เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 385-386
ตอนที่ 385 ให้กำเนิด2
เครื่องประดับสลับซับซ้อนบนศีรษะของมู่หรงชูอวิ๋นได้ถูกถอดลงมา เหลือไว้เพียงปิ่นดอกบัวที่ดูมีชีวิตเล่มนั้น ยังคงปักแน่นอยู่กับเส้นผมที่ลู่ตามลมอย่างขี้เล่น ขับเน้นรูปหน้าเรียวเล็กของนางให้ดูขาวใสเป็นพิเศษ มีเลือดฝาดบนแก้มละเอียดชัด ลูบไล้ใบหน้าของนางเห็นว่าตากลมจนเย็นแล้ว จึงอุ้มนางอย่างระมัดระวังกลับเข้าห้องไป บรรจงวางนางลงบนเตียง มือใหญ่ทาบอยู่บนศีรษะของนาง
“มู่หรงชูอวิ๋น ข้าเอาของที่เจ้าอยากได้มาให้แล้ว” เฟิงเยี่ยนเฉิงพรวดเข้ามา เห็นเฟิงหลีเลี่ยนั่งอยู่ข้างเตียงของมู่หรงชูอวิ๋น กำลังเอาผ้าเช็ดหน้าให้กับนาง ส่วนนางที่เขาจะมาหาก็กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ ปากยังขยับอยู่หลายที เมื่อเฟิงหลีเลี่ยหันมองมาเขาก็รีบเก็บของถุงกระดาษในมือซ่อนไปข้างหลัง แววตาวาบไหว “ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่?” มู่หรงชูอวิ๋นบอกกับเขาเองแท้ๆ ว่าในยามนี้เฟิงหลีเลี่ยไม่อยู่ เขาถึงได้กล้านำของเช่นนี้มาให้ แม้ว่าเขาจะเป็นอันธพาลน้อย แต่ก็เกรงกลัวเฟิงหลีเลี่ยที่สุด วันนี้เขาถูกเฟิงหลีเลี่ยจับได้เสียแล้วว่าเขาเป็นคนหน้าไว้หลังหลอก
กลิ่นหอมจากในถุงกระดาษโชยฟุ้งไปทั่ว แม้แต่มู่หรงชูอวิ๋นที่หลับอยู่ ยังขยับปากอยู่หลายที
เฟิงหลีเลี่ยกวาดตามองเขาเพียงผิวเผิน แล้วก็เงียบไม่พูดอันใด หันมาตั้งใจจัดการเรื่องในมือที่ยังไม่แล้วเสร็จ ทำราวกับว่าการที่เฟิงเยี่ยนเฉิงเข้ามาเมื่อครู่เป็นเพียงสายลมพัดผ่าน ไม่มีระลอกคลื่นใดๆ ทั้งสิ้น
เฟิงเยี่ยนเฉิงคอยอยู่ครู่หนึ่งไม่เห็นเฟิงหลีเลี่ยมีท่าทีจะสนใจตน ก็เกาศีรษะอย่างหงุดหงิด “ข้าจะไปแล้ว” เขาอยากจะพูดคุยกับเฟิงหลีเลี่ย แต่ว่าเฟิงหลีเลี่ยไม่สนใจเขา
“หยุดก่อน”
เฟิงเยี่ยนเฉิงได้ยินเสียง ฝีเท้าพลันชะงักลง ดวงตาจ้องมองเฟิงหลีเลี่ยอย่างเร้าร้อน
“ต่อไปอย่านำของเหล่านั้นมาให้นางอีก” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำไร้โทนเสียงขึ้นลง สายตาเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งสัมผัสถึงความอบอุ่นใดๆ ไม่ได้เลย
เฟิงเยี่ยนเฉิงรู้สึกว่าถุงกระดาษในมือร้อนผ่าวขึ้นมาในทันใด ในใจของเขาเก็บกลั้นไว้ด้วยความน้อยใจ กำหมัดแน่น ปากอ้าค้างสั่นเทาเล็กน้อย หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง เชิดจมูกขึ้นสูง น้ำตาแวววาวเปียกชื้นไปทั้งขอบตา ทว่าเก็บกลั้นไว้ไม่ยอมให้ไหลลงมา ทันใดนั้นเขาก็สะบัดหน้าไปอีกทางอย่างดื้อรั้น ทำปากเบ้ สายตาจดจ้องไปยังมุมๆ หนึ่ง
