เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 398 ชิงบัลลังก์ 4 / ตอนที่ 399 คู่หมั้น 1
ตอนที่ 398 ชิงบัลลังก์ 4
พระสนมเซียวยืนหน้าประตูรออยู่นานกว่าจะเห็นเฟิงหลีเลี่ย รีบรุดขึ้นหน้าไปด้วยความตื่นตะหนก แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี นางตามเฟิงหลีเย่เข้ามา ทว่าเฟิงหลีเย่เข้าไปด้านในแต่นางไม่รู้ว่าควรจะมองหน้าเฟิงหลีเลี่ยอย่างไร จึงคอยหลบหน้าอยู่บ้าง
รู้สึกกระสับกระส่าย ใจเต้นตึกตัก จิตใจว้าวุ่นไม่อาจสงบจิตใจ ดั่งมีเกลียวคลื่นหมุนวนอยู่ในหัวใจ มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่น “เลี่ยเอ๋อร์”
เฟิงหลีเลี่ยชะงักฝีเท้า ลมหนาวเย็นเยือกพัดใบหน้าของนางแดงไปหมด เอ่ยอย่างไม่พอใจ “มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงตำหนิของเฟิงหลีเลี่ยทำให้พระสนมเซียวทำอะไรไม่ถูก คิดว่าเฟิงหลีเลี่ยไม่ชอบใจ จึงรีบอธิบาย “ข้าไม่รู้ว่าควรไปหาเจ้าที่ใด ได้ยินว่าเจ้ามาที่นี่จึงตามมา” ตั้งแต่ได้ยินเรื่องนั้นจากเฟิงหรงสวี่ นางก็รู้สึกกระสับกระส่ายไม่สบายใจ ตอนนั้นในสายตาของนางมีเพียงเฟิงหลีเย่ที่นอนหายใจรวยรินจากการถูกแทง จึงได้ละเลยเฟิงหลีเลี่ยที่บาดเจ็บเหมือนกัน กว่านางจะมาพบเฟิงหลีเลี่ยก็ขังตัวเองอยู่ในห้องหมดสติไปหลายชั่วยามแล้ว น้ำเสียงต้อยต่ำและระแวดระวัง ไม่มีบารมีของพระสนมเซียวอีกต่อไป
“พวกเจ้าทำอะไรกัน? ไม่เห็นหรือว่าเสด็จแม่หนาวจนแดงไปหมดแล้ว?”
ทุกถ้อยคำของเฟิงหลีเลี่ยแผ่ซ่านไปด้วยความเย็นเหยียบเหมือนดั่งวิญญาณ ทว่ายังมีรัศมีเปล่งปลั่งเหมือนแสงจันทราอันกระจ่างชัด ทำเอานางกำนัลที่คอยดูแลพระสนมเซียวหวาดกลัวเป็นที่สุด ทุกคนต่างคุกเข่าลงกับพื้นหิมะอันหนาวเย็น
“เลี่ยเอ๋อร์ข้า…”
“เสด็จแม่ พระองค์เลี้ยงดูข้ามาจนโต เป็นมารดาหนึ่งวันก็เป็นมารดาไปตลอดชีวิต เรื่องในอดีตผ่านไปแล้ว พวกเราลืมกันไปเสียเถิดนะพ่ะย่ะค่ะ”
ในตอนนั้นเป็นเพราะเขาโดดเดี่ยวเกินไป กลัวว่าตนเองจะถูกนำไปทิ้งในพระตำหนักเย็นอีกครั้ง แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือการพามู่หรงชูอวิ๋นกลับมา ส่วนเรื่องอื่นๆ เขาไม่อยากคิดถึงอีก ถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้วที่เขาไม่ได้พบหน้านาง ไม่รู้ว่าลูกน้อยโตแล้วหรือยัง นางสบายดีหรือไม่ ส่วนเรื่องวุ่นวายอื่นๆ เขาไม่มีเรี่ยวแรงไปตรวจหาข้อเท็จจริงแล้ว ต่อให้เป็นคนที่เคยเหยียบเขาจมก้นหุบเขาก็ตามที
