เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 410 ข้ายอมทรยศคนทั้งโลก แต่จะไม่ยอมทรยศชูอวิ๋น / ตอนที่ 411 ข้าไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสา
- Home
- เพียงหนึ่งใจ
- ตอนที่ 410 ข้ายอมทรยศคนทั้งโลก แต่จะไม่ยอมทรยศชูอวิ๋น / ตอนที่ 411 ข้าไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสา
ตอนที่ 410 ข้ายอมทรยศคนทั้งโลก แต่จะไม่ยอมทรยศชูอวิ๋น
“ท่านอาจารย์หนอนกู่คะนึงหาถอนได้หรือไม่ขอรับ? ฉินเจามองชายวัยกลางคนตรงหน้า เอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ
ฉินสุยปักธูปอย่างนอบน้อม หันหน้ากลับมามองชายหนุ่มที่ตนเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ ผู้ที่สงบจิตสงบใจ ไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น ไม่รู้ว่าใบหน้าหล่อเหลาปรากฎความกังวลขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด
“ไร้ซึ่งยาถอน เว้นเสียแต่ผู้ลงเวทย์ได้ตายจากไป” เห็นว่าเขายังคงไม่สบายใจ “มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ?”
“ท่านอาจารย์ข้าไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ จึงรู้สึกหวั่นกลัวขึ้นมา ข้าเป็นกังวลว่าหุ้ยซินจะจำได้ เมื่อวานนางยังถามว่าเมื่อก่อนท่านอาจารย์ของข้าเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ไม่ใช่หรือ แล้วยังมีพี่รองนั่นอีกคน” เมื่อวานหลังจากได้ยินคำถามนี้แล้ว จิตใจของเขาก็ว้าวุ่น นอนไม่หลับอยู่นาน ทำได้เพียงหลับตาลง ในหัววนเวียนแต่เรื่องคำถามของนางในวันนั้น เสียงใสชัดของนางยังก้องอยู้ข้างหู
ฉินสุย “อย่าเป็นกังวลไป นั่นเป็นเพียงบางช่วงบางตอนเท่านั้น เป็นไปได้ไม่เท่าใดหรอก ตอนที่มู่หรงชูอวิ๋นยังเด็กคนตระกูลมู่หรงเลี้ยงดูนางจนเติบใหญ่ แน่นอนว่าในใจจะต้องมีความทรงจำอยู่บ้าง” เขาสามารถล้างความทรงจำของนางได้ครั้งหนึ่ง ย่อมต้องมีครั้งที่สอง
“ขอรับท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว”
มู่หรงชูอวิ๋นอยู่ในความฝัน รู้สึกเหมือนที่ใบหน้าของตนเองมีอะไรเกาะอยู่ เอามือปัดไม่ออกเสียที คล้ายกับมีอะไรบางอย่างจ้องเขม็งอยู่ เร่าร้อนจนทำให้นางรู้สึกอึดอัด เอามือป้องปัดอย่างงัวเงีย สิ่งที่มือคว้าได้ทำให้นางตกใจหวาดกลัวลืมตาขึ้นมอง พลันต้องตกตะลึงไปในทันที นอนอยู่ตรงหน้าของเขาด้วยอาการสั่นเทา ทนรับกับสายตาแหลมคมของเขาไว้ไม่ไหว จึงขยับถอยหลังไปหลายส่วน ขณะที่กำลังจะอ้าปาก ทว่ายังไม่ทันเปล่งเสียงร้องออกมา ก็ถูกฝ่ามือที่มีไอร้อนปิดกลั้นไว้เสียก่อน
“อย่ากลัวเลย อวิ๋นเอ๋อร์” น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำไร้ระลอกคลื่น สายตาเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งทำให้รู้สึกไร้สึกอุณหภูมิความอบอุ่นอื่นใด น้ำเสียงนั้นเยียบเย็นแต่อ่อนโยน แฝงไปด้วยความแหบพร่าอย่างเกียจคร้าน ได้ยินแล้วจักเกิดความงุนงงได้ในชั่วพริบตา ลุ่มหลงได้อย่างไม่รู้ตัว มู่หรงชูอวิ๋นไม่ได้รู้สึกถึงความหวาดกลัวแต่อย่างใด เสียงนี้คล้ายกับดังก้องอยู่ข้างหูของนางมาโดยตลอด นางจำได้ว่าเสียงของเฟิงหลีเลี่ยก็คือโจรตัณหากลับที่นางแอบก่นด่าอยู่หลายวันคนนั้น