“ข้านำมาให้นางไม่ได้ให้ท่าน ไม่เอามาก็ไม่เอามา ไม่เห็นจะมีเรื่องยิ่งใหญ่อะไรเลย” แผดเสียงจบก็ทิ้งถุงกระดาษไว้บนโต๊ะ ก่อนจะวิ่งออกไป นี่ไม่ใช่พี่ชายของเขา ไม่รู้จักพูดจา ชอบทำให้เขาโกรธเสมอ ตนต้องลำบากขนาดไหนกว่าจะเสาะหาของอร่อยมาได้ ที่ทำไปไม่ใช่เพื่อภรรยาของเขาหรอกหรือ เขาไม่เพียงไม่เอ่ยชม หนำซ้ำยังมาตำหนิว่าตนอีก หวังดีกลับกลายเป็นได้ร้ายเสียเอง
ดวงตาดำใสลึกล้ำของเฟิงหลีเลี่ยเหลือบไปยังทิศทางที่เขาจากไป ก่อนจะเก็บกลับมาเงียบๆ
ความจริงเขาเข้าใจเฟิงหลีเลี่ยผิดแล้ว เฟิงหลีเลี่ยเพียงแต่เป็นห่วงสุขภาพของมู่หรงชูอวิ๋น จึงไม่อยากให้เขานำของกินเหล่านี้มาให้นาง เพราะกลัวว่าหากมู่หรงชูอวิ๋นกินของผิดจะทำให้สุขภาพแย่ลงไป เวลานี้เฟิงหลีเลี่ยไม่กล้าเสี่ยง เขาทั้งประหม่าทั้งขลาดกลัว เขาเสี่ยงไม่ลงจริงๆ เขาไม่เคยมีอะไรทั้งนั้น หนึ่งเดียวที่มีก็คือมู่หรงชูอวิ๋น หน้าชื่อของนางสลักสกุลของเขาอยู่
……
ผ่านไปครึ่งเดือน เฟิงหรงสวี่นำกำลังกองทัพชายแดนตอนใต้ตีประชิดเมืองหลวง ด้วยกำลังดุเดือด แม่ทัพจำนวนมากเมื่อเห็นมีภัยต่างก็หายหัวกันไปหมด โจมตีเข้ามาจนฮ่องเต้ทรงรับมือได้ไม่ทัน พระองค์ทรงทราบดีคนที่พระองค์เลี้ยงไว้มีแต่เศษสวะ ทว่าไม่เคยคิดว่าจะไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ ภายใต้ความพิโรธนั้น ทรงรับสั่งประหารศีรษะไปแล้วหลายคน เฟิงหลีเยี่ยมองฮ่องเต้ที่ทรงกริ้วโกรธเดือดเป็นไฟ ก็พบว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาไม่รู้ว่าตนเองควรเลือกอย่างไร ตั้งแต่เฟิงหลีเลี่ยเดินทางไปยังดินแดนตะวันตก คนก็หายเงียบไปกับธาตุอากาศ ไร้ซึ่งข่าวคราว ไม่เคยให้คนนำจดหมายมาส่งสักฉบับ แม้เพียงถ้อยคำสักนิดก็ไม่มี
“เยี่ยเอ๋อร์ สถานการณ์ตอนนี้ไปถึงขั้นไหนแล้ว?” พระสนมเซียวทอดมองฟ้าใสปรอดโปร่ง ไม่รู้ว่าตอนนี้มีคนตายภายใต้ท้องฟ้าสดใสเช่นนี้ไปเท่าไรแล้ว
“ไม่ทราบเลยพ่ะย่ะค่ะ แต่ลูกได้ยินมาว่าจวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คนในวังหลวงตอนนี้ต่างก็แตกตื่นตกใจ ไม่มีผู้ใดเคยคาดคิดมาก่อนว่า ท่านอ๋องสิบแปดผู้ที่ไม่เอาดีสิ่งใดเลย แท้จริงแล้วมีความสามารถมากมาย สัจธรรมเมื่อมีคนสมหวังดีใจก็ย่อมต้องมีคนผิดหวังเสียใจ
ตอนที่ 386 ให้กำเนิด3
“นายท่าน ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ สาวใช้ข้างกายพระสนมขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงหลีเลี่ยที่กำลังว่าประชุมอยู่มองไปยังคนใช้ที่เข้ามาอย่างรีบร้อน สาวใช้ยังไม่ทันพูดอันใด ทว่าในใจของเขาพลันมีโลหิตแห่งความหวาดกลัวพุ่งขึ้นมาที่สมอง ท่วมท้นจนทำให้เขาหน้ามืดตาลายไปหมด
เฟิงหรงสวี่เอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจ “เกิดเรื่องอันใด?” เขาไม่ชอบเห็นคนอื่นไร้ระเบียบวินัยเช่นนี้ อีกอย่างเขากำลังประชุมหารืออยู่กับเฟิงหลีเลี่ย กว่าจะคิดวิธีทำให้ฮ่องเต้วุ่นวายพระทัยได้ไม่ง่ายเลย อารมณ์ฮึกเหิมอยู่ได้เพียงครู่ก็ต้องถูกทำลายลงเสียแล้ว ต่อให้จะอารมณ์ดีเพียงใดก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี ช่วงนี้เฟิงหลีเลี่ยเว้นเสียแต่การประชุมหารือเรื่องการตัดสินใจที่สำคัญแล้ว ไม่เช่นนั้นไม่ว่าการประชุมใดเขาก็จะไม่มาร่วม