ช่วงเวลานี้นางวิตกกังวลอย่างมาก ใบหน้ากลัดกลุ้มเป็นทุกข์ คิ้วเรียวยาว ทว่าไม่อาจปกปิดความงดงามไว้ได้ รัศมีเปล่งปลั่งสะท้อนออกมา ความอบอุ่นที่พระสนมเซียวมอบให้ เขายังคงจดจำไว้ในใจไม่เคยลืม เมื่อเทียบกับน่าหลันฉิงแล้ว ความรู้สึกที่เขามีกับพระสนมเซียวลึกซึ้งมากเสียกว่า ต่อให้น่าหลันฉิงจะทำดีกับเขามากเพียงใด ก็ไม่เท่ากับภาพเหตุการณ์ที่เขาถูกสั่งโบย แล้วพระสนมเซียวช่วยเขาทายาทั้งน้ำตา ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสถึงคำว่ามารดา และเพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้เขาเก็บภาพความทรงจำอย่างลึกซึ้งในจิตใจ ดังนั้นต่อให้อนาคตจะเป็นเช่นไร เขาจะไม่มีวันทำร้ายนางเด็ดขาด
“เลี่ยเอ๋อร์ขอบใจเจ้ามาก”
ใบหน้าขาวกระจ่างของเฟิงหลีเลี่ย ขับเน้นความหล่อคมเข้ม ดวงตาดำขับลึกล้ำ ประกายเสน่ห์น่าหลงใหล เขาเอ่ยน้ำเสียงใจเย็น “ทานให้มากหน่อยพ่ะย่ะค่ะ วันข้างหน้ากุยอวิ๋นกลับมาต้องให้พระองค์ช่วยเลี้ยงนะพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบไม่รอให้นางมีตอบสนอง ก็หันกายเดินจากไป
พระสนมเซียวกุมมือของซูอิงไว้แน่น มองเฟิงหลีเลี่ยที่เหยียบหิมะเดินจากไป เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เมื่อครู่เลี่ยเอ๋อร์หมายความว่าอะไร?”
“พระชายาน่าจะให้กำเนิดแล้วเพคะ” ครุ่นคิดอยู่ในใจครู่หนึ่ง พวกเขาห่างเมืองหลวงไปนานเพียงนั้น กาลเวลาก็มากพอควร แต่เรื่องในอนาคตจะมีเพิ่มมาอีกคนก็ไม่อาจรู้ได้
พระสนมเซียวมีรอยยิ้มอบอุ่นขึ้นมาหลายส่วน “เช่นนี้ก็ดี ขอเพียงเขามีความสุข เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญแล้ว” มิน่าเฟิงหลีเลี่ยกลับมาครั้งนี้ นางจึงรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปเหมือนไม่เคยรู้จัก น่าจะเพราะในใจคอยพะวงมู่หรงชูอวิ๋นห่างไปอยู่ที่อื่น นางเชื่อว่าเฟิงหลีเลี่ยจะต้องเป็นพ่อที่ดี อย่างไรแล้วเขาก็รักและทะนุถนอมมู่หรงชูอวิ๋นเป็นอย่างมาก ทุ่มเทให้มู่หรงชูอวิ๋นได้ทุกอย่าง เขาจะต้องถนอมนางไว้ในอุ้งมือเป็นแน่ ไม่รู้ว่าเด็กน้อยจะหน้าตาเหมือนใคร เพียงแต่นางก็หวังให้เหมือนกับมู่หรงชูอวิ๋นมากหน่อย เช่นนั้นจะได้มีความสุขมากยิ่งขึ้น
ตอนที่ 399 คู่หมั้น 1
หลังจากมู่หรงชูอวิ๋นมาถึงสกุลฉินแล้ว ฉินสุยก็ได้ถอนพิษให้นางทันที เพราะหากพิษสะสมนานวันก็ยิ่งมีอันตรายมากขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่าเดาไว้ไม่ผิด พวกเขาลบความทรงจำของนางไปจริงๆ ไม่เหลือความทรงจำเดิมเลยแม้เพียงเล็กน้อย
