เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 404 พบหน้า 1 / ตอนที่ 405 พบหน้า 2
ตอนที่ 404 พบหน้า1
มู่หรงชูอวิ๋นสูดอากาศบริสุทธ์สดชื่น ยืดเหยียดเอวอย่างสบาย การนั่งอยู่บนเบาะทำให้นางเมื่อยล้าเกือบตาย
แทบอยากจะเอนกายนอนลงไปบนพื้นหญ้า ให้แสงแดดอันอบอุ่นอาบลงบนใบหน้า
ตลอดทั้งปีของที่นี่อบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ แทบจะไม่มีฤดูกาลอื่นๆ เลย
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น มู่หรงชูอวิ๋นหันหน้าไปมองเห็นว่าเป็นฉินเจา “เจ้ามาได้อย่างไร?” ปกติเวลานี้หากเขาไม่ได้ไปฝึกวรยุทธ์ ก็จะไปฝึกสอนวรยุทธ์ให้คนอื่น
ฉินเจาเดินมาอยู่ข้างกายนาง แตะปลายจมูกของมู่หรงชูอวิ๋นอย่างเอ็นดู “ไม่ใช่เพราะได้ยินมาว่ามีคนบางคนยั่วโมโหจนถูกท่านอาวุโสรองไล่ออกมา จึงได้มาดูเสียหน่อย” แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามู่หรงชูอวิ๋นไม่มาร้องไห้ละอายใจเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี จึงได้วิ่งออกมาดูอย่างใจจดใจจ่อเช่นนี้
มู่หรงชูอวิ๋นปัดมือเขาออก กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “เขาเคร่งครัดเกินไป ท่านอาวุโสท่านอื่นๆ ในเจ็ดวันยังให้หยุดพักได้หนึ่งวัน แต่เขาแม้แต่พักครึ่งวันก็ยังไม่มี ไล่ออกมาก็ยิ่งดี ที่นี่สบายมากเสียกว่าเจ้าค่ะ”
ฉินเจายิ้มอย่างเอ็นดู เขารู้ดีว่าสำหรับนิสัยของมู่หรงชูอวิ๋นการให้นางทำสิ่งเหล่านี้เป็นการผูกมัด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะนางคือธิดาเทพ ย่อมต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ หากเป็นไปได้เขายินยอมที่จะทำสิ่งเหล่านี้แทนนาง จะไม่ยอมให้มีความทุกข์ใจปรากฎบนใบหน้าของนาง
“ใครๆ ก็รู้ว่าท่านอาวุโสรองเป็นคนอ่อนโยนที่สุดแล้ว มีเพียงเจ้าที่ทำให้เขาโมโหแทบจะกระอักเลือด”
มู่หรงชูอวิ๋นเบ้ปาก ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก เพราะสิ่งที่ฉินเจาพูดไม่ผิดเลย เมื่อเปรียบเทียบกับท่านอาวุโสท่านอื่นแล้ว ท่านอาวุโสรองเป็นผู้ที่ใจดีมีเมตตามากจริงๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเหตุผลที่ฉินสุยเจาะจงเลือกเขามาช่วยสอนมู่หรงชูอวิ๋น
“มู่เหยียนเจ้าว่าพวกเราควรเข้าไปจัดการเจ้าหนุ่มนั่นตอนนี้ดีหรือไม่ โทษฐานบังอาจมาเอาเปรียบพระชายา”
ไม่ผิดหรอก คนที่พูดก็คือมู่เยี่ยน หลังจากที่พวกเขาจัดการเรื่องที่เมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว เฟิงหรงสวี่ขึ้นครองราชย์ต่อไป แต่งตั้งเฟิงเยี่ยนเฉิงขึ้นเป็นองค์รัชทายาท เฟิงหรงสวี่จัดการสะสางปัญหา ทรงแต่งตั้งน่าหลันฉิงขึ้นเป็นฮ่องเฮา ประกาศให้ยกเลิกวังหลังทั้งหมด ทั้งชีวิตขอมีนางเป็นสตรีของตนเพียงคนเดียว ทั้งช่วยรื้อคดีของน่าหลันฉิงมาตัดสินใหม่ สำหรับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ในสมัยนั้น พระองค์หาได้ละเว้นสักคนไม่ การปรากฎตัวของน่าหลันฉิงทำให้พระสนมเซียวทำตัวไม่ถูก นางไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับคนที่ทอดทิ้งเฟิงหลีเลี่ยอย่างไร เพียงแค่คิดถึึงสภาพผอมแห้งเหมือนฟืนของเฟิงหลีเลี่ยมาหมดสติอยู่ตรงหน้าของนาง นางก็รู้สึกนึกตำหนิน่าหลันฉิงอยู่ไม่น้อย ทว่าบัดนี้น่าหลันฉิงเป็นใหญ่หนึ่งเดียวของวังหลัง ส่วนนางเป็นเพียงพระสนมของฮ่องเต้ที่ถูกปลด สิ่งใดหนักสิ่งใดเบานางย่อมรู้ดี
น่าหลันฉิงเห็นเฟิงหลีเลี่ยปฏิบัติต่อพระสนมเซียวใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งกว่าตนเอง ในใจพลันรู้สึกกลัดกลุ้มเสียใจ แต่นางก็ไม่อาจแสดงอาการต่อต้านพระสนมเซียวได้ เพราะหากไม่มีพระสนมเซียว นางไม่รู้เลยว่าเฟิงหลีเลี่ยจะมีสภาพเช่นไร ตรงกันข้ามนางกลับรู้สึกซาบซึ้งใจต่อพระสนมเซียวที่ช่วยดูแลเฟิงหลีเลี่ยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เฟิงหรงสวี่รับสั่งให้มู่หรงจางช่วยอบรมสั่งสอนเฟิงเยี่ยนเฉิง เมื่อเฟิงเยี่ยนเฉิงได้เห็นหน้าเคร่งขรึมของมู่หรงจางแล้ว ก็ไม่กล้าก่อเรื่องใดๆ มู่หรงจางสั่งให้เขาทำสิ่งใดก็จะทำสิ่งใด แต่เมื่อมู่หรงจางเผลอ ก็จะเริ่มก่อเรื่องอีก เมื่อมู่หรงจางทราบเรื่องจึงได้จัดการอบรมเขาไปรอบหนึ่ง รู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ต่างไปจากเฟิงหรงสวี่ในวัยเด็กเลยแม้แต่น้อย และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเฟิงหรงสวี่จึงวางใจยกเฟิงเยี่ยนเฉิงให้มู่หรงจางดูแล
ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ พวกเขาตามหาทางเข้าหุบเขาจากแผนที่ที่ฉินอวิ๋นซินให้ไว้ตั้งแต่ก่อนจากมา กว่าจะหาปากทางเข้าสู่หุบเขาแห่งนี้ได้ไม่ง่ายเลย ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาแอบสุ่มดูเหตุการณ์อยู่ตรงนี้มาสองวัน ถึงได้พบเงาร่างของมู่หรงชูอวิ๋น ดีใจจนน้ำตาแทบทะลักออกมา พบว่าพระชายาซูบผอมลงไปมาก ใบหน้ากลัดกลุ้มเป็นทุกข์อยู่ไม่น้อย คงจะลำบากอยู่ไม่น้อยเป็นแน่ และไม่รู้ว่านายท่านของพวกเขาจะเป็นทุกข์มากเพียงใด ทว่าไม่คิดเลยจะได้มาเห็นพวกมือปลาหมึกวางอยู่บนไหล่ของพระชายาของพวกเขาเช่นนี้
มู่เยี่ยนไม่กล้าเหลือบมองเฟิงหลีเลี่ยที่แอบสุ่มอยู่ในพุ่มไม้อีกมุม ปกติพวกเขาเพียงช่วยประคองมู่หรงชูอวิ๋น ยังถูกลงโทษสั่งคุมขัง บัดนี้เจ้าหนุ่มคนนั้นกลับลูบปลายจมูกของพระชายาต่อหน้าสายตามวลชน ไร้ยางอายยิ่งนัก เพียงแต่สิ่งเดียวที่ทำให้ดีใจคือพระชายาของเขาดูเหมือนคนปกติแล้ว
ณ มุมหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น เฟิงหลีเลี่ยได้ผุดรอยยิ้มโหดร้ายขึ้นมา
ตอนที่ 405 พบหน้า2
ฉินเจาสัมผัสได้ถึงสายตาอันหนาวเย็นดั่งงูพิษพันเลื้อยรัดอยู่บนมือของเขา จึงกวาดสายตามองไปโดยรอบ ทว่าก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ
“มีอะไรหรือ?” มู่หรงชูอวิ๋นเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดจู่ๆ ก็ทำท่าทางเหมือนมีศัตรูบุกมาเยือน นอกจากเสียงนกใสไพเราะแว่วมาเป็นครั้งคราแล้ว รอบด้านก็ไม่มีอะไรอีก
ฉินเจาในชุดสีขาวผมดำสลวย ทั้งเส้นผมและเสื้อผ้าพริ้วไหวตามสายลม ไม่ผูกมัดและไม่ยุ่งเหยิง “ไม่มีอันใด”
มู่เยี่ยนได้ยินเสียงของฉินเจา พลันถอนใจโล่งอก อย่าว่าแต่ฉินเจาสัมผัสได้เลย แม้แต่เขายังสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นทางด้านหลังนี้
พวกเขาไม่ได้ห่วงหากฉินเจาพบพวกเขาแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ไม่รู้ว่าควรอธิบายกับมู่หรงชูอวิ๋นอย่างไรมากกว่า
วันแรกที่พวกเขามาถึงที่นี่ก็ได้พบกับฉินอวิ๋นซิน จึงได้ทราบสถานการณ์ของมู่หรงชูอวิ๋นแล้ว และแน่นอนก็ได้ทราบว่าพวกเขาหาคู่หมั้นให้กับมู่หรงชูอวิ๋น อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าพวกเขาไร้คุณธรรมอย่างยิ่ง เห็นชัดว่าพระชายาคือภรรยาของท่านอ๋องของพวกเขา แต่งงานถูกต้องตามขนบธรรมเนียม ทุกคนใต้หล้าต่างรับรู้ ทว่าพวกเขาก็ยังกล้าทำเช่นนี้ ทำราวกับไม่มีผู้ใดต้องการนายท่านตัวน้อยของพวกเขา นำตัวกุยอวิ๋นไปพักในสถานที่มีการคุ้มกันแน่นหนา พวกเขาจึงไม่อาจเข้าไปได้ ทำได้เพียงทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของมู่หรงชูอวิ๋นก่อน
“ฉินเจา เจ้าเป่าขลุ่ยได้หรือไม่?”
“พอจะเข้าใจจังหวะดนตรีของขลุ่ยอยู่บ้าง หากเจ้าอยากเรียนข้าก็สอนให้ได้” คำพูดของฉินเจาค่อนข้างถ่อมตัว
มู่เยี่ยนอดแขวะไม่ได้ พระชายาหากท่านต้องการเรียนก็มาหาท่านอ๋องได้ บทเพลงของท่านอ๋องมีเพียงบนสวรรค์จึงจะมีท่วงทำนองและบทเพลงเช่นนี้ ไหนเลยที่โลกมนุษย์จะเคยได้ยินบ่อยครั้ง
“ข้าไม่ได้อยากเรียน แต่ช่วงนี้ในหัวของข้าคิดถึงบทเพลงบทหนึ่ง คล้ายกับใช้ขลุ่ยเป่าบรรเลง เจ้าอยากลองฟังสักหน่อยหรือไม่?”
“ได้” เขายังไม่เคยฟังเสียงขลุ่ยที่มู่หรงชูอวิ๋นเป่าบรรเลง คิดไม่ถึงว่านางจะมีความรู้เกี่ยวกับทำนองขลุ่ยเช่นกัน ตอนนี้ระหว่างพวกเขาจะได้มีเรื่องแลกเปลี่ยนพูดคุยซึ่งกันและกันแล้ว เขาเข้าใจดีว่าผงล้างความทรงจำจะปัดความทรงจำไปกับฝุ่นไม่ให้หลงเหลือแม้เพียงนิด แต่ไม่อาจลบล้างบางอย่างที่ฝังติดมากับกระดูกได้ เรื่องของความรู้สึกเมื่อหลายวันก่อน เขาก็ไม่เป็นกังวลอีกแล้ว
มู่หรงชูอวิ๋นรับขลุ่ยที่ฉินเจาผูกติดไว้กับเอวมาโดยตลอด มือลูบไล้ทั้งชิ้น “เป็นขลุ่ยที่ดี”
นางเคลื่อนขลุ่ยมาทาบริมฝีปากอย่างเบามือ ดวงตาทั้งสองพริ้มลง ริมฝีปากเริ่มเป่าลม เสียงเพลงไพเราะบทหนึ่งกำเนิดขึ้นมาระหว่างรูขลุ่ย สิบนิ้วยังคงพริ้วไหว เพลิดเพลินอยู่ในโลกแห่งดนตรีของตนเอง
นางไม่เห็นว่าฉินเจาอยากจะเอามือขึ้นมาปิดหูของตัวเอง แต่ก็กลัวนางจะเสียใจ จึงพยายามอดทนไว้
มู่เยี่ยนชำเลืองมองไปทางเฟิงหลีเลี่ยอย่างระมัดระวัง เห็นเพียงไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่ระหว่างหัวคิ้วของเฟิงหลีเลี่ยเบ่งบาน ไม่มีความทุกข์กลัดกลุ้มดั่งหลายวันที่ผ่านมา เขาไม่รู้ว่านายท่านของเขาถูกกระตุ้นหรือบาดเจ็บมากเกินไปหรือไม่
ผ่านไปนานในที่สุดมู่หรงชูอวิ๋นก็วางขลุ่ยลง จ้องมองฉินเจาพลางเอ่ยถาม “ไพเราะหรือไม่?”
ดวงตาคู่นี้สว่างใสเป็นที่สุด เปล่งประกายมีพลังราวกับปลายแหลมของแสงสว่างปักค้างอยู่บนทุกสิ่ง
ฉินเจาอดใจไม่ได้จ้องมองที่ดวงตาคู่นั้น เอ่ยถามอย่างอึดอัดใจ “หุ้ยซิน เพลงบทนี้เจ้าเป่าเป็นครั้งแรกเช่นนั้นหรือ?”
มู่หรงชูอวิ๋นส่ายหน้า “หาใช่ไม่ เคยเป่าต่อหน้าท่านอาวุโสรองไปแล้วครั้งหนึ่ง ข้ายังไม่ทันเล่นจบท่านก็ไม่พูดอะไรนอกจากเอ่ยชมว่าข้าเป่าได้ดี ทำเอาข้าเขินอายเป็นที่สุด”
“เพราะ ไพเราะจริงๆ”
“เช่นนั้นเจ้าอยากเป่าบรรเลงร่วมกับข้าสักรอบหรือไม่”
“ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีงานหนึ่งที่รับปากจะช่วยท่านอาจารย์ไว้แต่ยังทำไม่เรียบร้อย ต้องขอตัวก่อนแล้ว” ใต้ฝีเท้าราวกับมีลมเหาะ ไม่ต้องการขลุ่ยคืนแล้ว เพียงครู่เดียวก็หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา
มู่หรงชูอวิ๋นหมดความสนใจกับขลุ่ยในมือ “น่าเบื่อ” ความจริงนางรู้ว่าฉินเจาไม่อยากพูดทำร้ายจิตใจนางก็เท่านั้น แต่ก็กลัวที่จะพูดโกหกหลอกลวงนาง จึงได้เลือกจากไปเช่นนี้
ครั้งนั้นหลังจากที่ท่านอาวุโสรองพูดประโยคนั้นก็ระเบิดอารมณ์ออกมาแล้ว พร้อมกับสีหน้ารังเกียจ ทั้งยังเตือนนางอีกว่าคราวหน้าอย่าได้หยิบขลุ่ยมาให้เขาได้เห็นอีก เพราะนั่นเป็นเหมือนกับฝันร้ายสำหรับเขา ท่านอาวุโสรองสาบานเลยว่าไม่เคยได้ยินเสียงขลุ่ยที่บาดแก้วหูเช่นนั้นมาก่อนเลยทั้งชีวิตนี้