มู่หรงชูอวิ๋นอาศัยแสงจันทราริบหรี่ ทอดมองใบหน้าของเฟิงหลีเลี่ยอย่างระมัดระวัง ใบหน้าคมชัดหล่อเหลาไม่ธรรมดา เพียงแค่เหลือบมอง หัวใจของนางก็เต้นรัวแทบจะทะลักออกมาเสียแล้ว
มู่หรงชูอวิ๋นกระพริบขนตาเบาๆ เพราะนอนอยู่ผมเผ้าจึงดูยุ่งเหยิง ทว่ากลับดูอ่อนโยนเป็นพิเศษ งดงามจนทำให้ดวงตาอันลึกล้ำของเฟิงหลีเลี่ยหม่นลงหลายส่วน “เจ้าเป็นใครกันแน่?” นางกลับไปคิดอยู่นานก็ยังไม่เข้าใจว่าเจ้าของบทเพลงหมายความว่าอย่างไรกันแน่ แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าเขาจะแอบเข้าห้องมาในยามวิกาลเช่นนี้ โชคดีที่นางชินกับการนอนคนเดียว ไม่เช่นนั้นชื่อเสียงคงจะป่นปี้ไม่เหลือที่ดีเลย
เฟิงหลีเลี่ยหยักมุมปากโค้งขึ้นเบาๆ ริมฝีปากเคลื่อนขยับ “คนที่ชอบเจ้า” ชีวิตนี้เขาชอบนางเพียงคนเดียว แน่นอนว่านางก็คือคนที่เขาชอบ ไม่มีสิ่งใดจะสนิทใกล้ชิดไปได้มากกว่าสิ่งนี้แล้ว
มู่หรงชูอวิ๋นตกตะลึง ได้สติกลับมาอีกที ใบหน้าก็แดงกร่ำ เงียบอยู่นานจึงพูดมาประโยคหนึ่ง “เจ้าโจรตัณหากลับ” แล้วเบี่ยงหน้าหนีไม่อยากมองหน้าของเขาอีก
เห็นว่ามู่หรงชูอวิ๋นไม่เชื่อ จึงรีบอธิบาย “ข้าพูดเรื่องจริง ไม่เคยโกหกผู้ใด” เขาเองก็ไม่กล้าทำ อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็คือมู่หนงชูอวิ๋น เขายอมโกหกคนทั้งใต้หล้า แต่จะไม่ยอมโกหกมู่หรงชูอวิ๋น
มู่หรงชูอวิ๋นหันหน้ากลับมา จดจ้องนัยน์ตาของเฟิงหลีเลี่ย “เจ้าพูดเช่นนี้กับผู้หญิงทุกคนใช่หรือไม่” เพียงแค่คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่คนอื่นๆ จะเคยได้ยินเสียงในคอทุ้มต่ำของเขาพูดถ้อยคำเช่นนี้ออกมา ในใจของนางพลันรู้สึกเหมือนกับตกเหว นางไม่เพียงเคยฟังคนอื่นเล่าเรื่องโจรตัณหากลับ แต่ยังเคยฟังเรื่องคุณชายผู้ร่ำรวยหลอกเกี้ยวสาวน้อยอีกด้วย
ตอนที่ 411 ข้าไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสา
เฟิงหลีเลี่ยมองริมฝีปากแดงงดงามมีเสน่ห์ของมู่หรงชูอวิ๋นที่นูนขึ้นมาด้วยความโมโห พลันนึกถึงเรื่องราวในอดีตครั้งที่เขาหลอกล่อให้นางดื่มยาบำรุง น้ำตาของความไม่พอใจเอ่อคลอออกมา ทำให้รู้สึกสงสารแทบอยากจะประคองนางไว้ในอุ้งมือปลอบโยนอย่างทะนุถนอม ในใจของเขาพลันกลัดกลุ้ม เคาะอย่างหนักหน่วงทุกวินาที เห็นแล้วแทบอยากจะประกบริมฝีปากลงไป บดเบียดอย่างแรง ใช้การกระทำบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้นางได้รู้ บอกว่าเขาเป็นใคร ทว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เขายังคงต้องอดทน เพราะเขายังตรวจสอบไม่ได้ว่าคนพวกนั้นซ่อนกุยอวิ๋นไว้ที่ใด เขาทำได้เพียงอดทนเข้าไว้ รอให้ทุกอย่างเปิดเผยออกมาก่อน เขาไม่มีทางจะปล่อยคนพวกนั้นเอาไว้แน่ จะทำให้พวกเขาได้รู้ว่าเขาไม่ได้อ่อนเหมือนนุ่นที่จะยอมให้พวกเขาบีบเล่นได้ตามอำเภอใจ
ฉินสุยเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องเฉกเช่นวันนั้น เขารู้ดีว่าภรรยาของตนใจอ่อนเพียงใด จึงได้สั่งให้นำตัวกุยอวิ๋นไปซ่อนไว้ แม้แต่ฉินอวิ๋นซินก็ยังไม่ได้เจอหน้ากุยอวิ๋นมานานแล้ว
