เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 389
เมื่อทุกคนได้ทราบข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นของมู่หรงชูอวิ๋นแล้วต่างก็พากันเป็นกังวลที่สุด แม้ว่ามู่หรงไป๋จะเป็นบิดาของมู่หรงชูอวิ๋น แต่เขาก็เป็นผู้บัญชาการกองทัพ การจากกองทัพไปของเขาเท่ากับเป็นการละทิ้งชายแดนทางตอนเหนือทั้งผืน ทอดทิ้งลูกน้องเหล่านั้นที่ติดตามเขาไปทั้งหมด ดังนั้นคนที่จะมาหามู่หรงชูอวิ๋นได้จึงมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่ากับฉินอวิ๋นซิน ซึ่งมู่หรงสิงก็ได้ติดตามมาด้วย อย่างไรแล้วแม้ว่ากองทัพจะขาดฉินอวิ๋นซินไป แต่ก็ยังมีมู่หรงจางผู้ที่มีประสบการณ์ผ่านสมรภูมิรบมามาก แม้ว่าการเดินทางจะเหน็ดเหนื่อยยากลำบากพวกเขาก็ไม่กล้าหยุดพัก เร่งรีบเดินทางมาจากชายแดนทางตอนเหนือ แทบจะเรียกได้ว่าเดินทางกันตลอดทั้งคืนก็ไม่มีผู้ใดกล้าปริปากบ่น
เดิมทีมู่หรงจางอยากเดินทางตามมาทีหลัง แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าห้ามเขาไว้ อย่างไรแล้วแม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้เฟิงหรงสวี่จะยังได้เปรียบอยู่ ทว่าก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางทีอาจเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายก็เป็นได้
มู่หรงจางเฝ้าอยู่ในค่ายทหารด้วยความเดือดดาล ผ่านไปไม่กี่วันก็นำตัวฮ่องเต้มาคุมขังไว้ที่ชายแดนตอนเหนือ จัดการถอดเขี้ยวเล็บที่หยั่งรากลึก
เมื่อพวกนางเดินทางมาถึงชายแดนตอนใต้แล้ว ก็ไม่ยอมหยุดพักผ่อนแต่ตรงดิ่งเข้าไปในห้อง
ได้เห็นมู่หรงชูอวิ๋นนอนหลับไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียง ไม่มีความรู้สึกรับรู้เลยสักนิด สีหน้าขี้เล่นดื้อรั้นก็ไม่มี สภาพคล้ายกับคนที่หลับลึกไม่รู้สึกตัว ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อาจกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาได้ ไม่ว่าเวลาใดมู่หรงชูอวิ๋นก็จะเป็นเด็กที่ฉลาด ร่าเริงสดใส ช่างพูดช่างเจรจา เวลาเห็นนางก็จะส่งเสียงเรียกท่านย่ามาแต่ไกล สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเวลาที่นางเงียบที่สุดแล้ว ไหนเลยจะเหมือนกับตอนนี้ที่นางนอนน่ิงอยู่บนเตียง หากไม่ใช่เพราะลมหายใจเข้าออกช้าๆ นั่น พวกนางคงจะสงสัยว่าร่างที่พวกนางเห็นอยู่ตอนนี้เป็นเพียงภาพลวงตา ส่วนมู่หรงชูอวิ๋นนั้นได้จากไปนานแล้ว
