เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 412 แท่นบูชา / ตอนที่ 413 ฉินอวิ๋นลั่ว
ตอนที่ 412 แท่นบูชา
เฟิงหลีเลี่ยดวงตาลึกล้ำจ้องมองห้องที่มีแสงเทียนสว่างรำไร นัยน์ตาฉายแววความรักใคร่ที่เมื่อครู่ไม่ทันได้แสดงออกมา ช่วงเวลานี้ เขาแอบเข้าห้องนอนของนางไปยามดึกทุกคืน ไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากนั่งมองนางอยู่เงียบๆ สัมผัสถึงไออุ่นจากมือของนาง ทำให้ตัวเองรู้ว่าทุกอย่างเป็นความจริง นางนั้นอยู่ข้างกายของตนจริงๆ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เมื่อคืนตอนที่มู่หรงชูอวิ๋นขมวดคิ้วย่น เขาพลันรู้สึกว่าไม่อยากกดจุดให้นางนอนหลับเหมือนคืนก่อนๆ อีกแล้ว จึงได้เฝ้าอยู่ข้างกายนาง รอกระทั่งนางรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไร เมื่อก่อนชอบจะทะนุถนอมนางเอาไว้ในอุ้งมือ แต่คืนนี้กลับกวนอารมณ์ให้นางโมโหจนแทบจะร้องไห้และนี่ก็เป็นครั้งแรกด้วย เขารู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษคล้ายกับเป็นครั้งแรกที่ได้แกล้งนาง ได้เห็นนางน้ำตาไหลพร่ามัว ไม่ยอมเอ่ยปลอบในทันทีแต่กลับกลั่นแกล้งนางต่อไปอีก
เงาร่างหนึ่งปรากฎขึ้นข้างหลังของเฟิงหลีเลี่ย “นายท่านขอรับ”
เฟิงหลีเลี่ยไม่ได้เก็บสายตากลับมา นัยน์ตายังคงมองอยู่ที่ห้องๆ นั้น ไม่คล้อยสายตาไปทางอื่นใด “เป็นอย่างไรบ้าง?” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยรังสีเย็นเยียบ
“ข้าน้อยพบตำหนักแห่งหนึ่งด้านหลังหุบเขา ที่นั่นมีการคุ้มกันแน่นหนา ข้าน้อยไม่สามารถเข้าไปได้ขอรับ” มู่เยี่ยนกล่าวรายงานอย่างรู้สึกผิด เขาคิดไม่ออกว่าข้างในมีอะไรกันแน่ มีการอารักษ์ขาแม้กระทั่งคนของตระกูลฉิน อย่างไรแล้วหากไม่ใช่เพราะมีแผนที่ของฉินอวิ๋นซิน พวกเขาคงไม่มีทางค้นพบหุบเขาเงียบสงบแห่งนั้นได้
เฟิงหลีเลี่ยไม่ได้พูดสิ่งใด มู่เยี่ยนอยู่ทางด้านหลังจึงไม่เห็นว่าเขามีสีหน้าเช่นไร
“แต่ว่าข้าน้อยเห็นว่าทุกสองสามวันจะมีการส่งของเล่นหลากชนิดและเสื้อผ้าเข้าไปข้างในขอรับ ฮูหยินมู่หรงบอกว่าที่นั่นคือแท่นบูชาของพวกเขา หรูเสวี่ยได้แอบเข้าไปที่นั่นแล้วขอรับ”
