลี่ยจะใช้ได้ถึงเพียงนั้น อีกไม่นานนางก็จะได้เป็นย่าทวดแล้ว
“เรื่องยกโทษรอให้เจ้าได้พบอวิ๋นเอ๋อร์ค่อยว่ากัน” เอ่ยออกไปอย่างรำคาญ “เจ้าออกไปก่อนเถิด” ตอนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางแล้วโมโหจนปวดหัวไปหมด
ฉินอวิ๋นซินมองสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าแต่ดูไม่ออกว่านางคิดเช่นไร รู้สึกยิ่งสูญเสียความมั่นใจ ทำได้เพียงทำตามที่ใจคิดต่อไปเท่านั้น นางไม่กล้าหวังมากเกินไปที่จะขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าอภัยให้นางได้เร็วถึงเพียงนั้น อย่างน้อยฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ไล่นางออกไปไหนก็ดีแล้ว
ทอดมองดวงตะวันสูงโด่งค่อยๆ ลับไปยังทิศตะวันตก มุมปากเปี่ยมไปด้วยความขมขื่น
หลังจากที่ฉินอวิ๋นซินออกไปแล้ว สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ่งเคร่งเครียดขึ้นอีก ท้ายที่สุดมุมปากผลิรอยยิ้มเย็นชาขึ้นมา พลันเอ่ยน้ำเสียงเยียบเย็น “นางช่างกล้าที่จะปิดบัง พาคนใจแคบมายังตระกูลมู่หรงโดยแท้”
สิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าเกลียดที่สุดก็คือคนครอบครัวเดียวกันแต่มีลับลมคมใน มีเจตนามุ่งร้ายทำลายกัน หากทุกคนคิดถึงแต่ตัวเอง ไหนเลยที่บ้านจะยังเป็นบ้านต่อไปได้อีก คงจะวุ่นวายกันไปหมด เพื่อสิ่งเหล่านี้ที่เป็นเพียงเปลือกนอกไร้ความหมายก็เท่านั้น