เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 387-388
ตอนที่ 387 ให้กำเนิด 4
หน้าผากมีเหงื่อผุดซึมออกมาเปียกชื้นไปทั้งปอยผม
ทุกเสียงในห้องล้วนเหมือนกับแส้ที่ฟาดลงบนร่างกาย เจ็บปวดจนเขาแทบหายใจไม่ออก
“แอ๊ด!” ได้ยินเสียงประตูเปิด สายตาของเฟิงหลีเล่ียหันไปมองในทันที
เอ่ยถามอย่างร้อนใจ “นางเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” เขาตื่นเต้นจนหัวใจแทบทะลักขึ้นมาอยู่ที่ลำคอ จุกกั้นลมหายใจให้รู้สึกทรมาน
น่าหลันฉิงมีระลอกความขมขื่นเอ่อล้นขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ หากไม่ใช่เพราะมู่หรงชูอวิ๋น เกรงว่าเขาคงไม่มีทางพูดกับตนเป็นแน่ “ตอนนี้นางหลับไปแล้ว”
เฟิงหลีเลี่ยรู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง ขยับก้าวไปทางประตูสองสามก้าว แม้ว่าน่าหลันฉิงจะบอกแล้วว่านางไม่เป็นอันใด แต่เขาไม่ได้เห็นกับตาก็ยังไม่อาจวางใจได้ คิดอยากจะเข้าไปดูอาการ แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการรบกวนนางเหมือนดั่งที่เฟิงหรงสวี่พูด
“เลี่ยเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเข้าไปเยี่ยมได้แล้ว” น่าหลันฉิงเห็นเขามองประตูด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ จึงเอ่ยอย่างสงสาร
เฟิงหลีเลี่ยมองหมอเทพอย่างทำอะไรไม่ถูก เห็นหมอเทพพยักหน้าให้ถึงได้มั่นใจ
หลังจากเฟิงหลีเลี่ยเข้าไปด้านในแล้ว ประตูบานใหญ่ก็ได้ปิดลง
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นฟุ้งกระจายทั่วทั้งห้อง เนื่องจากประตูหน้าต่างล้วนปิดสนิทจึงไม่มีช่องทางให้ระบายอากาศได้
สาวใช้และหมอตำแยที่อยู่ด้านข้างรีบถอยหลบไปอยู่ข้างหลังทันที
บนร่างกายของมู่หรงชูอวิ๋นมีผ้าปิดอยู่เป็นชั้นๆ เฟิงหลีเลี่ยนั่งลงข้างกายของมู่หรงชูอวิ๋น มือสั่นเทาลูบไล้ขอบตาบวมแดงของนาง
กุมมือละเอียดอ่อนของนางมาทาบไว้ที่หัวใจของตัวเอง ถึงสัมผัสได้ว่าหัวใจอันเย็นชาได้ขยับเต้นอยู่หลายครั้ง
พลบค่ำมู่หรงชูอวิ๋นรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดจากส่วนท้องที่ส่งขึ้นมาเป็นระลอก นางลืมตาอันหนักอึ้งขึ้นมา มองเห็นเฟิงหลีเลี่ยเสื้อผ้ายับยุ่งนั่งอยู่ที่ขอบเตียง น้ำตาไหลมาหยุดที่ขอบตา หยักรอยยิ้มพลางเอ่ยเรียก “พี่ชายใหญ่”
เปล่งเสียงยังไม่ทันจบ ความเจ็บปวดก็ตีขึ้นมาทำเอานางหยุดชะงักไปทันที