มู่หรงชูอวิ๋นเห็นเฟิงหลีเลี่ยมีท่าทีเปลี่ยนเป็นเย็นชา คล้ายกับจะฉีกร่างคนก็เป็นได้ จึงหดคอลงไปอย่างหวั่นกลัว “ข้าเพียงแต่มองเจ้าออกก็เท่านั้น อย่าได้อับอายจนโมโหเสียเลย” ลอบชำเลืองว่าอีกประเดี๋ยวตนเองจะวิ่งไปทางใดเร็วกว่า จะได้ไม่ถูกจับตัวได้ ทว่านางพบว่าเฟิงหลีเลี่ยได้นั่งอยู่ข้างเตียง อย่าว่าแต่วิ่งหนีเลย แม้แต่ขยับตัวสักนิดก็ยังเป็นปัญหา
เฟิงหลีเลี่ยได้เห็นมู่หรงชูอวิ๋นพูดจาอ่อนลงไปหลายส่วน จึงรู้ว่าตนทำให้นางตกใจเสียแล้ว อย่างไรเสียในเมืองหลวงก็มีเรื่องเล่าลือ เสียงของเขาสามารถทำให้เด็กน้อยร้องไห้โยเยได้ครึ่งค่อนคืน “อย่ากลัวเลย อีกอย่างคำพูดเหล่านี้ข้าเคยพูดกับคนคนเดียวเท่านั้น ไม่เคยพูดกับคนอื่นใดมาก่อน” เป็นเจ้าคนเดียวตลอดมา แต่ว่าเจ้ากลับไม่รู้เลย
มู่หรงชูอวิ๋นพลันนึกขึ้นได้ว่าคำพูดเมื่อครู่ของเฟิงหลีเลี่ยคล้ายกับจะพูดกับนาง เช่นนั้นคนคนเดียวที่ได้ฟังก็คือนางนั่นเอง
“ข้าไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสา อย่ามาหลอกข้าเสียให้ยากเลย”
เฟิงหลีเลี่ยเม้มริมฝีปากเป็นองศางดงาม “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่สาวน้อย” เจ้าไฉนจะยังเป็นสาวน้อย เจ้าเป็นภรรยาแต่งตามกฎหมายของเฟิงหลีเลี่ย เป็นมารดาของกุยอวิ๋น ไหนเลยจะยังเป็นสาวน้อยอะไรอีก ทว่าในใจของข้า เจ้ายังคงเป็นแม่สาวน้อยตลอดไป เป็นสาวน้อยของข้าเพียงคนเดียว ทว่าคำพูดจริงใจเหล่านี้ทำได้เพียงเก็บสั่งสมไว้ในใจของเขาก่อนเท่านั้น รอให้ถึงวันที่มู่หรงชูอวิ๋นกลับมาค่อยบอกสิ่งนี้กับนาง
มู่หรงชูอวิ๋นโกรธจนหน้าแดงกร่ำ เอ่ยออกไปด้วยความโมโห “เหตุใดเจ้าจึงเป็นคนเช่นนี้”
นางมั่นใจได้ว่าไม่เคยเห็นใครพูดไม่เป็นถึงเพียงนี้ แต่ละประโยคที่พูดออกมาทำให้นางจุกแทบตาย เมื่อก่อนนางยังรู้สึกว่าฉินเจาไม่รู้เรื่อง ใครจะคิดว่าเขาจะไม่รู้เรื่องมากเสียกว่า
มู่หรงชูอวิ๋นไม่คิดว่าคิดไปคิดมาตัวเองจะเผลอพูดความคิดในใจออกมา
เฟิงหลีเลี่ยมองจ้องดวงตาใสไร้ระลอกคลื่นของนาง เอ่ยเสียงจริงจัง “เขาเป็นเพียงคนโกหก”
มู่หรงชูอวิ๋นเห็นว่าเขาโกรธจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาไปมีความแค้นอันใดกับฉินเจา จึงรีบเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าชื่ออันใด? รู้จักกันมานานแล้วแต่ยังไม่รู้จักกันเลย” นางรู้ว่าตนเองไม่มีทางได้คำตอบแน่ สู้ใช้กลวิธีถามชื่อของเขาดีกว่า จากนั้นค่อยให้บิดาของนางไปตามหา
เฟิงหลีเลี่ยขยับมุมปากเล็กน้อย “พี่ชายใหญ่” เป็นพี่ชายใหญ่ของเจ้าคนเดียว พูดจบก็หายตัวไปในทันที มู่หรงชูอวิ๋นโกรธมากจนเอากำปั้นทุบผ้าห่ม นางต่างหากที่เป็นพี่สาวใหญ่ ช่างกวนโมโหเสียจริง นางคิดว่าจะมีแต่น้ำแข็งหิมะเสียอีกที่หนาและแข็ง ใครจะรู้ว่าหน้าของเขาหนายิ่งกว่ากำแพงเสียอีก
“เทพธิดา ท่านเป็นอะไรไหมเจ้าคะ?” สาวใช้ที่คอยดูแลมู่หรงชูอวิ๋นได้ยินเสียงจากด้านในห้อง จึงจุดตะเกียงพลางรีบร้อนเข้ามาอย่างงุนงง
มู่หรงชูอวิ๋นขยับปากจะพูด สุดท้ายก็โบกมือ “ไม่มีอันใด แค่ความฝันก็เท่านั้น เจ้าออกไปเถอะ” พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ นางช่วยอะไรตนไม่ได้หรอก ไม่แน่อาจเข้าใจผิดคิดว่าตนเล่นชู้ในห้องนอนเสียอีก