เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 383-384
ตอนที่ 383 ตามหาคน3
มู่หรงจางโบกมือให้ทหารที่ล้อมอยู่ถอยไป เพราะเขารู้สึกว่าฉินสุยไม่น่าจะกล้าสร้างความวุ่นวาย
เหล่าทหารต่างคิดว่าในเมื่อเขาเป็นพี่ชายของท่านกุนซือเจียง ก็ไม่น่าจะมีเรื่องอันใด จึงถอยหลังไปสิบกว่าก้าว ทว่ายังคงให้ความระแวดระวังอยู่
คืนนี้พวกเขาปล่อยให้ฉินสุยลอบเข้ามาในค่ายได้ หากไม่ใช่เพราะเขาตั้งใจตัดธงสัญลักษณ์ พวกเขาก็ไม่มีทางรู้เรื่องนี้ได้ เห็นชัดว่าฉินสุยเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง
ฉินสุยลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงจากอาการตื่นตกใจของฉินอวิ๋นซินด้วยความรู้สึกสงสาร ทัดเก็บเส้นผมที่หล่นลงมาปกคลุมรวงแก้มไว้หลังหูให้นาง ราวกับไม่รู้สึกถึงสายตาสังหารของมู่หรงไป๋ มือของเขาขาวบริสุทธิ์ไร้ตำหนิผุดผ่องดั่งหยกงามชิ้นหนึ่ง มือเรียวยาวไร้สิ่งสกปรกคู่นี้มีความเย็นเยียบ ราวกับไร้ซึ่งความอบอุ่น เมื่อสัมผัสแล้วทำให้รู้สึกหนาวใจ ฉินอวิ๋นซินสัมผัสได้กับหนาวสั่น “ข้าทำไปเพราะหวังดีกับนาง อวิ๋นซินนี่เจ้ากำลังทำอันใด ข้าเป็นลุงของนาง จะทำร้ายนางได้หรือ เด็กโง่เอ๋ย เพิ่งจะจากบ้านมานานสักเท่าไรกันเชียว เหตุใดเจ้าถึงลืมเสียแล้ว”
ใบหน้าของฉินอวิ๋นซินมีแต่ความหวาดกลัว น้ำตาหลั่งริน “พี่ใหญ่” นางกลัวหากว่ามู่หรงชูอวิ๋นเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นแล้ว นางจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคน จะไม่ใช่มู่หรงชูอวิ๋นคนเดิมอีกต่อไป นางยังจำพี่สาวแท้ๆ คนที่รักและเอ็นดูนางที่สุดได้เป็นอย่างดี คนอ่อนโยนมีอนาคตไกลยากจะหาศัพท์ไหนมาบรรยายได้คนหนึ่ง พวงแก้มผลท้อมีแต่รอยยิ้ม พูดน้อยสงวนถ้อยคำ งดงามดั่งกล้วยไม้ ยิ้มเมื่อใดดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่ง อดไม่ได้อยากจะเข้าใกล้นาง ทว่าหลังจากช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสามเดือนที่นางเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้น กลับออกมาก็กลายเป็นคนเย็นชา หัวคิ้วเป็นน้ำค้างแข็ง ภายใต้คิ้วเรียวสวยมีดวงตาสีเงินไม่แยแสคู่หนึ่ง ส่วนลึกของดวงตาเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ใด ฉินอวิ๋นซินไม่กล้าจินตนาการภาพของมู่หรงชูอวิ๋น หากในอนาคตนางกลายเป็นสภาพเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร หวังเพียงให้ฉินสุยเปลี่ยนคนใหม่ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นแล้ว คำว่า ‘ท่านลุง’ ของความเป็นญาติราคาถูกเพียงไหนใครก็ทราบ ไม่คุ้มค่าให้พูดถึงด้วยซ้ำ พี่สาวแท้ๆ ของนางถูกท่านพ่อส่งเข้าไปในนั้นด้วยมือของท่านเองไม่ใช่หรอกหรือ ในตอนนั้นหาได้มีความลังเลใจแม้เพียงนิด ต่อให้พี่สาวของนางจะร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง ลูกตาแทบจะทะลักออกมา ท่านพ่อยังไม่เคยใจอ่อน เพราะนี่คืออุปนิสัยของคนสกุลฉิน แล้วเพียงแค่ ‘ท่านลุง’ ราคาถูกคนหนึ่ง ไหนเลยที่นางจะกล้าคาดหวังอะไรได้สูงนัก
“อวิ๋นซินมานี่ อวิ๋นเอ๋อร์ยังมีข้าทั้งคน” มู่หรงไป๋รู้สึกสงสารจับใจ เขาเก็บท่าทางอ่อนแออยู่ในฐานะต่ำต้อยของฉินอวิ๋นซินไว้ในสายตาแล้ว เดิมทีเขาคิดว่าในเมื่อฉินสุยเป็นพี่ชายของฉินอวิ๋นซิน ตนก็จะไม่ถือสาเรื่องที่เขาบุกเข้ามายังค่ายทหาร และจะปฏิบัติต่อเขาด้วยความสุภาพ
ใครจะรู้ฉินสุยไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จะพรากภรรยาที่แต่งงานผูกผมของเขาไปเสียแล้ว ถึงตอนนี้ก็จะพรากลูกสาวของเขาไปอีก ฝันมากเกินไปแล้ว เห็นคนอย่างมู่หรงไป๋เป็นลูกพลับคิดอยากจะบีบเมื่อใดก็ได้เช่นนั้นหรือ อีกอย่างเฟิงหลีเลี่ยก็ไม่ได้เป็นพวกกินพืช[1] พวกเขาไม่เคยกลัวคนสกุลฉินจะแข็งข้อขึ้นมา กลัวแต่จะแอบทำความเสื่อมเสียให้ชื่อเสียงที่ไม่ใช่สาระสำคัญมากกว่า
ฉินสุยกวาดตามองฝูงชนที่ตั้งท่าอยู่พร้อมแล้ว พลันหยักมุมปาก “พวกท่านพิจารณาเงื่อนไขของข้าก่อนก็ได้ ข้าคิดว่าคนที่อยู่ในเมืองหลวงจะให้ความร่วมมือได้” จังหวะเวลาในตอนนี้ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไร การที่เขาออกมาปรากฎตัวเช่นนี้ก็เพื่อแจ้งเตือนตระกูลมู่หรงเท่านั้น
ทันใดนั้นระเบิดควันลูกหนึ่งได้ปกคลุมไปทั่วทั้งผืน กระทั่งควันขาวเข้มฟุ้งได้จางหายไป มู่หรงไป๋มองดูฉินอวิ๋นซินยังคงอยู่ในอ้อมอกป้องกันของตัวเองอยู่ถึงได้รู้สึกสบายใจ ตอนที่ฉินสุยทิ้งระเบิดควันนั้น เขารีบคว้าฉินอวิ๋นซินเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเองก่อน พลางขยับเอียงตัวไปด้านข้างหลายส่วน เลี่ยงไม่ให้ฉินสุยพรากฉินอวิ๋นซินไปได้
ทางด้านฉินอวิ๋นซินคิ้วเรียวงามของนางขมวดเป็นรอยบางๆ ใบหน้ารูปไข่ละเอียดปราณีตของนางปรากฎความกังวลอยู่จางๆ ทำให้โฉมหน้าเดิมทีงดงามจนน่าแปลกใจของนางเพิ่มความรู้สึกให้หัวใจเต้นจากความรักเมื่อพบหน้าขึ้นไปอีก
ตอนนี้มู่หรงไป๋ไม่มีอารมณ์ใดทั้งสิ้น นอกจากความทุกข์ใจ เขาเชื่อว่าฉินสุยไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่
เมื่อคนสกุลฉินลงจากเขาแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำจำเป็นต้องทำให้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไป
“เจ้าตามพวกข้าเข้ามา” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยน้ำเสียงเย็นชากับฉินอวิ๋นซิน