ทว่าสาวใช้ต่างก็มีกฎระเบียบกันทั้งนั้น ท่าทางเช่นนี้คงเกิดเรื่องใหญ่อะไรเป็นแน่
สาวใช้คนนั้นไม่ทันได้หอบหายใจ ก็รีบกราบเรียน “พระชายาเมื่อครู่สะดุดหกล้ม ครรภ์ขยับตอนนี้ใกล้จะคลอดแล้วเจ้าค่ะ”
มีเสียงดังอื้ออึงขึ้นมาในหัวของเฟิงหลีเลี่ย สูญเสียการไตร่ตรองไปชั่วขณะ ในสมองมีเพียงประโยคเดียวที่ว่า ครรภ์ขยับ วิ่งออกไปทางประตูตื่นตระหนกไม่ทันจะได้เลือกคำพูด ทุกแห่งที่่วิ่งผ่านสับสนอลม่านไปหมด
เฟิงหรงสวี่ประกายความหงุดหงิดใจ เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้สะดุดหกล้มได้ จึงรีบตามไปดู ทว่าไหนเลยจะตามเงาร่างของเฟิงหลีเลี่ยได้ทัน
เฟิงหลีเลี่ยวิ่งมาถึงห้องนอน เห็นประตูปิดอยู่แน่นสนิท ขณะที่กำลังจะบุกเข้าไป หมอเทพก็ออกมาพอดี มือคว้าดึงเขาเอาไว้ ตะโกนเสียงดัง “คนกำลังจะคลอดลูก ท่านจะเข้าไปทำสิ่งใด?”
เฟิงหลีเลี่ยเอ่ยถามน้ำเสียงละล่ำละลัก “นางเป็นอย่างไรบ้าง?”
หมอเทพเหลือบมองประตูห้องที่ปิดสนิทไม่มีลมซึมผ่านเข้าไปได้ “ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาใด” อีกประเดี๋ยวนั้นไม่อาจทราบได้ เมื่อครู่เขาเข้าไปลำบากอยู่นานกว่าจะช่วยห้ามเลือดให้มู่หรงชูอวิ๋นได้ ถึงตอนนี้คงได้แต่รอให้พวกเขาออกมาก็เท่านั้น
ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวของเฟิงหลีเลี่ยยังคงครองพื้นที่ทั่วทั้งสมอง ในหัวมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีเรี่ยวแรงอะไรที่จะช่วยประคองตัวเขาได้เลย
เฟิงเยี่ยนเฉิงยืนรู้สึกผิดอยู่ด้านข้าง ก้มหน้าเงียบไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด เดิมทีมู่หรงชูอวิ๋นก็ไม่ได้เป็นอันใด แต่เขาดึงดันจะให้มู่หรงชูอวิ๋นออกไปเล่นเป็นเพื่อนกับเขาให้ได้ ตอนที่เขามาหานางนั้น ระหว่างทางได้เห็นว่าข้างทางมีต้นไม้ต้นหนึ่งออกผลเต็มต้นก่อนฤดูกาล พลันปากไวเผยหลุดพูดเรื่องนี้ต่อหน้ามู่หรงชูอวิ๋น สำหรับทางเดินเขาได้สั่งให้คนมาทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ตอนที่เขาผ่านมาก็ยังเป็นเส้นทางดีๆ ผู้ใดจะล่วงรู้ได้ว่า เมื่อมู่หรงชูอวิ๋นเดินผ่านไม่ทันได้ระวังตัวไปเหยียบก้อนหินสะดุดหกล้มเข้าให้ มองเห็นนางล้มลงไปกองกับพื้น มีโลหิตสีแดงซึมเปื้อนกระโปรงพริ้วของมู่หรงชูอวิ๋น ทันใดนั้นเองเขาก็ตะลึงงัน ยืนค้างอยู่กับที่อย่างเสียสติ แม้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นจะถูกนำตัวเข้ามายังในห้องแล้ว ในสายตาของเขายังคงมีเพียงโลหิตกองนั้น กระทั่งเห็นน่าหลันฉิงมาดึงเขาไว้ เขาถึงเปลี่ยนสายตาจดจ้องไปยังประตูห้องแทน
“อ้าย!”
เฟิงหลีเลี่ยได้ยินเสียงกรีดร้องทรมานของมู่หรงชูอวิ๋นที่อยู่ในห้อง จะบุกเข้าไปในห้องราวกับม้าป่าที่หลุดคอก เฟิงหรงสวี่ที่ตามมาทันเห็นเช่นนั้นก็รีบดึงเขาเอาไว้
ใช้พละกำลังอย่างมากกว่าจะดึงรั้งเขาได้สำเร็จ สูดลมหายใจหอบหืดพลางกล่าว “เจ้าเด็กหัวเหม็น นี่เจ้ากำลังทำสิ่งใด? เข้าไปก็มีแต่จะเพิ่มความวุ่นวายเท่านั้น” สมัยก่อนที่เขาบุกเข้าห้องทำคลอดก็ได้เห็นว่าภรรยาของเขามีความกล้าหาญมากเพียงใด เสียงกรีดร้องนั้นแสดงถึงความทรมานถึงชีวิต เห็นนางนอนหายใจแขม่วๆ แผ่วเบาอยู่กับเตียง ทว่าก็ยังมีเรี่ยวแรงพอที่จะปาหมอนใส่เขาได้ แต่เมื่อนึกถึงสมัยที่น่าหลันฉิงอยู่ในวังเย็น ไม่มีผู้ใดคอยดูแล ตอนที่เฟิงหลีเลี่ยจะคลอดออกมานั้นมีเพียงแม่นมใบ้ผู้ซึ่งไม่รู้วิชาแพทย์แต่อย่างใดมาเป็นคนทำคลอดให้กับนาง สำหรับตอนนี้ข้างกายมู่หรงชูอวิ๋นมีหมอเทพสุดยอดทักษะการแพทย์ระดับโลก ไม่ต้องเป็นกังวลมากเพียงนั้น ห่วงมากไปมีแต่จะทำให้เสียเรื่องเสียเปล่า
“แต่ว่าอวิ๋นเอ๋อร์ นางร้องเจ็บ” มู่หรงชูอวิ๋นทนกับความเจ็บปวดไม่ได้ที่สุด แม้แต่รอบเดือนมาครั้งก่อน นางเจ็บจนกัดริมฝีปากซีดไปหมด ตอนนี้ไม่รู้ว่านางจะเป็นดั่งเช่นตอนนั้นหรือไม่
เฟิงหลีเลี่ยสายตาจดจ้องที่ประตูไม่ยอมห่าง หูได้ยินเสียงร้องเบาบ้างดังบ้างของมู่หรงชูอวิ๋นแว่วมาไม่ขาดสาย แทบอยากจะให้คนที่ต้องเจ็บปวดเป็นเขาเอง ไม่ใช่มู่หรงชูอวิ๋นที่อ่อนแอมาโดยตลอด เขารู้สึกสับสนเหมือนเด็กน้อยที่หลงทิศหาทางกลับบ้านไม่เจอ
เฟิงหรงสวี่ตำหนิไปอย่างอารมณ์เสีย “คลอดลูกต้องเจ็บอยู่แล้ว” ต่างก็พูดกันว่าลูกก็คือชิ้นเนื้อก้อนหนึ่งของมารดา ต้องเฉือนเนื้อใยจะไม่เจ็บปวดได้เล่า ปกติซุ่มซ่ามเดินชนยังรู้สึกเจ็บทรมาน
นางไม่ใช่กวนอูที่แขนข้างหนึ่งรับการผ่าตัดขูดกระดูกรักษาพิษเกาทัณฑ์อยู่ ทว่าแขนอีกข้างยังจะมีเรี่ยวแรงเดินหมากกับผู้อื่น คนข้างในเป็นเพียงสาวน้อยที่ต้องแอบอิงอยู่ในอ้อมอกสามี ปลอบโยนด้วยเสียงแผ่วเบา แล้วจะไม่ให้นางร้องเจ็บได้อย่างไร
“แต่ว่าเรื่องนี้ไม่มีใครเคยบอกกับข้าเช่นนี้” หากเขารู้ว่ามู่รงชูอวิ๋นต้องเจ็บถึงเพียงนี้ เขาไม่มีทางให้นางอุ้มท้องอย่างเด็ดขาด ต่อให้เป็นเพียงความคิดก็ไม่มี ขอเพียงมีพวกเขาสองคนก็เพียงพอแล้ว
เฟิงหรงสวี่คิดในใจ การที่สตรีคลอดบุตรก็เท่ากับตรรกะที่ว่าขาข้างหนึ่งได้เหยียบเข้าด่านประตูวิญญาณแล้ว มีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยต้องสิ้นชีวิตเพราะเรื่องนี้ ทว่าตอนนี้เขาไม่อาจพูดคำพูดเหล่านี้ออกมาได้ เขาไม่กล้ารับประกันว่าเฟิงหลีเลี่ยจะไม่เสียสติไป