เมื่อได้ยินความเคลื่อนไหว ผู้คนต่างห้อมล้อมกันเข้ามา หมอตำแยทำคลอดรีบเปิดกระโปรงผ้าของมู่หรงชูอวิ๋นออกดู “ปากมดลูกเปิดห้าน้ิว จะคลอดแล้วเพคะ” เมื่อครู่พวกนางต่างรอให้ปากมดลูกของมู่หรงชูอวิ๋นเปิด ทว่าไม่คิดเลยว่าออกแรงไปตั้งมากมาย ไม่เพียงปากมดลูกไม่เปิด แต่มู่หรงชูอวิ๋นกลับอ่อนเพลียหลับไปเสียก่อน
น่าหลันฉิงเข้ามาเห็นทุกคนในห้องกำลังยุ่งวุ่นวาย แต่เฟิงหลีเลี่ยกลับนั่งตัวสูงหลังตรงอยู่ทางด้านข้างด้วยท่าทีวิตกกังวล พลันรู้สึกเกะกะสายตา จึงรีบผลักเขาออกไปอยู่ข้างนอก แต่เฟิงหลีเลี่ยเหมือนกับหยั่งรากอยู่ใต้ฝ่าเท้าไม่ยอมขยับเลย
“เจ้าอยู่ที่นี่จะยิ่งดึงพลังของมู่หรงชูอวิ๋น” ห้องคลอดสกปรกเหลือทน ไม่เหมาะจะเป็นสถานที่ของบุรุษ สมัยก่อนเฟิงหรงสวี่ก็ตกใจกับพลังดุดันของนางจนต้องถอยออกนอกห้องไป
มู่หรงชูอวิ๋นติดเฟิงหลีเลี่ยถึงเพียงนี้ เกรงแต่อีกประเดี๋ยวความคิดจะฟุ้งซ่านได้ ตอนนี้สภาพร่างกายของนางก็ยิ่งอ่อนแอจากอาการหกล้มเมื่อช่วงเช้าอยู่แล้วด้วย
เฟิงหลีเลี่ยทอดมองมู่หรงชูอวิ๋นที่เจ็บปวดทรมานแทบตาย สีหน้าของเขาซีดขาวเหมือนกระดาษยิ่งขึ้นไปอีก “ฝากดูแลนางด้วย เมื่อคลอดแล้วจะกลับไปเป็นดั่งเดิมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
น่าหลันฉิงเห็นลูกตาของเขามีเส้นเลือดฝอยกระจาย คางอันน่าหลงใหลก็มีหนวดเคราเขียว เสื้อผ้ายับยู้ยี้ดูไม่สนใจการแต่งตัวสักเท่าไร สภาพจึงดูดุร้ายน่ากลัว
“ได้”
เมื่อได้รับคำมั่นสัญญาจากน่าหลันฉิงแล้ว เขาถึงยอมออกไป
น่าหลันฉิงไม่ทันได้คิดว่าเมื่อครู่เฟิงหลีเลี่ยมีใบหน้าที่อ่อนโยนท่าทีเป็นมิตรกับนาง เพราะถูกเสียงร้องเจ็บปวดของมู่หรงชูอวิ๋นดึงความสนใจกลับมาเสียก่อน
มู่หรงชูอวิ๋นเจ็บปวดจนแยกอะไรไม่ออก กรีดร้องจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเสียงก็แหบแห้ง เส้นผมยุ่งเหยิงเปียกแฉะแนบติดกับหน้าผากของนาง คิ้วขมวดย่นเป็นปม ดวงตาแทบจะทะลักออกมาจากขอบตาอยู่แล้ว จมูกขยับด้วยลมหายใจหอบเร็ว คอแหบแห้งไปนานแล้ว สองมือกำผ้าคลุมเตียงแน่น เห็นเส้นเอ็นปูดขึ้นที่แขน เหงื่อไหลเปียกเตียงไปหมด
“พระชายาออกแรงอีกหน่อยเพคะ…”
หมอตำแยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล มู่หรงชูอวิ๋นใกล้จะหมดสติอยู่แล้ว หัวของเด็กในท้องยังไม่โผล่ออกมาเลย
ตอนที่ 388 ให้กำเนิด 5
“อุแว้…อุแว้…”
ฟ้าเพิ่งจะรุ่งสาง ท้องฟ้าสีครามยังคงมีเศษดวงดาวเรียงรายอยู่จางๆ ในห้องพลันแว่วเสียงร้องกังวานขึ้นมา เป็นเสียงที่มีพลังอันงดงาม แม้อยู่ห่างไปสามฉื่อก็ยังได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