แม้แต่กุยอวิ๋นก็ให้ภรรยาของฉินสุยเป็นผู้เลี้ยงดู ฉินอวิ๋นซินจะพบหน้าพวกเขาสองคนยากเสียยิ่งกว่ายาก ทุกวันต้องมีน้ำตาอาบหน้า ขอร้องอ้อนวอนฉินสุยอย่างเวทนาอยู่หน้าประตู ฉินสุยถึงจะอนุญาตให้นางได้พบหน้ากุยอวิ๋นหนึ่งวัน แต่สำหรับมู่หรงชูอวิ๋นนั้นฉินอวิ๋นซินไม่เคยได้พบหน้าเลย รู้เพียงว่านางไม่เป็นอันใดบัดนี้ได้สติฟื้นขึ้นมาแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ นางไม่รู้เลย นางรู้สึกว่าในตอนแรกตนเองคิดง่ายเกินไป ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเขาจะกล้าทำได้ถึงขั้นนี้ เห็นชัดว่าตอนแรกตกลงกันไว้อย่างดีไม่ใช่แบบนี้ นั่นเป็นลูกสาวแท้ๆ ของนาง เป็นเหมือนชีวิตของนาง ทว่าบัดนี้แม้แต่หน้าก็ยังไม่ได้พบ นางเหมือนกับเป็นคนนอกที่มาอ้อนวอนร้องขอ ทุกวันนางต้องถูกคนจำนวนนับไม่ถ้วนคอยเฝ้าสังเกตทั้งที่แจ้งและที่ลับ ไร้ซึ่งอิสระเสรี จึงไม่ต้องพูดถึงช่องว่างให้นางได้ขอร้องเลย
มู่หรงชูอวิ๋นนั่งอยู่บนม้านั่งหิน มือเท้าพวงแก้มมองดูผีเสื้อที่บินโฉบไปมา นุ่มนวลอ่อนโยน งดงามเกินคำบรรยาย ตอนที่นางฟื้นขึ้นมาทุกส่งอย่างที่ผุดขึ้นมาล้วนเป็นความว่างเปล่า ฉินสุยบอกว่านางชื่อฉินหุ้ยซิน เป็นบุตรสาวของเขา เมื่อครึ่งปีก่อนได้ผลัดตกหน้าผา สมองกระทบกระเทือนความทรงจำในอดีตถูกลบเลือนไปจนสิ้น มีบางครั้งที่นางฝันและตื่นขึ้นมากลางดึก แต่ว่ามู่หรงชูอวิ๋นจำความฝันไม่ได้ รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจอย่างมาก นางยื่นมือเข้าไปสัมผัสความว่างเปล่า ทว่าก็คิดไม่ออกเลยสักนิด
“เป็นอะไรหรือ? ยังคิดถึงเรื่องในอดีตอยู่เช่นนั้นหรือ?”
น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบและทุ้มต่ำ ระคนเสียงแหบแห้งอย่างเกียจคร้าน ทว่าทำให้รู้สึกมึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง ราวกับว่าวินาทีที่เสียงนั้นดังขึ้น ท้องฟ้าพลันมืดลงไป
มู่หรงชูอวิ๋นหันหน้าไปมอง ท่ามกลางหุบเขาที่มีบุปผาร้อยชนิดบานสะพรั่ง มีชายหนุ่มในชุดขาวยืนเอามือไขว้หลัง รัศมีแสงเจิดจ้าสะท้อนมาจากทั่วสารทิศทำให้มองใบหน้าไม่ชัดเจน รูปร่างสูงโปร่งดุจดั่งต้นไผ่งาม เส้นผมดำขลับเล็กละเอียดดุจเส้นไหมรวบมัดไว้อย่างเป็นระเบียบ ผูกด้วยผ้าสีฟ้าดูสบายๆ แต่เขายืนรับลม เสื้อผ้าปลิวไสว เรือนร่างหล่อเหลาดั่งหยกสลัก งดงามปานเทพบุตร ยามที่เขามองมู่หรงชูอวิ๋นรอยยิ้มแผ่ซ่านความอบอุ่นอย่างเป็นธรรมชาติ เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะหลงใหลราวกับตกลงไปในภวังค์ของเหวลึก หาทางออกไม่เจอ
ดวงตาสุกใสของมู่หรงชูอวิ๋นชำเลืองมองเขาอยู่เล็กน้อยพลางส่ายหน้า ความทรงจำในอดีตทั้งหมดนางจำไม่ได้เลย ให้นึกเท่าใดก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีระลอกความทรงจำใดๆ เลยสักนิด แม้แต่ชื่อของตัวเองยังแปลกหน้าจนนางรู้สึกกลัว ทุกครั้งเวลาที่คนอื่นเรียกชื่อนาง นางมักจะรู้สึกว่านั่นเป็นชื่อของคนอื่น
