เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 396 ชิงบัลลังก์ 2 / ตอนที่ 397 ชิงบัลลังก์ 3
ตอนที่ 396 ชิงบัลลังก์ 2
“ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ นี่ก็คือพิษที่เสด็จพ่อโดนสมัยนั้น เพื่อให้เสด็จพ่อจากไปอย่างสงบ ข้ามือสั่นไม่ทันระวังทำหกใส่ถ้วยชาของพระองค์ไปแล้ว” พิษที่ฝ่าบาทโดนเป็นพิษที่มาจากดินแดนตะวันตก ไร้สีไร้กลิ่น ขอเพียงถูกทำให้หงุดหงิดใจพิษก็จะออกฤทธิ์ ต่อให้พิษออกฤทธิ์ก็ไม่มีทางตรวจพบได้ เพื่อต้องการตรวจหาว่าสมัยนั้นเสด็จพ่อโดนพิษใดกันแน่ เขาได้เดินทางขึ้นเหนือลงใต้เป็นเวลาสิบกว่าปี ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าเสด็จพ่อถูกพิษใดกันแน่ หลังจากวันแต่งงานของเฟิงหลีเลี่ย ท่ามกลางพระตำหนักเสวียนหยางที่ถูกผู้คนจ้องมอง เฟิงหรงสวี่ก็ได้ลงมือแล้ว นอกจากเฟิงหลีเลี่ยก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
เหมือนจะคิดอะไรได้ เฟิงหรงสวี่ได้เอ่ยพูดกับคนที่ประคองฮ่องเต้อยู่ “หยางซุ่นเจ้ามาได้แล้ว”
ได้ยินเสียงของเฟิงหรงสวี่ หยางซุ่นก็ปล่อยมือที่ประคองฮ่องเต้ลง ก้าวเท้าขยับมาอยู่ข้างกายเฟิงหรงสวี่
สายตาสังหารพลันตกมาอยู่ที่ตัวของหยางซุ่น แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังทรงไม่ยากจะเชื่อ
“หยางซุ่น” ฮ่องเต้กลั้นความกร้ิวโกรธเอาไว้ไม่อยู่ พ่นชื่อสองคำนี้ออกมาจากพระโอษฐ์
“กระหม่อมเป็นคนของข้างกายของฮ่องเต้มาโดยตลอด อดีตฮ่องเต้รับสั่งให้กระหม่อมรักษาบังลังก์แห่งนี้ไว้ให้กับท่านอ๋องสิบแปดพ่ะย่ะค่ะ” ไม่มีความรู้สึกเสียใจแต่อย่างใด สมัยก่อนนั้นเฟิงหรงสวี่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ต่อมาอดีตฮ่องเต้ได้ยกเขาให้เป็นคนของฮ่องเต้ ความจริงแล้วอดีตฮ่องเต้ทรงเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว ทรงช่วยปูทางให้กับเฟิงหรงสวี่เป็นอย่างดี วางคนของตนเองไว้ข้างกายองค์ชายทุกพระองค์ สมัยก่อนนั้นหยางซุ่นไม่ใช่ขันธีผู้รู้พระทัยฮ่องเต้ จึงไม่ทราบเรื่องแผนการลับของเขา
องค์รัชทายาทมองคนที่ยืนอยู่ข้างกายเฟิงหรงสวี่ด้วยท่าทางที่ไม่เป็นเดือดเป็นร้อน แต่พวกเขากลับเป็นคนพ่ายแพ้ต้องหดตัวหลบอยู่ด้านข้างไม่ต่างไปจากมด จึงตะโกนเสียงกร้าวอย่างโกรธเคือง “เฟิงหลีเลี่ย เขาเป็นโจรกบฎ เจ้ายืนอยู่กับเขาก็เป็นคนที่ไม่จงรักภักดีไร้คุณธรรม” มีสิทธิอันใด เขาเป็นองค์รัชทายาท ในอนาคตเป็นผู้ที่จะได้ขึ้นไปนั่งอย่างทรงเกียรติอยู่บนติ่งทองเก้าชั้น[1]
ฮ่องเต้ไม่ทรงขัดขวางเขา เพราะหากเฟิงหลีเลี่ยกลับมาจริงๆ เช่นนั้นตอนจบของเรื่องก็อาจเปลี่ยนแปลงได้