เฟิงหรงสวี่สูดลมหายใจลึกๆ เข้าปอด คลอดแล้วก็ดี พลางนวดเอวที่ปวดเมื่อยอยู่บ้าง เห็นทีคงต้องยอมแพ้ให้กับอายุที่เพิ่มข้ึนแล้วจริงๆ ทางด้านเฟิงหลีเลี่ยที่ยืนหลังตรงมาตลอดทั้งคืน ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
เฟิงหรงสวี่ตบบ่าของเขาพลางกล่าว “ถึงตอนนี้ก็สบายใจได้แล้วนะ” เสียงร้องใสกังวานของทารกคนนี้ดังก้องยิ่งกว่าเฟิงเยี่ยนเฉิงในสมัยนั้นเสียอีก
เฟิงหลีเลี่ยหันกายอันแข็งทื่อของเขา แววตาหลุดลอยกว่าจะจดจ้องมาที่ดวงตาของเฟิงหรงสวี่ได้ไม่ง่ายเลย “อวิ๋นเอ๋อร์เงียบไปแล้ว”
เฟิงหลีเลี่ยชะงัก เป็นเช่นนั้นจริงด้วย หลังจากที่ได้ยินเสียงลูกร้อง เสียงของมู่หรงชูอวิ๋นก็เงียบลงไปโดยสิ้นเชิงราวกับเสียงร้องโอดครวญเมื่อไม่นานมานี้เป็นเพียงภาพลวงตาของพวกเขาเท่านั้น “อาจจะหลับไปแล้ว” อย่างไรแล้วการคลอดบุตรก็ใช้พลังเปลืองแรงเช่นนั้น น่าหลันฉิงในตอนนั้นก็หลับไปหลายวันกว่าจะรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาได้ แม้ว่าท่านหมอจะย้ำแล้วว่านางหลับไปเพราะเหนื่อยมากเท่านั้น ทว่าเขาก็ยังไม่อาจควบคุมตัวเองไม่ให้เป็นห่วงนางได้
เฟิงหลีเลี่ยส่ายหน้า “ไม่ถูกต้อง เจ็บตรงนี้เหลือเกิน”
เฟิงหรงสวี่มองตามนิ้วเรียวยาวของเฟิงหลีเลี่ยชี้ไปที่หัวใจ ใบหน้าลึกซึ้งยากจะคาดเดา มู่หรงชูอวิ๋นคลอดลูก แล้วเขาจะเจ็บได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นอย่างที่ตำนานกล่าวไว้ ขอเพียงในใจมีคนคนนั้น ก็จะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและเย็นชาในชีวิตของคนคนนั้นได้ ถึงว่าเหตุใดตอนนั้นเขาถึงรู้สึกแปลกใจที่เห็นเฟิงหลีเลี่ยมีเหงื่อเย็นซึมท่วมตัว ราวกับเอาตัวไปจุ่มในน้ำ ทว่าเรื่องนี้ก็ออกจะไร้สาระเกินไปแล้ว
“แย่แล้ว พระชายาหมดสติไปแล้วเพคะ”
เฟิงหรงสวี่แอบอุทานแย่แล้ว เขาพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในตอนที่น่าหลันฉิงคลอดบุตรนั้น เพื่อเอาใจเขาแม้ว่าจะยังไม่ทันได้ล้างตัวทำความสะอาดให้ทารกน้อย บ่าวรับใช้ก็อุ้มทารกออกมาให้เขาได้เชยชมแล้ว ทว่ามู่หรงชูอวิ๋นคลอดบุตรไปได้สักครู่หนึ่ง แต่กลับยังไม่มีใครอุ้มทารกออกมา
เฟิงหลีเลี่ยรีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องด้วยอาการตื่นตระหนก มีคนวิ่งสาละวนผ่านข้างกายเขาไปมาไม่หยุด หมอเทพมีสีหน้าเคร่งเครียด กำลังฝังเข็มช่วยมู่หรงชูอวิ๋น บนร่างกายของมู่หรงชูอวิ๋นมีเข็มเล่มบางละเอียดแน่นขนัดไปหมด
เขาขลาดกลัวจนไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าอีก
“เลี่ยเอ๋อร์ กุยอวิ๋นคิดถึงเจ้าแล้ว” น่าหลันฉิงอุ้มทารกน้อยมีเส้นผมหงอกอยู่ประปรายถูกห่อตัวอยู่ในผ้าอ้อม มาวางใส่อ้อมแขนให้กับเฟิงหลีเลี่ย
เมื่อคืนหมอเทพหมดพลังไปเกือบครึ่งค่อนคืนกว่าจะดึงมู่หรงชูอวิ๋นกลับมาจากประตูมัจจุราชได้ ถัดมานางก็ได้แต่หมดสติ แม้แต่หมอเทพเองก็ยังหาสาเหตุไม่พบ กล่าวเพียงว่าคงต้องปล่อยไปตามลิขิตฟ้าเสียแล้ว
ทารกน้อยนั้นเป็นบุตรชาย หลังจากคลอดออกมาแล้ว มู่หรงชูอวิ๋นก็หมดสติไป ถึงตอนนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยมาสามเดือนแล้ว เฟิงหลีเลี่ยเหมือนกับคนที่สูญเสียตัวตน ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร เขาก็ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ดวงตาลึกล้ำยากจะกระพริบได้ นอกจากลูกน้อยแล้ว ภาพที่สะท้อนสู่สายตาของเขามีเพียงคนเพียงคนเดียวเท่าน้ัน
แม้แต่ในพิธีสรงสาม[1] เฟิงหลีเลี่ยก็ยังคงมีสภาพเช่นนั้น ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น น่าหลันฉิงเอ่ยถามว่าใครจะเป็นคนตั้งชื่อให้ทารกน้อยของเขา นางอยากได้ชื่อเรียกเหลือเกิน ทารกคนนี้คือหลานชายของนาง อีกทั้งทารกคนนี้ก็เลี้ยงง่ายกว่าเด็กคนอื่นๆ แม่นมป้อนนมอิ่มแล้วก็นอนหลับ แม้แต่ตอนเปลี่ยนผ้าอ้อมก็ไม่ร้องไห้งอแง
ปลายนิ้วของเฟิงหลีเลี่ยเต็มไปด้วนรอยด้านลูบไล้บนผิวละเอียดอ่อนของทารก เงียบอยู่นานจึงเอ่ยขึ้นว่า “เรียก ‘กุยอวิ๋น’ เถิด”
น่าหลันฉิงขอบตาชื้นเปียก รีบหันหลังไปปาดซับน้ำตา ‘กุยอวิ๋น’ ชื่อนี้หมายถึงรอการกลับมาของมู่หรงชูอวิ๋น เป็นชื่อที่ดีเหลือเกิน เชื่อว่าเมื่อมู่หรงชูอวิ๋นฟื้นขึ้นมาได้ทราบชื่อของลูกน้อยแล้ว จะต้องดีใจเป็นแน่แท้
เชื่อมั่นว่าลูกชายของนางที่ลุ่มหลงในความรัก จะหลุดพ้นจากเมฆหมอกดำสลัวได้สักที
เฟิงหลีเลี่ยเอาแต่เฝ้าดูมู่หรงชูอวิ๋นอย่างไม่รู้วันรู้คืน น่าหลันฉิงเป็นห่วงว่าร่างกายของเขาจะทรุดลงได้ จึงได้อุ้มกุยอวิ๋นมาหาเขาบ้างเป็นครั้งคราว เผื่อจะช่วยเบี่ยงเบนจุดสนใจของเขาได้บ้าง
[1] พิธีสรงสามหรือ ‘สี่ซาน’ (洗三) เป็นหนึ่งในพิธีกรรมเก่าแก่ที่สำคัญมากของคนจีนในสมัยโบราณ โดยทั่วไปจะทำพิธีดังกล่าวในวันที่สามหลังจากเด็กทารกคลอดออกมาเป็นพิธีวันที่สามหลังจากเด็กทารกคลอดออกมา ในวันดังกล่าว คนในครอบครัวจะต้องอาบน้ำให้เด็ก และเชิญญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมพิธี