เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 402 เลือดในอก / ตอนที่ 403 ตะกละ
ตอนที่ 402 เลือดในอก
กุยอวิ๋นเข้าใจว่ามู่หรงชูอวิ๋นกำลังเอ่ยชมเขา จึงหัวเราะอารมณ์ดี น้ำลายไหลย้อยมาจากปาก มู่หรงชูอวิ๋นใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยเช็ดให้อย่างอ่อนโยนไม่มีความรังเกียจแม้แต่น้อย
ฉินอวิ๋นซินเข้ามาเห็นมู่หรงชูอวิ๋นที่นางเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ รอยยิ้มของนางนั้นช่างคุ้นเคยเหลือเกิน น้ำตาพลันไหลรินลงมา “อวิ๋นเอ๋อร์” ขยับขึ้นหน้าไปด้วยอาการสั่นคลอน ดึงแขนของมู่หรงชูอวิ๋น
มู่หรงชูอวิ๋นที่กำลังเล่นอยู่กับเด็กน้อยถูกดึงตกใจสะดุ้งตัวโหยง หันหน้ามาเห็นฉินอวิ๋นซินที่ร้องไห้ไม่เป็นผู้เป็นคน นางรู้สึกเพียงว่าคุ้นเคย ทว่าดูเหมือนจะไม่เคยพบหน้ามาก่อน “ท่านป้าเป็นอะไรหรือเจ้าคะ?”
ตอนที่ฉินอวิ๋นซินเข้ามา ฉินเจาเห็นอยู่แล้ว ทว่าเขาตั้งใจไม่ส่งเสียงใดๆ เพราะอยากรู้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นลืมจริงๆ หรือไม่ จึงได้แสร้งทำเป็นกำลังทำอย่างอื่นอยู่ไม่ทันได้สนใจ
น้ำตาของฉินอวิ๋นซินที่เกาะอยู่บนขอบตาพลันลืมหยดลงมา ใบหน้าซีดเซียวไร้เลือดฝาด มองมู่หรงชูอวิ๋นด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าเรียกข้าว่าอะไร?”
มู่หรงชูอวิ๋นมีแววตาไม่เข้าใจระคนความสงสัย ในใจของฉินอวิ๋นซินรู้สึกเหมือนถูกขุดเป็นหลุม เจ็บปวดที่สุด ที่แท้สิ่งนี้ก็คือความปรารถนาที่ไม่อาจได้มา เป็นความผิดของนางเอง
“ท่านป้าเจ้าค่ะ” มู่หรงชูอวิ๋นไม่รู้ว่านางเป็นใคร จึงเอ่ยเรียกออกไปด้วยมารยาท “อีกอย่างข้าไม่ได้ชื่ออวิ๋นเอ๋อร์ ข้าชื่อฉินหุ้ยซิน ท่านพ่อของข้าเป็นหัวหน้าเผ่า”
“เขากล้า…กล้าทำจริงๆ…” ฉินอวิ๋นซินพูดอะไรไม่ออก โมโหมากสีหน้าเครียดคล้ำสลับไปมา นางรู้สึกว่าตนเองช่างโง่เขลานักจึงได้ถูกหลอกเช่นนี้ แม้แต่ตัวตนของมู่หรงชูอวิ๋นพวกเขาก็ยังแต่งเรื่องขึ้นมาได้เช่นนี้
“ท่านป้า ท่านอาจจะเหนื่อยเกินไปแล้ว” ฉินเจาอธิบาย เขาสามารถมั่นใจได้แล้วว่ามู่หรงชูอวิ๋นไม่รู้เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาจริงๆ เท่านี้เขาก็พอใจแล้ว
ฉินอวิ๋นซินโมโหจ้องหน้าฉินเจา ตะคอกไปว่า “พวกเจ้าไม่ควรหลอกนาง นางรักเฟิงหลีเลี่ยถึงเพียงนั้น ต่อไปเขารู้เรื่องแล้วจะต้องเกลียดพวกเจ้ามาก” นางดูออกว่าในสายตาของฉินเจามีมู่หรงชูอวิ๋น จึงหวังให้เขาดีต่อมู่หรงชูอวิ๋น ยอมพูดความจริงทั้งหมดออกมาได้
“เฟิงหลีเลี่ย” สามคำนี้วนเวียนอยู่ในหัวของมู่หรงชูอวิ๋นไม่หยุด นางไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่มีเงาร่างอันเลือนลาง นางมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน นางยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ เขาก็จางหายเข้าไปกับหมอกควันเลื่อนลอยจางไปเสียแล้ว
“โอ๊ะ!” มู่หรงชูอวิ๋นกุมหัวใจอย่างทรมาน เรี่ยวแรงทั้งร่างกายหายไปทันที ล้มลงไปกองกับพื้น ฉินเจารีบเข้ามาพยุงนางไว้ให้นางพิงอยู่ในอ้อมอกของเขา “หุ้ยซิน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ขอบตาของมู่หรงชูอวิ๋นประกายหยาดน้ำตาชื้นแฉะไปทั้งขนตา มองไปยังฉินอวิ๋นซินเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เฟิงหลีเลี่ยคือใคร?” พูดแล้วก็จ้องมองที่ปากของฉินอวิ๋นซิน
ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบจากฉินอวิ๋นซินนางก็หมดสติไป
กุยอวิ๋นที่มีสายสัมพันธ์กับมารดา ก็แหกปากร้องไห้งอแง ครู่เดียวภายในห้องพลันโกลาหลขึ้นมา
ฉินสุยรีบเข้ามา มองฉินอวิ๋นซินด้วยสายตาไม่พอใจ “เจ้าไม่ควรทำเช่นนี้”
“นางเป็นลูกสาวของข้า เป็นเลือดในอกของข้า”
ฉินสุยมองนาง แววตาเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยาม “หากไม่ทำเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ในสกุลฉินได้อย่างนั้นหรือ” เกรงว่าคงจะถูกคนในเผ่าจับตัวไปที่แท่นวิญญาณแล้ว อย่างไรแล้วพวกเขาก็ไม่เคยมีเมตตาให้กับพวกกบฎ
“แต่ว่าพวกท่านรับปากข้าแล้ว” ฉินอวิ๋นซินเอ่ยออกไปอย่างไม่ยอม หากไม่ใช่เพราะการพูดคุยในคืนนั้น นางไม่มีทางรับปากจะพามู่หรงชูอวิ๋นมาที่นี่
“นั่นก็เป็นเพียงการพูดคุยข้างนอก” เป็นคำรับปากข้างนอก แน่นอนว่าข้างในไม่นับว่าเป็นการรับปาก ฉินสุยไม่สนใจการเรียกร้องของนางอีก พลันเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “หากยังมีเช่นนี้เป็นครั้งที่สอง เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นกุยอวิ๋นอีกเลย” พูดจบก็สะบัดชายเสื้อจากไป
ฉินอวิ๋นซินทรุดตัวลงกับพื้นอันหนาวเย็น สองกำปั้นกำไว้แน่น
ตอนที่ 403 ตะกละ
มู่หรงชูอวิ๋นลืมตาขึ้นมาเพราะความเจ็บที่หัว พบว่าท้องฟ้ามืดลงแล้ว ฉินเจานั่งหลับอยู่ที่ขอบเตียงของนาง “ฉินเจา”
ฉินเจารีบลืมตาขึ้นมา เห็นมู่หรงชูอวิ๋นฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นบ้าง “ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
มู่หรงชูอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่มี เพียงแต่รู้สึกว่านอนหลับไปนานมาก อ่อใช่ ข้าเป็นอะไรไปอย่างนั้นหรือ?” นางไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงหลับไปนานถึงเพียงนี้
ฉินเจายิ้มพลางกล่าว “เจ้าน่ะ ตะกละ กินของผิดสำแดงเข้าไป โชคดีที่พบเร็ว ไม่เช่นนั้นเกือบเอาชีวิตน้อยๆ ไปทิ้งเสียแล้ว”
มู่หรงชูอวิ๋นเกาศีรษะตัวเองอย่างเก้อเขิน ทว่านางกลับนึกไม่ออก คิดว่าตัวเองหลับจนลืมไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย
ฉินอวิ๋นซินยกถ้วยยาเข้ามาได้ยินประโยคนี้ก็โมโหอย่างมาก ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะเสแสร้งถึงเพียงนี้ รู้สึกเหยียดหยามฉินเจาเป็นอย่างมาก เห็นชัดว่าเขาชอบมู่หรงชูอวิ๋นทว่ากลับไม่ยอมบอกความจริงกับนาง
เมื่อวานนางไปพบฉินเจาด้วยตัวเอง ฉินเจามองนางพร้อมกับคำพูดที่ว่า “ข้าพลาดโอกาสเริ่มต้นไปแล้ว โอกาสเดียวที่จะคว้าไว้ได้ก็คือตอนนี้ หากว่าโอกาสตอนนี้หมดสิ้นไป เช่นนั้นข้าก็จะไม่เหลือโอกาสใดเลย”
นางรู้สึกว่าตนเองทำผิดต่อมู่หรงชูอวิ๋น หากว่าเมื่อหลายวันก่อนนางไม่ได้ปรากฎตัวล่ะก็ มู่หรงชูอวิ๋นก็คงไม่ต้องมาลืมกุยอวิ๋นเป็นครั้งที่สอง ถึงตอนนี้นางทำได้เพียงเก็บกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ข้างใน ในเมื่อฉินสุยกล้าพูดแบบนั้นได้ แน่นอนว่าเขาต้องทำได้เช่นกัน นางไม่กล้าเสี่ยง นางหวาดกลัวว่าฉินสุยจะไม่ยอมให้นางได้พบหน้าพวกเขาอีก ตอนนี้นางทำได้เพียงคอยให้เฟิงหลีเลี่ยตามมาในเร็ววัน
มู่หรงชูอวิ๋นเหลือบมองฉินอวิ๋นซิน สุดท้ายสายตาก็ตกไปที่ยาสีดำในถ้วย พลันขยับถอยหลังไปโดยสัญชาตญาณ
ฉินเจารับถ้วยยามาคนเบาอยู่สองสามครา ก่อนเป่าเบาๆ อยู่ครู่หนึ่ง “มันไม่ขม กินแล้วเจ้าก็จะหายป่วยนะ”
มู่หรงชูอวิ๋นส่ายหน้าปฏิเสธสุดชีวิต นางไม่ได้โง่ มีกลิ่นฝาดขมแผ่ซ่านออกมาเช่นนี้ ก็เดาได้แล้วว่ามันต้องขมมากเพียงใด
มู่หรงชูอวิ๋นดื่มยาหมดแล้ว ความฝาดขมกระจายไปทั่วทั้งลิ้น เม้มริมฝีปากทำหน้าขมวดย่น
ฉินอวิ๋นซินรีบหยิบลูกพลัมดองเม็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าผ้าส่งให้กับนาง มู่หรงชูอวิ๋นรับไปอมไว้ในปาก กว่าจะดับรสชาติฝาดขมไปได้ไม่ง่ายเลย ต่อมรับรสรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย
จึงมองฉินอวิ๋นซิน “ท่านป้า ยังมีลูกพลัมนี้อีกหรือไม่?” หากยังมีครั้งต่อไปที่ต้องกินยานางก็ไม่กลัวอีกแล้ว
ฉินอวิ๋นซินตื่นเต้นจนวางมือวางไม้ไม่ถูก “มี ยังมีอีกมาก หากเจ้าต้องการ ข้าจะไปนำมาให้อีก”
มู่หรงชูอวิ๋นยิ้มตาหยี ตอบไปด้วยความจริงใจ “ขอบคุณเจ้าค่ะ” ในใจรู้สึกมีความสุขที่สุด
ในเวลาต่อมา มู่หรงชูอวิ๋นก็ยุ่งจนไม่มีเวลาว่าง ทุกวันนางจะต้องไปเรียนกฎระเบียบกับท่านอาวุโส เพียงแต่ว่านางนั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะไม่ถึงครึ่งเค่อ[1] ก็ผล็อยหลับไปเสียแล้ว ไม่ว่าใครก็ฉุดไม่อยู่
ทุกวันผู้อาวุโสรองที่เป็นคนสอนนางต้องโมโหทำหน้าตาถมึงทึง เวลานั้นมู่หรงชูอวิ๋นมักจะรู้สึกโชคดีอย่างบอกไม่ถูก โชคดีที่บิดาของนางเป็นหัวหน้าเผ่า ไม่เช่นนั้นนางก็คงโดนตีฝ่ามือทุกวันไม่ต่างจากคนอื่น ทุกคนต่างเด็กกว่านาง มีเพียงนางคนเดียวที่แก่ถึงเพียงนี้ ไม่แปลกที่นางจะรู้สึกเกรงใจ
เมื่อคืนมู่หรงชูอวิ๋นโดนฉินเจาลากไปดูดาวด้วยกัน จึงเข้านอนดึก วันนี้นางจึงไม่ค่อยมีสติอยู่กับตัวสักเท่าไร เพิ่งจะเริ่มการฝึกสอน นางก็โดนท่านปู่โจวกงลากเข้ากระดานหมากไปแล้ว ลงหมากอย่างสนุกสนานเริงร่า ยังไม่ทันรู้ว่าใครแพ้ใครชนะ กำลังเดินหมากกันอยู่ก็ถูกท่านอาวุโสรองตบโต๊ะ สะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาเสียก่อนแล้ว
ท่านอาวุโสรองโมโหมากจึงไล่นางออกมา ไม่สนใจท่าทางสง่างามที่วางหมาดมาตลอดอีกต่อไปแล้ว และไม่สนใจด้วยว่านางจะเป็นธิดาเทพ หรือจะเป็นบุตรสาวของหัวหน้าเผ่า เขาไม่กล้ารับประกันว่าวินาทีถัดไปเขาจะอดใจไม่ให้ลงไม้เรียวกับมู่หรงชูอวิ๋นได้
มู่หรงชูอวิ๋นไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น รีบเก็บข้าวของของตนเองแล้วออกมา นางไม่เคยเห็นท่านอาวุโสรองโกรธจนตาแดงเทือกเช่นนี้มาก่อน
[1] เค่อ เป็นหน่วยเวลาจีนโบราณ 1 เค่อเท่ากับ 15 นาที