เฟิงหลีเลี่ยกลับทำเหมือนมองไม่เห็น สายตามองผ่านพวกเขาไปอีกทาง ราวกับคนที่ไร้จิตวิญญาณ มีเพียงร่างกายเท่านั้น
“เฟิงหลีเลี่ย” องค์รัชทายาทคิ้วสั่นราวกับส่งเสียงออกมา ดวงตาทั้งสองพ่นรังสีที่สามารถมองทะลุคนได้
“ซืดซืด องค์รัชทายาทใยต้องโกรธเคือง พระองค์ไม่ใช่ไม่ทรงรู้จักเลี่ยเอ๋อร์ เขาก็แค่ไม่ชอบพูดจาเท่านั้น ก็เหมือนกับสมัยก่อนที่รู้แก่ใจดีว่าพระองค์เป็นคนใช้มีดแทงเฟิงหลีเย่ เขาก็แค่ไม่เคยอธิบายเท่านั้น”
พระสนมเซียวหัวใจสั่นสะท้าน เอามือปิดปากตัวสั่นเทา สมัยนั้นนางคิดว่าเป็นฝีมือของเฟิงหลีเลี่ยมาโดยตลอด ไม่ว่าเฟิงหลีเย่จะอธิบายกับนางไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็ตาม ใครจะรู้ว่ามีความลับเช่นนี้อยู่จริง ความรู้สึกผิดฝังติดอยู่ในใจของนาง ที่แท้นางก็ไม่ใช่คนดีอะไร
เฟิงหรงสวี่เห็นสีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันไป ก็รู้สึกพอใจเป็นพิเศษ
“เจ้าต้องการทำสิ่งใดกันแน่?” ฮ่องเต้กำพระหัตน์ตรัสออกมาด้วยความโกรธ ขมับของพระองค์มีเส้นเลือดดำปูดขึ้นมา หนวดตั้งขึ้นเป็นเส้นๆ เหมือนเข็ม
“ฮ่ะ เสด็จพี่ช่างตลกนัก” เฟิงหรงสวี่กุมท้องหัวเราะเสียงดัง “ยังไม่ชัดเจนพอหรือพ่ะย่ะค่ะ? ผู้ชนะคือราชา ผู้แพ้คือกบฎ”
เงียบลงครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ใช่แล้ว เมื่อคืนเสด็จพ่อทรงมาเข้าฝันข้าด้วย ทรงตรัสว่าคิดถึงพระองค์มากเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ความเจ็บปวดที่ทรวงอกเพิ่มความหวาดกลัว ชี้หน้าเฟิงหรงสวี่ทว่าตรัสไม่ออกสักคำ
“พระองค์อย่าได้เป็นกังวลพระทัยเลย ข้าไม่ประหารท่านหรอก” เฟิงหรงสวี่โค้งมุมปากยิ้ม ถึงตอนนี้เขาได้แก้แค้น ก็ควรทวงสิ่งที่เป็นของตนเองกลับมา “ท่านอย่าเอาความหวังไปฝากไว้ที่พระมารดาของท่านเลย ก่อนหน้าเมื่อไม่นานมานี้พระนางได้เห็นภาพเหมือนของเสด็จพ่อ ตื่นเต้นมากจนเสียสติไปแล้ว”
เรื่องที่ฮ่องเฮาทรงทำไว้ในสมัยนั้น ยังคงติดอยู่ในใจมานานไม่อาจสงบใจได้ จึงไปที่วัดบรรพบุรุษเพื่อสวดมนต์ขอพร เพียงแต่พระนางไม่อาจผ่านพ้นด่านความรู้สึกผิดในใจไปได้ ทำกรรมเลวไว้มาก ก็จะร้อนตัวได้ง่าย เขาเพียงแต่ใช้แผนการเล็กน้อย พระนางก็เสียสติไปแล้ว ดังนั้นจะมาโทษเขาหาได้ไม่ ต้องโทษที่พวกเขาทำเรื่องชั่วช้ามามากเกินไป
“เราเป็นคนที่ทำอย่างที่เจ้ากล่าวหาไม่…” ฮ่องเต้กลั้นลมหายใจ กว่าจะตรัสถ้อยคำประโยคนั้นออกมาได้
เฟิงหรงสวี่ไม่มองพระองค์อีก สั่งการไปโดยตรง “สืบทอดบัลลังก์เป็นกษัตรย์ไม่ดี ทำร้ายพี่น้อง สังหารบิดา ด้วยเมตตาของเรา ให้นำตัวไปขังไว้…”
เฟิงหรงสวี่อ่านข้อความหยาวเหยียดจนจบ มีคนชอบย่อมมีคนชังเป็นธรรมดา เฟิงหลีเย่ไม่รู้ว่าความรู้สึกของตนเองเป็นอย่างไร มีเขาเพียงคนเดียวที่ไม่ถูกสั่งขัง เขารู้ดีว่านั่นเป็นความโชคดีจากเฟิงหลีเลี่ย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาสงสัยของคนอื่น เขาพลันรู้สึกขลาดกลัวขึ้นมาทันที
[1] ติ่งทองเก้าชั้น เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุดของวัฒนธรรมจีน
ตอนที่ 397 ชิงบัลลังก์ 3
ฮ่องเต้กวาดสายพระเนตรบางๆ มาที่เฟิงหลีเลี่ย ตรัสถาม “เหตุใดเจ้าถึงช่วยเขา? เราเป็นบิดาของเจ้า แค่กๆ…” ฮ่องเต้ทรงไออยู่นานถึงจะดีขึ้นมาได้ เฟิงหลีเลี่ยหยิบถ้วยน้ำชาส่งให้กับพระองค์ ทว่าถูกพระองค์ปัดทิ้งลงพื้นไปด้วยความโมโห แสร้งทำดีพระองค์ไม่เคยต้องการ
เฟิงหลีเลี่ยมองดูถ้วยน้ำชาที่กลิ้งไปกับพื้น สีหน้าเรียบเฉยไร้ความเปลี่ยนแปลง ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น มองดูคนที่หายใจไม่ออก ลมหายใจแทบจะขาดรอน
จึงลากเก้าอี้มาตัวหนึ่ง แล้วนั่งลงตรงหน้าของพระองค์ “เขาช่วยกระหม่อมไว้ และผู้หญิงคนนั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าพูดอะไร?” ฮ่องเต้สองพระหัตถ์กำคอเสื้อของเฟิงหลีเลี่ยไว้แน่น รูม่านตาขยาย ถลึงตาด้วยความโกรธเกรี้ยว มีเส้นเลือดดำที่หน้าผากผุดขึ้นลงตามจังหวะลมหายใจหอบหืดจากความโกรธ “ผู้หญิงคนนั้นคือใคร?”
“พระองค์ทราบดีพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ปล่อยคอเสื้อของเฟิงหลีเลี่ย ส่ายหน้าอย่างบ้าคลั่ง พึมพำ “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เห็นชัดว่า…”
“เห็นชัดว่าพระองค์สั่งให้แม่นมใบ้วางยา นางจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร” ฮ่องเต้ทรงตื่นตกใจทอดพระเนตรเฟิงหลีเลี่ยราวกับไม่เคยรู้จักเขามาก่อน
“ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่ทรงทราบตัวตนของกระหม่อม วันนั้นพระองค์รู้เพียงว่าเพื่อตำแหน่งของพระองค์แล้ว ต้องถอนรากถอนโคลนตระกูลน่าหลัน ทรงมองข้ามทุกสิ่ง เดิมทีทรงคิดว่าจะลืมทุกอย่างได้ ทว่าวันนั้นที่อุทยานลอยฟ้า พระองค์ได้พบกับผู้หญิงสติฟั่นเฟืองคนนั้น ในแววตาของนางเวลาที่มองพระองค์ไม่เหลือความรักอีกต่อไป แม้จะเสียสติไปแล้วแต่ก็ไม่อาจลบความเกลียดชังให้สิ้นได้ พระองค์หวาดกลัว ในพระทัยของพระองค์นั้นนางได้ตายจากไปนานแล้ว เมื่อทรงทำถึงเพียงนั้นแล้วจึงทำให้ถึงที่สุดโดยไม่สนพระทัยสิ่งใดทั้งสิ้น รับสั่งให้คนนำยาพิษและมีดไปวางตรงหน้าของแม่นมใบ้ ผู้หญิงใบ้น่าสงสารคนนั้นไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี สุดท้ายนางกลั้นใจทั้งน้ำตาให้ผู้หญิงบ้าคนนั้นดื่มยาพิษ ลำดับต่อไปก็คือเด็กคนนั้น สิ่งที่ทำให้พระองค์คิดไม่ถึงที่สุดก็คือ เหตุใดเด็กคนนั้นจึงยังมีชีวิตรอดมายืนตรงหน้าของพระองค์ คอยย้ำเตือนพระองค์อยู่ทุกวันว่าพระองค์เคยทำเรื่องดีอะไรบ้าง เสด็จพ่อผู้ประเสริฐ ลูกพูดสิ่งใดผิดไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์อย่างบ้าคลั่ง “ไม่ใช่ เราจะฆ่านางลงได้อย่างไร นางเป็นผู้หญิงที่เรารักที่สุด…”