“ฉินเจา เจ้าบอกว่าพวกเราเคยรู้จักกันมาก่อนจริงหรือ? เหตุใดข้าถึงจำไม่ได้เลยสักนิด”
ใบหน้าหล่อเหลาของฉินเจาพลันแข็งทื่อไปชั่วขณะ ทว่าไม่นานก็เปลี่ยนกลับมาสภาพเดิม ลูบเส้นผมของนางอย่างอ่อนโยน ทว่ามู่หรงชูอวิ๋นเอียงหลบโดยสัญชาตญาณ เห็นใบหน้าของมู่หรงชูอวิ๋นปรากฎความรู้สึกขอโทษขึ้นมากระทันหัน เขาก็ไม่ได้ติดใจอันใด อย่างไรแล้วมู่หรงชูอวิ๋นยังไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขา ไหนเลยจะยอมให้สัมผัสร่างกายได้ จึงเอ่ยว่า “รู้จักแน่นอน เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า จะไม่รู้จักได้อย่างไร” ฉินเจาเป็นลูกศิษย์ของฉินสุย เขาได้ทราบว่าคู่หมั้นของเขาเป็นผู้หญิงที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว ทั้งยังมีลูกแล้วด้วย เขาก็รู้สึกขยะแขยงต่อต้าน แทบอยากจะฆ่านางทิ้งเพื่อกู้ชื่อเสียงกลับมาไว้ให้กับภรรยาในอนาคตของเขา แต่เมื่อเขาได้มาพบหน้า ได้เห็นความงามเด่น จิตวิญญาณคล่องแคล่วปราดเปรื่อง ผิวพรรณละเอียดอ่อน การวางตัวสบายๆ ดวงตาสวยงาม พวงแก้มผลท้อประดับด้วยรอยยิ้ม พูดจาอ่อนหวานดังดอกกล้วยไม้ ช่างอ่อนโยนน่าภิรมย์เป็นที่สุด เมื่อได้มองต้องตะลึงอยู่นาน ฉะนั้นเขาจึงเปลี่ยนความคิดใหม่ รับปากตกลงกับฉินสุย ยินยอมที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่งดงามดั่งดอกกล้วยไม้ผู้นี้ ต่อให้นางจะเคยผ่านการแต่งงาน ทั้งลูกของนางก็ยังอยู่ในพระตำหนักใหญ่ก็ตามที
“แต่ว่าข้าคิดไม่ออกเลย คิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิด” มู่หรงชูอวิ๋นยังคงขมวดคิ้วอย่างทุกข์ทรมาน นางก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไป ต่อให้ทุกคนจะพากันบอกว่าฉินเจาคือคู่หมั้นของนาง แต่นางก็ยังอดสงสัยไม่ได้ แม้จะเป็นคำพูดของท่านพ่อท่านแม่ นางก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคย จะเรียกขานท่านพ่อท่านแม่ก็ยังพูดออกมาได้ยาก นางรู้สึกว่าตนเองลืมเรื่องสำคัญมากๆ ไป แม้แต่ไปสวดขอพร นางก็ยังต้องให้ผู้อื่นคอยเตือนถึงจะจำได้ว่าทำถึงขั้นไหนแล้ว ผู้อาวุโสที่ทำหน้าเคร่งขรึมคนนั้นเมื่อเห็นนางทำผิด ก็ไม่ได้กล่าวตำหนิแต่อย่างใด เพียงแต่บอกว่านางคงจะเหนื่อยแล้ว ทว่านางเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง เพียงแค่ก้าวผิดเพียงก้าวเดียว ก็ถูกลากตัวลงไปแล้ว ต่อมานางก็ไปไม่เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นอีก
นางไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงเป็นข้อยกเว้น