ครั้นเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้ามา เฟิงหลีเลี่ยได้คุกเข่าเสียงดังลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่า นางตบไหล่ของเขาอย่างเห็นใจพลางประคองให้เขาลุกขึ้น “เด็กน้อยเอ๋ย นี่เป็นชะตาชีวิตจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร” หนวดเคราของเฟิงหลีเลี่ยดูแล้วมีมากกว่ามู่หรงไป๋เสียอีก ขอบตาก็ลึกเป็นหลุม เกรงว่าคงจะไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว เมื่อก่อนเขามักจะเพิกเฉยต่อเรื่องเล็กน้อยทางโลกราวกับเป็นเทพเจ้าที่หยิ่งทะนง ทว่าสภาพที่เป็นอยู่ทั้งหมดในตอนนี้ไม่ใช่เพื่อมู่หรงชูอวิ๋นหรอกหรือ หากนางยังจะกล่าวโทษเฟิงหลีเลี่ยด้วยเรื่องนี้อีก เห็นทีคงแล้งน้ำใจเกินไปแล้ว
มู่หรงชูอวิ๋นเป็นภรรยาของเขา ความเสียใจของเขาไม่มีทางน้อยไปกว่านางแน่ ไหนเลยที่นางจะทำให้เขาลำบากใจได้ ล้วนเป็นลูกหลานของตนทั้งนั้น อย่างไรแล้วชะตาชีวิตก็ถูกลิขิตมาเช่นนี้
ฉินอว๋ินซินสองนิ้วสั่นเทาจับชีพจรที่ข้อมือให้กับมู่หรงชูอวิ๋น ผ่านไปนานนางพลันผงะเซถอยหลังไปสองก้าว อุทานอย่างตกใจ “ฝีมือของพี่ใหญ่” ในตัวของมู่หรงชูอวิ๋นมีพิษชนิดหนึ่งที่จะใช้โดยคนสกุลฉินเท่านั้น ไม่ถึงขั้นคร่าชีวิต แต่หากไม่ถอนพิษก็จะหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราตลอดไปกระทั่งเสียชีวิตไปเอง และมีเพียงคนสกุลฉินเท่านั้นจึงจะจับชีพจรพบพิษชนิดพิเศษนี้ได้ เพราะมันเต้นเหมือนกับเส้นชีพจร เป็นเรื่องยากที่หมอเทพจะจับเส้นชีพจรเจอได้ เมื่อหมอเทพทราบเรื่องนี้ก็สบถด่าสกุลฉินไปชุดใหญ่ เขาใกล้ลงโลงดินกลบหน้าแล้วยังสลัดความพัวพันกับคนสกุลฉินไม่พ้นอีก
ฮูหยินผู้เฒ่ามีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ความกังวลที่มีอยู่หลายวันพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธ นางปาถ้วยน้ำชาในมือลงพื้นไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “เขาเห็นคนตระกูลมู่หรงเป็นของตายจริงๆ กล้ามารังแกกันถึงขั้นนี้ได้”
หากว่ามู่หรงชูอวิ๋นมีอันเป็นไปเนื่องจากการคลอดบุตร นางก็ยังพอรับได้ เพราะอย่างไรแล้วการคลอดบุตรเดิมทีก็เป็นการเดินวนที่ประตูมัจจุราชอยู่แล้ว แต่ว่านี่เป็นฝีมือของมนุษย์ อย่ามาโทษที่นางโกรธเคืองก็แล้วกัน มู่หรงชูอวิ๋นเป็นดั่งชีวิตและจิตใจของนาง ผู้ใดกล้ามารังแกก็อย่ามาโทษที่นางไม่ไว้หน้าอีก
สายตาลึกล้ำของเฟิงหลีเลี่ยมองไปที่ฉินอวิ๋นซิน ฟังจากคำพูดของพวกเขาแล้วเดาได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องไม่ธรรมดา ไม่คิดเลยว่าจะเป็นมารดาของภรรยาตนเอง เป็นแม่ยายของเขา แต่เมื่อคิดถึงว่าพี่ชายแท้ๆ ของนางทำร้ายมู่หรงชูอวิ๋นจนต้องมีสภาพเช่นนี้ เขาก็ทำใจให้เคารพเกรงใจฉินอวิ๋นซินไม่ได้เลย หาได้มีความรู้สึกเกรงอกเกรงใจเหมือนครั้งที่ได้พบหน้ามู่หรงไป๋ครั้งแรกไม่