“พระองค์ทรงอย่าได้เสแสร้งจริงใจอีกเลย ไม่มีผู้ใดจะมองเห็น อีกอย่างทรงอย่าตรัสว่ารักนางเลยพ่ะย่ะค่ะ น่าขยะแขยงเป็นที่สุด”
“เสด็จพ่อ พี่สี่พูดเรื่องจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เฟิงหลีเย่เดิมทีไม่ควรมาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ พลันไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิดหวังเป็นที่สุด เขาคิดมาตลอดเวลาว่าเสด็จพ่อเพียงแต่รังเกียจพี่สี่เท่านั้น แต่ไม่เคยคิดว่าพระองค์ต้องการจะฆ่าเขา เสือดุร้ายเพียงใดก็ไม่กินลูกตัวเอง แต่พวกเขาเป็นลูกชายแท้ๆ ของพระองค์ เป็นผู้หญิงที่พระองค์ทรงรักมากที่สุด ราวกับเฟิงหลีเลี่ยที่ตัวผอมแห้งราวกับฟืนถ่าน หวาดกลัวสุดขีดเมื่อเห็นผู้คนผู้ คนที่วิ่งมาชนเขาคนนั้นได้ปรากฎตัวต่อหน้าของเขาอีกคร้ั้ง
เฟิงหลีเย่กวาดตามองฮ่องเต้บางๆ ไม่มีคำพูดใดจะเอื้อนเอ่ย
“เย่เอ๋อร์ ลูกอย่าไปเชื่อคำพูดเหลวไหลของเขา คนที่ฆ่าบิดาอย่างเขาไม่มีทางมีทายาทได้”
เดิมทีเฟิงหลีเลี่ยคิดจะออกไปแล้ว เมื่อได้ฟังถ้อยคำเช่นนี้ ผลิรอยยิ้มเย็นชาขึ้นมาอย่างสดใสแทรกซึมทุกสิ่งจนสิ้น ทุกคนต่างมองด้วยอาการตกตะลึง
“ลืมกราบทูลพระองค์ไปเรื่องหนึ่ง ลูกชายของกระหม่อมคลอดมาแล้วในช่วงน้ำค้างแข็ง เขาเป็นเด็กที่ฉลาดหลักแหลมมาก ดังนั้นเสด็จพ่อไม่ต้องทรงเป็นห่วงว่ากระหม่อมจะไม่มีทายาทพ่ะย่ะค่ะ” ได้เห็นพระพักตร์บูดบึ้งด้วยความโกรธกริ้วของฮ่องเต้ จึงกระซิบข้างพระกรรณ “น้องชายของกระหม่อมปีนี้สิบขวบแล้ว พระมารดาให้กำเนิดเองนะพ่ะย่ะค่ะ” มุมปากพลันหยักยิ้มขึ้นมา
เฟิงหลีเย่ได้ยินประโยคครึ่งแรกของเขาก็ตกใจ แววตาปกคลุมไปด้วยความโดดเดี่ยวเงียบเหงา แต่ประโยคท่อนหลังเฟิงหลีเลี่ยพูดเสียงกระซิบ เฟิงหลีเย่จึงฟังไม่ได้ยิน
พูดจบแล้วก็เดินจากไป สำหรับเฟิงหลีเย่นั้น เฟิงหลีเลี่ยเชื่อว่าฮ่องเต้ผู้ทรงรักหน้าตาไม่มีทางพูดเรื่องนี้ออกมาแน่ อย่างไรแล้วผู้หญิงที่พระองค์ตรัสว่ารักและทำร้ายนางมาตลอดหลายปี ได้ให้กำเนิดบุตรชายกับคนอื่น ทั้งยังโตมาขนาดนั้นด้วยแล้ว
“เสด็จพ่อ…”
เสียงอุทานตกใจของเฟิงหลีเย่ดังขึิ้นทางด้านหลังของเขา แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งฝีเท้าให้เดินจากไปของเฟิงหลีเลี่ยได้
ฮ่องเต้ทรงกระอักเลือดออกมา ก่อนจะหมดสติล้มลงไป