[1] ไม่ใช่พวกกินพืช หมายถึง เป็นคนกินเนื้อ มีนิสัยดุร้ายพอตัว
ตอนที่ 384 ให้กำเนิด1
หลังจากที่ฉินสุยไปแล้ว ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป ซึ่งในตอนที่แยกย้ายกันนั้นไม่มีใครสักคนจะเหลือบสายตามองมาที่ซูซื่อ แม้ว่าสิ่งที่นางทำไปเมื่อครู่จะไม่ได้มีเจตนา แต่ในเมื่อไม่มีผู้ใดพูดเรื่องนี้ออกมา เหตุใดนางจึงพูดขึ้นมาคนเดียวเช่นนี้ มู่หรงมู่ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นไม่กล้าพูดแก้ต่างให้นาง อย่างไรเสียเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาเองก็เห็นประจักษ์ชัดแจ้งกันทั่วทุกคน
จุดประสงค์การมาของฉินสุยนั้นไม่บริสุทธิ์ แต่ว่าถึงตอนนี้เขายังมองเรื่องราวอะไรได้ไม่ชัดเจน ราวกับถูกดึงลงไปในกระแสน้ำวนที่วุ่นวาย มองเส้นทางที่มาได้ไม่แจ่มชัด ทั่วทั้งกายเหลือเขาเพียงคนเดียว
คนตระกูลมู่หรงต่างมาพร้อมเพรียงกันที่สถานที่ว่าการประชุมเป็นประจำของมู่หรงไป๋ สีหน้าของทุกคนดูแย่กันทั้งหมด ทางด้านมู่หรงอิงยังรับความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ ทั้งๆ ที่เขาเห็นกับตาตัวเองว่านางหมดลมหายใจไปแล้ว ทว่านางกลับมาปรากฎตัวตรงหน้าของเขาอย่างกระทันหันเช่นนี้
ความคิดเมื่อครู่ของมู่หรงมู่ถูกสายลมหนาวพัดกระจัดกระจาย พลันกลับมาสู่สภาพเดิมได้แล้ว ฉินอวิ๋นซินก็คือกุนซือเจียงเจี้ยงที่เขายกย่องนับถือ เป็นมารดาของมู่หรงชูอวิ๋น
“อวิ๋นเอ๋อร์ มีประโยชน์อะไรกับสกุลฉินของพวกเจ้า?”
ทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงความเย็นชาของฮูหยินผู้เฒ่า ฉินอวิ๋นซินรู้สึกขมขื่นไปทั้งหัวใจ เมื่อช่วงเช้าฮูหยินผู้เฒ่าเพียงแต่ตำหนิเท่านั้น ถึงตอนนี้ใช้คำว่า ‘พวกเจ้า’ แล้ว ใจคอคงไม่อยากรู้จักนางอีกต่อไปแล้ว
“บนกายคนสกุลฉินที่มีปานหงส์ไฟ อนาคตจะต้องเข้าไปยังห้องโถงบรรพชนเพื่อสวดมนต์ขอพรให้กับสกุลฉิน อีกทั้งไม่สามารถแต่งงานได้ตามใจปรารถนา ตั้งแต่วินาทีที่เกิดมาได้ถูกกำหนดให้เป็นภรรยาของว่าที่หัวหน้าเผ่าแล้ว สามารถแต่งงานกับหัวหน้าเผ่ารุ่นต่อไปที่บนกายมีปานรูปกิเลนได้เท่านั้น” มีเพียงบุตรชายที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับปานรูปกิเลนบนกายเท่านั้น พวกเขาถึงจะสามารถกลับคืนสู่ช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ดั่งก่อนได้อีกครั้ง ไม่ต้องคับค้องใจคอยหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร ต้องคอยปิดบังชื่อสกุล การปรากฎตัวของมู่หรงชูอวิ๋นก็คือความหวังสุดท้ายของพวกเขา
“เหตุใดพวกเขาถึงต้องการตามหาอวิ๋นเอ๋อร์?” ฉินอวิ๋นซินแต่งงานกับมู่หรงไป๋มาหลายปีแล้ว มู่หรงชูอวิ๋นก็อยู่ตระกูลมู่หรงอย่างสงบสุขมาได้หลายปี ไม่เห็นพวกเขาจะมาตามหาตัวนาง เหตุใดวันนี้ถึงได้ปรากฎตัวขึ้นมากระทันหันเช่นนี้ เห็นทีผู้มาคงไม่หวังดี
ฉินอวิ๋นซินมุมปากมีรอยยิ้มเย็นชา “ธิดาเทพคนก่อน ก็คือพี่สาวแท้ๆ ของข้าได้ลาจากโลกไปแล้ว ถึงวันนี้สกุลฉินไม่มีบุตรสาวแล้ว พวกเขาร้อนใจต้องการหาธิดาเทพสักคน อวิ๋นเอ๋อร์ก็คือทางเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขา มารดาของผู้เป็นหัวเผ่าคนแรกก็มีสถานการณ์เดียวกันกับอวิ๋นเอ๋อร์” นางนึกถึงเรื่องราวครั้งก่อนที่รีบร้อนกลับไป ทันได้เห็นเพียงเงาร่างที่ก้าวทะยานของนาง เส้นผมกระจายปกคลุมเต็มท้องฟ้า
……
ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านต้นไม้มาอย่างเงียบๆ ต้นดอกกุ้ยฮวาสองฝากฝั่งส่งกลิ่นโชยหอมเย็น
มู่หรงชูอวิ๋นมือซ้ายประคองท้องโตดั่งลูกบอลลูกใหญ่ มีเฟิงหลีเลี่ยคอยช่วยพยุงเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างยากลำบาก
หลังจากที่มู่หรงชูอวิ๋นตั้งครรภ์นั้น ไม่คิดว่าคนอื่นจะโตขึ้นทุกส่วน แต่ว่าสำหรับนางแล้วโตเพียงส่วนของเด็กในท้องเท่านั้น ใบหน้าของนางยังคงเล็กเช่นเดิม ทว่าท้องกับขยายใหญ่เป็นก้อนคล้ายกับนำผ้าห่มมายัดไว้ข้างใน ถึงตอนนี้อายุครรภ์ได้แปดเดือนกว่าแล้ว
ย่างเท้าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว มู่หรงชูอวิ๋นก็เหนื่อยเหงื่อไหลพรากเต็มหน้าผาก หายใจหืดหอบ ต้องหยุดฝีเท้าลงในทันที พลางเบ้ปาก “พี่ชายใหญ่เจ้าคะ ส่วนที่เหลือค่อยเดินต่อพรุ่งนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ?” พลางกระพริบขอบตาที่ชื้นแฉะอย่างน่าสงสาร ราวกับหากเขาไม่ยอมรับปากน้ำตาเม็ดใหญ่เป็นประกายใสจะร่วงรินลงมาในทันที
เฟิงหลีเลี่ยเอ่ยปลอบโยนเสียงเบา “อวิ๋นเอ๋อร์ พวกเราเดินต่อกันอีกหน่อยก็ไปพักได้แล้วนะ” ส่วนของวันพรุ่งนี้ยังมีอีก หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ขณะที่หมอเทพได้จับชีพจรให้กับมู่หรงชูอวิ๋น พบว่ามู่หรงชูอวิ๋นบำรุงครรภ์ดีเกินไป โภชนาการของทารกมากเกินพอดี ศีรษะทารกโตมาก หากรอให้ครบกำหนดคลอดจะต้องเป็นอันตรายแน่ ทำได้เพียงต้องขยับตัวเดินบ่อยๆ เพื่อจะช่วยให้เด็กคลอดออกมาก่อนกำหนด เฟิงหลีเลี่ยได้ทราบเรื่องนี้ก็โมโหใหญ่โต ตำหนิด่าหมอเทพไปยกใหญ่ ทำเอาหมอเทพโกรธเกือบจะม้วนเสื่อจากไปเสียแล้ว เขาเป็นเพียงหมอธรรมดาคนหนึ่งหาใช่เทวดาไม่ ไหนเลยจะจับชีพจรได้ดีทั้งหมด
เดิมทีเฟิงหลีเลี่ยจะไปช่วยงานเฟิงหรงสวี่ในเรื่องที่ตัวเองพอจะช่วยได้บ้าง ทว่าตั้งแต่มีสถานการณ์ลูกในครรภ์ของมู่หรงชูอวิ๋นไม่สู้ดีเท่าไรนัก เฟิงหลีเลี่ยก็เฝ้าคอยอยู่เป็นเพื่อนมู่หรงชูอวิ๋นตลอดไม่ยอมห่างไปที่ใด หากมีครู่หนึ่งไม่ได้เห็นจิตใจจะร้อนรุ่มกระสับกระส่าย ทุกครั้งที่เห็นว่ามู่หรงชูอวิ๋นใกล้จะหมดแรงแล้ว แต่ยังต้องบังคับให้นางฝืนเดินต่ออีกหน่อย เขาจะยิ่งโมโหแทบอยากจะฆ่าคนเสียให้ได้ หากไม่ใช่เพราะหมอกำมะลอนั่น มู่หรงชูอวิ๋นคงไม่ต้องทรมานอะไรเยี่ยงนั้น
มีเพียงหมอเทพคนเดียวที่รู้สึกถึงความอยุติธรรม
ทางด้านหลานเอ๋อร์หลังจากมาถึงชายแดนตอนใต้แล้ว ก็ตรวจพบว่านางนั้นตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงไม่สามารถมาคอยดูแลปรนนิบัติมู่หรงชูอวิ๋นได้ ซึ่งเฟิงหลีเลี่ยเห็นใจพวกเขา งานที่มอบหมายให้มู่เหยียนจึงน้อยลงไปมาก ตั้งแต่มู่หรงชูอวิ๋นตั้งครรภ์ พวกมู่เหยียนต่างพบว่าเจ้านายของพวกเขามีมนุษยธรรมมากขึ้นแล้ว เมื่อก่อนไหนเลยที่พวกเขาจะกล้าหวังเกินตัวกับสิ่งเหล่านี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นปี ขอเพียงนายท่านยอมปล่อยให้พวกเขาได้ว่างเว้นในช่วงวันปีใหม่สักครู่หนึ่งก็พอใจแล้ว ถึงวันนี้ได้สมหวังตามปรารถนาจริงๆ แล้ว
เวลาที่เฟิงหลีเลี่ยไม่อยู่ ก็จะมีน่าหลันฉิงหรือไม่ก็เฟิงเยี่ยนเฉิงมาอยู่เป็นเพื่อนมู่หรงชูอวิ๋น น่าหลันฉิงไม่กล้าทำอาหารบำรุงให้นางกินมาก ทางด้านเฟิงเยี่ยนเฉิงได้เห็นท้องโตดั่งลูกโป่งของมู่หรงชูอวิ๋นแล้ว ก็ไม่กล้าไปยั่วโมโหอะไรนางอีก กลัวว่าหากนางโมโหแล้วจะเกิดอุบัติเหตุได้ ทุกๆ วันเขาและเด็กรับใช้จะพากันไปเดินวนอยู่ที่ตลาดหลายรอบเพื่อหาของอร่อย และของที่มู่หรงชูอวิ๋นกินได้ และนำกลับมาให้นางได้กิน
มู่หรงชูอวิ๋นมองดูทางตรงหน้าอีกไม่กี่ก้าวแต่ไกลมากสำหรับนาง อิงกายพิงซบอยู่ในอกของเฟิงหลีเลี่ย พลางส่ายหน้าปฏิเสธไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเดิน “พี่ชายใหญ่ ข้าเหนื่อยแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ” หนังตาหย่อนลงแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้ว ปกตินางเป็นคนที่ชอบเดินเคลื่อนไหวที่สุด ทว่าถึงตอนนี้รู้สึกอยากจะนอนอยู่บนเตียงหรือไม่ก็นั่งเฉยๆ อยู่บนเก้าอี้ ไม่อยากขยับเขยื้อนตัวเป็นเจ้าแม่กวนอิมปางยืน ท้องโตขนาดนั้นเพียงนางขยับเดินเกินสองก้าวก็ไม่อยากขยับเดินอีกแล้ว ท้องหนักราวกับข้างในมีก้อนหินหนักหลายสิบชั่ง ผลาญพละกำลังทั้งหมดของนางไป
เฟิงหลีเลี่ยรับผ้าเช็ดหน้าที่มู่เยี่ยนส่งให้ ก่อนจะช่วยซับเหงื่อที่หน้าผากของมู่หรงชูอวิ๋น เมื่อก้มมองอีกครั้งก็พบว่ามู่หรงชูอวิ๋นที่แอบอิงอยู่ในอ้อมแขนของเขานั้น เพียงครู่เดียวนางได้ผล็อยหลับเข้าสู่ห้วงนิทราเสียแล้ว