ช่วงเวลาที่เฟิงหลีเลี่ยอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เอ่ยยอมรับว่าฉินอวิ๋นซินคือแม่ยายของตนเอง แต่ว่านางเป็นหัวใจของมู่หรงไป๋ เขาจึงทำได้เพียงเรียกนางว่าฮูหยินมู่หรง เขารู้ว่าเฟิงหลีเลี่ยเก็บสิทธิในการตัดสินใจไว้ให้มู่หรงชูอวิ๋น หากมู่หรงชูอวิ๋นไม่ยอมรับนาง เฟิงหลีเลี่ยก็จะไม่เหลือบมองแม้สักตาเดียว เขารู้สึกว่าฉินอวิ๋นซินช่างน่าสงสารเหลือเกิน หลายวันที่ผ่านมานี้เขาได้เห็นชัดแล้วว่าคนตระกูลฉินมีท่าทีกับนางอย่างไร ทำราวกับจะมีหรือไม่มีนางก็ได้ แม้แต่คู่หมั้นเพียงในนามของมู่หรงชูอวิ๋นก็ยังไม่เห็นจะแสดงความเคารพต่อนาง ในฐานะที่มู่หรงชูอวิ๋นเป็นบุตรสาวของนางเลยแม้แต่น้อย ไหนเลยจะเหมือนกับนายท่านของเขา ยังไม่ทันได้แต่งกลับจวน ก็ทำให้ทุกคนต่างยอมรับเสียหมดแล้ว ขนาดคนที่รับมือยากที่สุดในตระกูลมู่หรงอย่างฮูหยินผู้เฒ่า ก็ยังให้ความรักและความเมตตาต่อเฟิงหลีเลี่ยอย่างมาก ในตอนที่อยู่เมืองหลวง เขาเห็นชัดเจนว่าในแววตาของมู่หรงมู่มีความรู้สึกอิจฉามากขนาดไหน
เยียนหรูเสวี่ยมีวิชาแปลงกายไร้ที่ติ ทักษะยอดเยี่ยมเหนือมนุษย์ธรรมดา ต่อให้พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมาอยู่ตรงหน้าก็ยังจำนางไม่ได้
บางครั้งแม้แต่พวกเขาที่รู้จักกันมานานก็ยังถูกหลอกได้ ความโชคดีอย่างเดียวของเขาก็คือนิสัยของเยียนหรูเสวี่ยเย็นชามาก ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงต้องแย่เป็นแน่
ตอนนี้ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร คงทำได้เพียงหวังพึ่งเยียนหรูเสวีย ภาวนาให้นางหาที่ซ่อนตัวกุยอวิ๋นให้ได้โดยเร็ว เขาจะได้กลับไปเจอหน้า ‘ลูกชายที่รัก’ ของเขา ลูกชายที่รักคนนี้เขาหน้าด้านใช้กลวิธีเกลี้ยกล่อมมู่เหยียนอยู่นานกว่าจะได้มา
“ให้มู่เหยียนคอยช่วยนางอยู่ด้านนอก หากมีอะไรผิดปกติให้รีบถอยออกมา”
แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นเพียงที่พักอาศัยของคนตระกูลฉิน ทว่ามีค่ายกลวางอยู่ทั่วทั้งหุบเขา แม้แต่เปลือกต้นไม้ก็ยังมีอยู่ไม่น้อย ผู้มีความสามารถมีมากมาย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนพวกนั้นเจอตัว พวกเขาจึงนำคนแอบเข้ามาเพียงน้อยนิด เนื่องจากการเคลื่อนย้ายไม่สะดวก จึงรั้งทัพไว้เพื่อรอจังหวะบุก แม้ว่าเยียนหรูเสวี่ยจะมีวิชาแปลงกายขั้นสูงแต่วรยุทธ์ไม่ค่อยดีเท่าไร ดังนั้นทุกครั้งที่นางต้องออกไปทำภารกิจ จำเป็นต้องมีคนคอยช่วยรับมือเสมอ
“ขอรับ” พูดจบก็ถอยออกไปทันที
เฟิงหลีเลี่ยทอดมองสุดสายตาอีกครั้ง กระทั่งไม่รู้ว่าห้องนั้นดับไฟไปตั้งแต่เมื่อใดแล้ว
กระโดดเหาะเหินไปตามสายลม ครั้นที่จากไปทิ้งไว้เพียงใบไม้ใบเดียวที่ร่วงหล่นอย่างโดดเดี่ยวลงสู่พื้นดิน
ตอนที่ 413 ฉินอวิ๋นลั่ว
ฉินสุยเคราขาวทั่วทั้งใบหน้า ทว่าเอ่ยถามกับหมอกู่ผู้พิถีพิถัน “เป็นอย่างไรบ้าง?” หน้าผากมีเหงื่อผุดขึ้นเป็นสาย
หมอกู่ลูบหนวดยาวพลางส่ายหน้า “ไม่อาจหาสาเหตุได้”
ฉินสุยร้อนใจแทบอยากจะตวาดด่ากราด ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไม่รู้ว่ากุยอวิ๋นเป็นอะไร ได้แต่ร้องไห้เป็นทุกข์ทรมาน กระทั่งถึงตอนเช้าก็มีอาการบวมแดงทั้งตัว จนแยกโฉมหน้าของเขาแทบไม่ออก
ฮูหยินฉินได้มาเห็น น้ำตารั่งรินเป็นสายไม่หยุด นางเลี้ยงดูกุยอวิ๋นมาช่วงเวลาหนึ่ง แน่นอนว่าต้องมีความรักความผูกพัน บัดนี้ได้มาเห็นเขามีสภาพเป็นเช่นนี้ แทบอยากจะนำตัวคนดูแลที่ละเลยหน้าที่มาลงโทษเสียให้หลาบจำ
“ยังมีหนทางใดบ้าง?” หมอกู่เป็นหมอที่เก่งกาจที่สุดในหุบเขา หากเขาหมดหนทางรักษา ฉินสุยก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรแล้ว นั่นเป็นความหวังเดียวของเขา เขาไม่อยากสูญเสียกุยอวิ๋นไป เพราะกุยอวิ๋นคือความหวังที่บรรพบุรุษประทานให้กับเขา เพื่อให้เขาได้ฟื้นฟูตระกูลฉินขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หลายปีมานี้ชาวตระกูลฉินอาศัยอยู่ในหุบเขาตลอดทั้งปี จึงค่อยๆ คุ้นชินกับวันเวลาที่สงบสุขเช่นนี้ เขาเคยเกริ่นว่าจะทำให้ตระกูลฉินกลับมาผงาดความยิ่งใหญ่ในยุทธจักรอีกครั้ง แต่พวกเขาไม่มีแรงผลักดันเหล่านั้นแล้ว ไม่มีแรงกระตุ้นอีกแล้ว กระทั่งมีหลายคนที่ละทิ้งสิ่งที่บรรพบุรุษเหลือไว้ให้ แต่ละวันจะใช้ชีิวิตเป็นหนุ่มทำนาสาวทอผ้า การมาเยือนของกุยอวิ๋นทำให้พวกเขารู้ว่าพวกเขายังมีความหวัง หากว่ากุยอวิ๋นจากไป เขาไม่กล้าคิดเลยว่าจะสถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร
หนวดเคราขาวบนใบหน้าทำให้หมอกู่มีรูปลักษณ์ที่น่าเคารพยิ่งขึ้น เขาลูบหนวดขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน “มี”
ฉินสุยคล้ายกับมีความหวังขึ้นมา
“แต่ได้ตกหน้าผาไปพร้อมกับอวิ๋นลั่วสมัยนั้นไปเสียแล้ว”
เมื่อครู่ฉินสุยมีความปรีดามากเพียงไร ตอนนี้ก็สิ้นหวังมากเท่านั้น โซเซถอยหลังไปหลายก้าว “คำสาปของนางศักดิ์สิทธิ์จริงแท้”
หมอกู่ไม่ได้พูดอะไร ฉินอวิ๋นลั่วคือน้องสาวของเขา และเป็นน้องคนเดียวที่เขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับฉินอวิ๋นลั่วมากเสียกว่าพ่อแม่ของเขาอีก ดังนั้นเขาจึงเกลียดชังฝังใจต่อการตายของฉินอวิ๋นลั่ว เก็บซ่อนตัวอยู่ในป่ามาโดยตลอด ไม่ยอมออกมาให้ผู้คนได้พบหน้าโดยง่าย หากไม่ใช่เพราะได้ยินเรื่องของกุยอวิ๋นลูกชายของลูกสาวฉินอวิ๋นซิน เขาไม่มีทางยอมออกจากป่ามาแน่นอน เขารู้ว่าฉินอวิ๋นลั่วรักและเอ็นดูฉินอวิ๋นซินผู้เป็นน้องสาวคนนี้มากเพียงใด ตอนนั้นที่ฉินอวิ๋นลั่วถูกลงโทษ เขาก็เป็นคนที่ส่งข่าวให้ฉินอวิ๋นซินทราบ
สมัยนั้นฉินอวิ๋นซินเกิดมาไม่ได้เป็นธิดาเทพ กระทั่งธิดาเทพคนก่อนหนีไปแล้ว นางจึงถูกบังคับให้ดำรงตำแหน่งธิดาเทพอย่างไร้ทางเลือก เพื่อให้นางได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขอีกสักสองสามปี จึงใช้ฐานะของหมอกู่ประจำหุบเขามาปรามเหล่าผู้อาวุโสไว้ แต่ใครจะรู้ว่าการทำเช่นนี้เป็นการทำร้ายนาง มีอยู่วันหนึ่งระหว่างทางที่ฉินอวิ๋นลั่วไปเก็บสมุนไพรกลับมา ได้ช่วยชีวิตชายหนุ่มที่บาดเจ็บสาหัสคนหนึ่งไว้ เพราะรู้กฎของหุบเขาดีว่าไม่อาจพาคนนอกเข้ามาในหุบเขาได้ และมีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่จะออกไปจากหุบเขาได้
ฉินอวิ๋นลั่วผู้ที่จิตใจดีมีเมตตาทำใจไม่ได้ที่จะปล่อยให้เขาลาจากโลกไปเสียตั้งแต่วัยหนุ่มเช่นนี้ จึงได้พาเขาไปซ่อนตัวไว้ที่ถ้ำแห่งหนึ่งของหน้าผา และจะไปช่วยรักษาบาดแผลให้เขาทุกวัน วันเวลาผ่านไปคนทั้งสองก็เกิดความรักซึ่งกันและกันอย่างไม่มีใครรู้
เพื่อต้องการได้ใช้ชีวิตอยู่กับชายคนนั้น คนทั้งสองจึงคิดจะหนีตามกันไป สุดท้ายยังไม่ทันได้ออกจากหุบเขาก็ถูกจับได้เสียก่อน และเพื่อปกป้องชายคนนั้น ฉินอวิ๋นลั่วจึงยอมกลับมาที่เผ่า หลังจากชายคนนั้นหนีออกไปได้แล้ว ก็ยังไม่ยอมจำนน ลอบกลับเข้ามาในหุบเขาวันถัดมา โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันคือกับดัก ที่วางเอาไว้ให้เขามาติดกับดักเอง สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็ตายด้วยบุปผาหงส์ไฟ ถูกบุปผาหงส์ไฟเบ่งบานสีแดงจัดจ้านขึ้นบนกายอย่างเปล่งปลั่งสดใส ฉินอวิ๋นซินทั้งโกรธและเสียใจที่คนรักต้องมาลาจากไป จึงตัดสินใจกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย ก่อนตายนางได้สาปแช่งตระกูลฉิน ขออย่าได้มีเด็กสาวที่เกิดมาพร้อมปานบุปผาหงส์ไฟอีกเลย
ชาวบ้านตระกูลฉินที่อยู่อย่างสุขสงบมาแสนนานต่างหวาดกลัวว่าคำสาปนั้นจะเป็นจริง เพราะคำสาปของธิดาเทพนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าฟ้าร้องฟ้าผ่าเสียอีก จึงได้ออกตามหาเด็กสาวที่มีปานบุปผาหงส์ไฟบนกายไปทั่วสารทิศ