ฉินเจาเดิมทีคิดอยากจะกุมมืออันเยียบเย็นของนาง แต่ก็เป็นกังวลว่านางจะมีปฏิกิริยาหลบเลี่ยงเหมือนเมื่อครู่ จึงเบนสายตาออก “เมื่อถึงเวลา เจ้าก็จะนึกออกเอง อย่าใจร้อนไปเลย” เขาหวังให้นางจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ไปตลอดชีวิตยิ่งดี เขาเคยเห็นเด็กคนนั้น หน้าตาไม่เหมือนกับมู่หรงชูอวิ๋น ดูจากหน้าตาของเด็กน้อยแล้วเขารู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาไม่เลวเลย มู่หรงชูอวิ๋นจะคิดถึงเขาขึ้นมาบ้างเป็นครั้งครา ดูออกไม่ยากว่าพวกเขามีความรู้สึกที่ดีต่อกันมากเพียงใด ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงไม่ให้กำเนิกลูกน้อย วินาทีนั้นเขารู้สึกอิจฉาผู้ชายที่เขาไม่เคยพบหน้ามาก่อนขึ้นมา อิจฉาที่เขาเคยได้ตัวนาง ทั้งยังมีลูกน้อยด้วยกัน แต่เวลาที่เขาเข้าใกล้มู่หรงชูอวิ๋นนางกลับมีความรู้สึกต่อต้านอยู่มาก แม้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นจะปกปิดความรู้สึกต่อต้านได้ดี เขาก็ยังสัมผัสได้
มีอยู่ครั้งหนึ่งนางได้ยินเสียงพิณของฉินเจา ราวกับต้องมนต์ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าของเขา มองดูนิ้วทั้งสิบของเขาพริ้วไหว กระทั่งเขาดีดพิณจบลง นางก็ยังอดใจไม่ไหวขอให้เขาเปลี่ยนเพลงใหม่ ฉินเจาไม่ได้นึกสงสัยอะไร คิดว่านางชอบฟังเสียอีก เพื่อเป็นการแสดงความสามารถของตัวเองเขาจึงดีดพิณต่อไป จวบจนฉินเจาดีดพิณตั้งแต่ฟ้าสว่างถึงพลบค่ำ นิ้วทั้งสิบห้อเลือด มู่หรงชูอวิ๋นก็วิ่งโซเซออกไปไม่พูดอะไรสักคำ นางไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร นางอยากจะฟังบทเพลงที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจ ทว่านางหลงลืมไปเสียแล้ว รวมถึงใบหน้าเลือนลางของคนในชุดสีขาวที่นั่งดีดพิณอยู่ตรงหน้าของนาง กระทั่งฉินเจายิ่งดีดพิณไปนานเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกว่าฉินเจาไม่ใช่คนคนนั้น นางพลันรู้สึกหวาดหวั่นและหวาดกลัว
ฉินเจาใช้ผ้าขาวพันแผลที่นิ้วของตนเอง ทอดมองมู่หรงชูอวิ๋นที่วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง เขาถึงเข้าใจว่ามู่หรงชูอวิ๋นกำลังตามหาความทรงจำในอดีต หลังจากนั้นเขาก็ทิ้งพิณไปไม่หยิบขึ้นมาดีดโดยง่าย มู่หรงชูอวิ๋นก็ไม่ขอให้เขาดีดพิณอีก เพียงแต่เขาเงียบอยู่นาน ราวกับถูกสูบความสนใจไปจนสิ้น ความกังวลเกาะกุมอยู่ที่แววตา ตนเองในกระจกยังคงซีดขาวเหมือนเก่า หนีจากอารมณ์ความรู้สึกความปรารถนาแบบปุถุชนทั่วไปไม่ได้เสียที ถึงตอนนี้สู้ให้เขาพยายามอย่างหนักเสียดีกว่า อย่างไรเสียนางก็ลืมอดีตไปหมดแล้ว ถือเสียว่าสวรรค์ได้มอบโอกาสให้กับเขาหนึ่งครั้ง เขาจะไม่มีวันยอมแพ้อย่างแน่นอน