เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 392 หลอกลวง 2 / ตอนที่ 393 ส่งนางไปเถิด
ตอนที่ 392 หลอกลวง 2
เมื่อสามปีก่อนครั้งที่มู่หรงสิงออกไปล่าสัตว์นอกเมือง ได้ช่วยชีวิตเยียนหรูเสวี่ยที่ถูกคนไล่สังหารเอาไว้ มู่หรงสิงเห็นนางถูกศรปักคายังคงท่าทีสงบนิ่งเป็นอย่างมาก พลันเกิดความรู้สึกอยากจะช่วยเหลือนางขึ้นมา ครั้นถึงเวลาที่เยียนหรูเสวี่ยต้องจากไป ไม่ได้กล่าวขอบคุณซาบซึ้งอะไร และไม่ได้บอกชื่อของตัวเองกับเขาด้วย
ต่อมาทุกครั้งที่เขาได้พบเยียนหรูเสวี่ย ส่วนใหญ่จะเป็นเวลาที่นางถูกคนไล่สังหาร นานวันเข้าคนทั้งสองจึงได้รู้จักคุ้นเคยกัน มู่หรงสิงรู้สึกว่านี่คือโชคชะตา ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ก็ได้มาพบพาน
เขาเคยเอ่ยถามเยียนหรูเสวี่ยไปด้วยความใคร่รู้ เหตุใดจะต้องมีคราบเลือดท่วมตัวทุกครั้งไป
เยียนหรูเสวี่ยไม่อยากวุ่นวาย จึงแต่งเรื่องขึ้นเรื่องหนึ่ง บอกว่านางช่วยแก้แค้นให้พ่อกับแม่ ถึงได้ถูกคนไล่สังหาร
มู่หรงสิงสงสารนาง และถูกนางดึงดูดเข้าอย่างลึกซึ้งโดยไม่รู้ตัว กระทั่งเขาคิดอยากจะสารภาพความในใจ นางกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนกับระเหยหายไปจากโลกมนุษย์เสียอย่างนั้น ไม่ว่าเขาจะตามหานางด้วยวิธีการใดก็เปล่าประโยชน์
“ข้าน้อยนามว่าฮ่วนอู๋ ไม่ได้ชื่อเยียนหรูเสวี่ยอะไรนั่นเจ้าค่ะ คุณชายมู่หรงจำคนผิดแล้วจริงๆ” นางไม่อยากให้เฟิงหลีเลี่ยรู้ว่าพวกเขาสองคนรู้จักกัน ด้วยกฎขององครักษ์เงาแล้ว นางเป็นเงาที่ไม่อาจปรากฎตัวต่อฝูงชนได้ ไม่เช่นนั้นจะมีจุดจบทางเดียวคือความตาย และมู่หรงสิงก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย
มู่หรงสิงตกใจผงะถอยหลังไปหลายก้าว “แม้แต่ชื่อก็ยังปลอม” คิดถึงความว้าวุ่นใจในความฝันของตนเอง ละเม้อเพ้อพกเรียกชื่อที่สร้างขึ้นมาแต่ไม่ได้มีอยู่จริง เขาแทบอยากจะบีบคอเรียวของนางให้หักไปเลย เผื่อจะคลายความคับแค้นใจลงได้บ้าง การหลอกลวง ความอัปยศผุดขึ้นมาเต็มหัวของเขาไปหมด
ความเงียบอันยาวนาน ในที่สุดมู่หรงสิงก็คลายมือที่จับหัวไหล่ของนางออก กลับคืนสู่สภาพคุณชายผู้สง่างาม ราวกับอาการตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาช่ัวครู่เท่านั้น “เจ้าไปเสียเถิด” ห่างไปให้ไกลๆ เขาไม่อยากจะเห็นหน้าคนที่หลอกลวงเขาคนนั้นอีกต่อไป คิดเสียว่านางได้หนีจากการไล่สังหารในครั้งหนึ่งไปแล้ว ส่วนเยียนหรูเสวี่ยคนนั้นยังคงอยู่ในหัวใจของเขาตลอดไป เป็นเพราะเขาคิดถึงนางมากเกินไปจึงจำคนผิดเอง
เยียนหรูเสวี่ยชะงักอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันกายเดินจากไป ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากลาเลยสักนิด
นางไม่ทันสังเกตเห็นว่าฝ่ามือของเฟิงหลีเลี่่ยนั้นกำแน่น จนเส้นเลือดดำปูดขึ้นพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
มู่หรงสิงเข้าไปเยี่ยมมู่หรงชูอวิ๋น ก็ได้พบกับเยียนหรูเสวี่ยที่เพิ่งจะแยกกับเขาเมื่อครู่ เพียงแต่ครั้งนี้เขาไม่มีอาการตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