มู่เยี่ยนเข้ามา ทำความเคารพต่อทุกคนพลางกล่าวรายงาน “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ หมอตำแยที่ทำคลอดให้พระชายาหายตัวไปหลายวันแล้ว กระหม่อมให้คนไปตามสืบพบว่านางถูกสังหารอยู่ที่หลังเขาเมื่อหลายวันก่อน และก่อนตายยังถูกลอกผิวหน้าสดๆ ไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่มู่เยี่ยนรายงาน เฟิงหลีเลี่ยยิ่งขมวดคิ้วไม่ยอมคลาย หลังจากที่มู่หรงชูอวิ๋นเกิดเรื่อง ทุกคนในจวนต่างอลหม่านกันไปหมด ทุกคนต่างมารุมล้อมอยู่ที่มู่หรงชูอวิ๋น จึงสั่งให้ทำการตรวจสอบเรื่องนี้ จนพบว่าหมอตำแยใช้วิชาเปลี่ยนโฉม อาศัยช่องว่างสลับตัวเข้ามาได้ เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเขาไร้ประโยชน์ แม้แต่การปกป้องนางเขาก็ยังทำไม่ได้ อีกทั้งเรื่องนี้เกิดต่อหน้าต่อตาของเขาด้วย เขาได้แต่รู้สึกผิดเต็มหัวใจ หากว่าเขารอบคอบกว่านี้มู่หรงชูอวิ๋นก็คงไม่เกิดเรื่อง เรื่องก้อนหินวันนั้นที่มู่หรงชูอวิ๋นสะดุดหกล้มก็เป็นก้อนหินที่ปรากฎขึ้นมากระทันหัน ตอนที่เฟิงหลีเลี่ยช่วยเช็ดตัวให้กับมู่หรงชูอวิ๋นถึงได้เห็นรอยเลือดคลั่งม่วงช้ำบริเวณหัวเข่าของนาง
ฉินอวิ๋นซินหลุบตาลงอย่างรู้สึกเสียใจ “ข้าขอโทษเจ้าค่ะ” แม้จะรู้ว่าเพียงถอนพิษออกมามู่หรงชูอวิ๋นก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่นางก็ยังรู้สึกผิดเป็นที่สุด หากว่านางพูดเรื่องนี้ออกมาเสียแต่แรก ให้พวกเขาได้เตรียมการป้องกันอย่างดี ต่อให้พี่ใหญ่ของนางจะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่สามารถทำอันใดได้ เรื่องทั้งหมดต้องโทษนาง เป็นเพราะนางที่นำภัยพิบัติมาสู่ตระกูลมู่หรง นำภัยพิบัติมาสู่ลูกสาวของตัวเอง
ครานั้น หลังจากการปรากฎตัวของฉินสุยนั้น วันถัดมามู่หรงอิงก็ได้เขียนหนังสือหย่า เมื่อซูซื่อมาเห็นก็ฉีกมันทิ้งด้วยความเดือดดาล ทิ้งถ้อยคำออกมาว่าทั้งชีวิตนี้นางเป็นคนของมู่หรงอิง มีชีวิตอยู่เป็นคนของเขา ตายไปก็เป็นวิญญาณของเขา มู่หรงมู่เห็นแล้วก็เสียใจแต่ก็ไม่กล้ากล่าวเกลี้ยกล่อม อย่างไรแล้วท่านแม่ก็ทำเรื่องผิด อีกทั้งยังเป็นบาปที่ไม่อาจให้อภัยได้เช่นนั้นอีก วันถัดมามู่หรงอิงจึงประกาศข้อความที่เขียนในหนังสือหย่าต่อหน้าคนเป็นแสน ซึ่งครั้งนี้ต่อให้ซูซื่อจะเล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ ก็ไม่อาจทำอะไรได้
ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ากวาดตามองฉินอวิ๋นซิน ทราบดีว่าการไปตำหนิกล่าวโทษนางก็ไม่ได้ช่วยอันใด เพราะเรื่องได้เกิดขึ้นแล้ว ทำได้เพียงคิดหาวิธีแก้ไข ข้อกล่าวหาที่คลุมเครือเป็นเพียงการผลักความรับผิดชอบก็เท่านั้น ไม่ได้มีประโยชน์อะไร
“คำพูดเหล่านี้เจ้าเก็บไว้ให้อวิ๋นเอ๋อร์เถิด” คำขอโทษเหล่านี้นางไม่ต้องการ