แต่เป็นเยียนหรูเสวี่ยที่ชะงักอึ้งไปครู่หนึ่ง เมื่อมู่เยี่ยนเอ่ยถามนางจึงส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เป็นอันใด จากนั้นก็รายงานสถานการณ์ให้เฟิงหลีเลี่ยฟังต่อ
ครั้นเมื่อเยียนหรูเสวี่ยกลับมาถึงห้องตัวเอง ก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น สายตาเลื่อนลอยว่างเปล่า คล้ายกับไร้จิตวิญญาณ
มู่เยี่ยนผลักประตูเข้ามาเห็นสภาพของนางที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงเอ่ยเสียงเย็นชา “พวกเราเป็นคนของนายท่าน ไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็เป็นได้เพียงเงา อย่าได้คิดถึงเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลย”
เขาเข้าใจเรื่องนี้แต่แรกแล้ว หากว่าหลานเอ๋อร์ไม่ใช่คนสนิทของมู่หรงชูอวิ๋น การที่มู่เหยียนคิดจะขอนางมาเป็นภรรยา เห็นทีจะเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น ตั้งแต่วันที่พวกเขาก้าวเข้ามายังตำแหน่งนั้น ก็ไม่มีความคิดเฉกเช่นคนทั่วไปอีกต่อไปแล้ว ในชีวิตมีเพียงความคิดเดียวนั้นก็คือ ปกป้องนายท่าน ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
เยียนหรูเสวี่ยรู้ว่าเขากำลังเตือนสติตนอยู่ ปรับสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “ข้ารู้”
ก็เป็นเพราะเข้าใจกระจ่างชัดแจ้ง นางจึงอดไม่ได้ที่อยากจะมีความปรารถนานั้น ทว่านางไร้ซึ่งคุณสมบัติ คนสกปรกต่ำต้อยเหมือนมดอย่างนาง จะไปคู่ควรกับความรักอันสูงส่งเลิศล้ำของเขาได้อย่างไร ทุกอย่างเป็นเพียงความคิดเพ้อเจ้ออันโง่เขลาเท่านั้น
มู่เยี่ยนเห็นว่านางไม่ใช่คนที่คิดไม่ได้ เมื่อพูดจบก็จากไป อย่างไรแล้วพวกเขาก็เติบโตมาด้วยกัน จึงไม่อยากเห็นในอนาคตนางเลือกเดินบนเส้นทางที่ไม่มีทางย้อนกลับได้
ตัวเขาเองก็อยู่บนถนนเส้นนั้น เป็นเส้นทางอันล่องลอยไม่มีทางย้อนกลับ มองไม่เห็นปลายทาง หาทางออกไม่เจอ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหลานเอ๋อร์ได้ให้กำเนิดลูกน้อย ซึ่งมู่เยี่ยนก็ได้ไปเยี่ยมแล้ว เด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนมู่เหยียนราวกับแกะออกมา ครั้งแรกก็สามารถมองเห็นความปิติยินดีของการเป็นพ่อแม่คนจากตัวของพวกเขาทั้งสองได้ เหมือนกับภัยพิบัติของทุกช่วงเวลาได้ผ่านพ้นไปหมดสิ้น เป็นความรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง เขาอยู่เยี่ยมเพียงครู่เดียวก็ขอตัวออกมา
ตอนที่ 393 ส่งนางไปเถิด
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ” ฉินอวิ๋นซินกัดริมฝีปาก มองฮูหยินผู้เฒ่าอย่างทรมานใจ ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยอมรับนาง นางจึงไม่กล้าเรียกฮูหยินผู้เฒ่าว่าท่านแม่ จึงใช้สรรพนามฮูหยินผู้เฒ่าเรียกแทนเหมือนกับคนอื่นๆ
“เขาว่าอย่างไร?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยน้ำเสียงเคร่งขรึมราบเรียบ สายตาเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็ง สัมผัสถึงความอบอุ่นใดๆ ไม่ได้เลย
ฉินอวิ๋นซินใจสั่นโครมคราม “เขาต้องการให้พวกเราส่งตัวอวิ๋นเอ๋อร์และกุยอวิ๋นไปให้ ไม่เช่นนั้น…”
“จะไม่ช่วยใช่หรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าหยักมุมปากขึ้นด้วยรอยยิ้มเสียดสี นางเดาออกแต่แรกแล้วว่าท่าทีของพวกเขาคืออะไร วางยาพิษทำร้ายหลานสาวของนาง ยังคิดเอาเองว่าพวกนางจะยอมส่งเหยื่อไปยังปากถ้ำเสือ เห็นพวกนางไร้ความสามารถ ทั้งอวดตัวเองมากเกินไปเสียแล้ว นางผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปี ไหนเลยจะเกรงกลัวกับเด็กเมื่อวานซืนคนเดียวได้
สมัยก่อนมู่หรงจางถูกลอบวางยาพิษ นางได้ผูกผมแต่งชุดจอมพล นำทัพบุกทลายรังข้าศึก เหล่ากองทัพข้าศึกต่างตกใจยอมมอบยาถอนพิษให้อย่างว่าง่าย
ก็แค่พิษชนิดหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ ย่อมต้องมีวิธีการถอนพิษอย่างแน่นอน นางไม่เชื่อว่าท่านหมอ ทั้งท่านหมอเทพจะเอาชนะพิษของสกุลฉินไม่ได้
ฉินอวิ๋นซินเม้มริมฝีปาก
น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยพอใจ “เจ้าออกไปได้ อีกอย่างหากเจ้าคิดจะมาพูดจาหว่านล้อมให้ข้ายอม อย่ามาตำหนิที่ข้าไม่เห็นแก่หน้าของไป๋เอ๋อร์ก็แล้วกัน” ตอนนี้นางเห็นหน้าคนสกุลฉินอารมณ์โมโหก็จะปะทุขึ้นมา การที่นางยอมให้ฉินอวิ๋นซินได้เจอหน้ามู่หรงชูอวิ๋นก็ถือว่าใจกว้างมากแล้ว ไม่เช่นนั้นแม้แต่หน้าประตูก็อย่าหวังเลยว่าจะอนุญาตให้นางเข้ามาได้
ฉินอวิ๋นซินมองดูมู่หรงชูอวิ๋นที่นอนไร้สิ้นเสียงอยู่บนเตียง ใบหน้าทุกข์ตรมระคนทุกข์ใจ ตอนที่นางไปหาฉินสุยนั้น เขาได้ยื่นคำขาดหากไม่ยอมส่งตัวมู่หรงชูอวิ๋นและลูกมาให้ พวกเขาจะไม่ยอมช่วยถอนพิษโดยเด็ดขาด ต่อให้นางจะคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้เขาใจอ่อนได้เลยแม้เพียงสักนิด นางเป็นมารดาของมู่หรงชูอวิ๋น ย่อมต้องหวังให้มู่หรงชูอวิ๋นปลอดภัยยิ่งกว่าใครๆ เหตุการณ์มาถึงทุกวันนี้สิ่งที่นางปรารถนาดูจะเพ้อฝันเกินไปเสียแล้ว
หมอเทพช่วยจับชีพจรให้มู่หรงชูอวิ๋น นั่งตัวตรงแน่วแน่อยู่ทางด้านข้าง
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ยังคงเหมือนเดิมขอรับ” เมื่อครู่เขานำยาเม็ดถอนพิษที่ปรุงขึ้นมาเองให้มู่หรงชูอวิ๋นได้ลองกิน ทว่านางกลับไม่มีปฏิกิริยาใดแม้สักเล็กน้อย ต้องโทษตัวเขาในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ได้แต่มัวเมาอยู่กับการจะถอนพิษบุปผาหงส์ไฟอย่างไร แทนที่จะศึกษาพิษของสกุลฉิน หากทำเช่นนั้นบางทีตอนนี้เขาคงไม่ต้องมามืดแปดด้านถึงเพียงนี้ “ฮูหยินผู้เฒ่า เหตุใดจึงไม่ส่งแม่นางไปที่สกุลฉิน บางทีอาจจะพอมีความหวังอยู่บ้าง” ดูจากการติดตามมู่หรงชูอวิ๋นของคนสกุลฉินแล้ว คิดว่าพวกเขาไม่น่าจะเอาเปรียบนางแต่อย่างใด อีกอย่างเด็กที่มู่หรงชูอวิ๋นให้กำเนิดยังเป็นบุตรชายที่มีปานรูปกิเลน ซึ่งก็คือความหวังของสกุลฉิน การส่งมู่หรงชูอวิ๋นไปแล้ว พวกเขาคงจะดูแลทะนุถนอมนาง หากว่าเดาไม่ผิดล่ะก็ พวกเขาจะต้องแต่งตั้งกุยอวิ๋นลูกน้อยที่มู่หรงชูอวิ๋นเพิ่งคลอดให้เป็นว่าที่ผู้นำเผ่ารุ่นต่อไปอย่างแน่นอน
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้อธิบายสาเหตุ แต่เอ่ยถามไปตรงๆ “ท่านผู้เฒ่ามีความมั่นใจกี่ส่วน เรื่องที่จะถอนพิษในตัวให้อวิ๋นเอ๋อร์ได้” ตระกูลมู่หรงทุกวันนี้ก็มีความสัมพันธ์อันคลุมเครือกับทางราชสำนัก ไม่อาจมีความสัมพันธ์กับยุทธจักรได้อีก อย่างไรแล้วเฟิงหลีเลี่ยชีวิตนี้ก็เจอเรื่องแย่ๆ มามากพอแล้ว กว่าจะได้มู่หรงชูอวิ๋นมาอยู่ข้างกายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
พวกเขาไม่อาจเห็นแก่ตัวถึงเพียงนั้น แม้จะหวังอยากให้มู่หรงชูอวิ๋นดีขึ้น แต่ก็ไม่อาจละเลยความรู้สึกของเฟิงหลีเลี่ยได้ ฮูหยินผู้เฒ่าไม่อยากให้เรื่องราวของลูกชายต้องเกิดกับหนุ่มสาวสองคนนี้อีก
หมอเทพชูสามนิ้วเป็นคำตอบ ยาพิษของสกุลฉินสร้างขึ้นมาจากส่วนประกอบแตกต่างกัน อีกทั้งคนที่ปรุงยาก็เป็นอีกคน ต่อให้หาตัวคนที่ปรุงพิษนี้ขึ้นมาได้ ก็ไม่อาจแน่ใจว่าคนผู้นั้นจะถอนพิษได้ ด้วยนี้จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมหมอเทพจึงเครียดอยู่เช่นนี้ เขาไม่กล้าผลีผลามถอนพิษ เพราะกลัวว่าพิษนั้นจะตีกันได้
“ท่านย่า ส่งอวิ๋นเอ๋อร์ไปเถิดขอรับ” ประตูใหญ่ปิดสนิทถูกผลักเปิดออก น้ำเสียงของเฟิงหลีเลี่ยแผ่วเบา แฝงด้วยรังสีเยียบเย็น “ให้อวิ๋นเอ๋อร์ไป อย่างน้อยอวิ๋นเอ๋อร์ก็รอดชีวิตนะขอรับ” เขาทนเห็นสภาพที่มู่หรงชูอวิ๋นนอนนิ่งเงียบอยู่บนเตียงมามากพอแล้ว เขากลัวว่าสักวันจะสัมผัสกับมือที่ไร้อุณหภูมิของมู่หรงชูอวิ๋นเข้า ทว่าเขาไม่รู้ว่ามือของนางไร้อุณหภูมิเช่นนี้มานานแล้ว เขาหวั่นกลัว เขายอมรับได้หากมู่หรงชูอวิ๋นจะมีชีวิตอยู่ในสถานที่ที่เขาไม่รู้จัก ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย เช่นนั้นต่อให้ในอนาคตมู่หรงชูอวิ๋นจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก แต่เขาก็ยังสามารถไปชิงตัวนางกลับมาได้
ดวงตาดำขลับของเฟิงหลีเลี่ยแน่วแน่ราวกับสายน้ำที่เงียบสงบ เมื่อประสานสายตากับเขาแล้ว จะถูกดูดจมลึกลงไปอย่างไม่รู้ตัว เวลานี้แสงจันทร์ลับเลือนลงไป เหลือไว้เพียงความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด เข้มข้นดั่งผืนน้ำหมึก เป็นแววตาที่ซ่อนไว้เพียงระลอกความแน่วแน่
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวใจกระตุกวาบ พูดเสียงตระกุกตระกัก “เลี่ยเอ๋อร์ เจ้า…”
นางไม่รู้ว่าเฟิงหลีเลี่ยเข้าใจหรือไม่ การส่งตัวมู่หรงชูอวิ๋นไปให้สกุลฉินหมายถึึงอะไร
เฟิงหลีเลี่ยมองคนที่นอนอยู่บนเตียง เอ่ยอย่างไม่ยอมถอย “ท่านย่า ไม่มีครั้งใดที่ข้าจะชัดเจนว่าตัวเองกำลังทำอะไรได้เท่ากับครั้งนี้อีกแล้ว”
ก้นบึ้งหัวใจของฮูหยินผู้เฒ่ามีระลอกคลื่นความขมขื่นเอ่อล้นขึ้นมา “เด็กดี หากอวิ๋นเอ๋อร์กล้าลืมเจ้า ย่าจะช่วยสั่งสอนนางให้เจ้าเอง ให้นางยอมรับการกระทำทั้งหมดให้ได้” นางก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นจะลืมนางด้วยหรือไม่ ความกลัวของนางก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเฟิงหลีเลี่ย
“ขอบคุณท่านย่าขอรับ”