เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 420 งานแต่ง 6 / ตอนที่ 421 งานแต่ง 7
ตอนที่ 420 งานแต่ง 6
มู่หรงชูอวิ๋นมองผลไม้สีทองสุกอร่ามเต็มต้นตรงหน้า พลันรู้สึกใจโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก เอามือขึ้นมากุมหน้าอกตัวเอง เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากราวกับข้าศึกบุกมาเยือน
ฉินเจาหันหน้ามาเห็นสีหน้าของนางเป็นเช่นนี้ รอยยิ้มกว้างหุบลงไปในทันที รีบประคองมู่หรงชูอวิ๋นมานั่งที่เก้าอี้ “หุ้ยซิน ไม่สบายตรงไหนหรือ?” คิดว่านางบาดเจ็บตรงไหน เพราะนางได้แต่เก็บตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกมาข้างนอกหลายวันแล้ว
มู่หรงชูอวิ๋นกุมหน้าอกพลางส่ายหน้า กัดฟันเอ่ยเสียงแผ่ว “เจ็บ…เจ็บมาก…” เหมือนกับมีอะไรหลุดลอกออกมาจากร่างกายของนาง แต่นางไม่อาจหยุดยั้ง ไม่อาจทำอันใดได้
“เจ็บตรงไหนหรือ?” เหลือบไปเห็นข้อมือของนาง ด้ายแดงเส้นนั้นยังซ่อนอยู่บนผิวขาวกระจ่างอย่างสงบ
ดวงตาสุกใสดังอัญมณีใต้น้ำคู่นั้นประกายความเศร้าหมอง “มีคนขโมยของบางอย่างในร่างกายของข้าไป” น้ำตาแวววาวดั่งคริสตัลไหลอาบสองแก้ม ร่วงลงบนยอดหญ้า ดุงดั่งน้ำค้างต้องแดดยามเช้า
ราวกับเด็กน้อยที่ถูกคนขโมยของสำคัญที่สุดไป
ใบหน้าคมชัดปานแกะสลัก หล่อเหลาเหนือธรรมดา แสดงออกถึงความลนลานไม่รู้ควรทำอย่างไรดี ฉินเจานายน้อยของชนเผ่า ผู้ยโสโอหังยืนอยู่เหนือผู้คน ก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่ติดกับแห่งความรัก เป็นห่วงคนรักคนหนึ่งก็เท่านั้น
มู่หรงชูอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมาประจันสายตากับฉินเจา ฉินเจาไม่เคยมองเห็นดวงตาคู่นี้ที่ทั้งงดงามและสุกใส ทว่ายิ่งดูห่างไกลของนางได้อย่างชัดเจนเท่ากับวินาทีนี้มาก่อน “ฉินเจา เจ้าโกหกอะไรข้าอยู่หรือไม่?”
พูดพลางกัดริมฝีปากแน่น จนริมฝีปากซีดเผือกไร้เลือดฝาด
คำพูดนี้ทำให้มือของฉินเจาที่ประคองมู่หรงชูอวิ๋นอยู่พลันแข็งทื่อ กระตุกมุมปากเอ่ย “ไม่มี…”
“อย่าเพิ่งรีบร้อนตอบคำถามข้า ข้าเพียงอยากรู้ว่าไม่มีสิ่งใดโกหกข้าจริงหรือ” นัยน์ตาสุกใสของมู่หรงชูอวิ๋นเคลือบไปด้วยแววตาแห่งความเศร้าใจ คล้ายกับแมงเม่าที่มุ่งมั่นบินเข้าสู่กองไฟ อยากจะจุมพิตให้สาแก่ใจเสียเหลือเกิน เพื่อให้แววตาคู่นั้นกลับคืนสู่สภาพเดิมของมัน
“ไม่มี”
มู่หรงชูอวิ๋นคอตกด้วยความผิดหวัง ชำเลืองสายตามองไปทางหญิงรับใช้ข้างกาย “ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
เดิมทีฉินเจาอยากจะถามหาสาเหตุให้กระจ่างใจ น้ำเสียงของมู่หรงชูอวิ๋นนั้นเรียบนิ่งมาก เรียบนิ่งเสียจนไม่มีความสั่นเคลือใดเลยสักนิด ได้เห็นใบหน้านิ่งเฉยเช่นนี้ของนาง ซึ่งเคยเป็นใบหน้าที่ร่าเริงแจ่มใส ตะโกนเรียกชื่อของเขามาแต่ไกล ช่างเป็นความรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน ทว่าเวลานี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ได้ เมื่อไม่นานมานี้นางยังมีเรื่องพูดคุยกับเขาไม่รู้จบ แต่เมื่อเขาเห็นความร้อนใจของบ่าวรับใช้แล้ว รู้ทันทีว่าเรื่องราวจะชักช้าอีกต่อไปไม่ได้แล้ว จึงทำได้เพียงกล่าวลานาง รอให้สะสางเรื่องราวทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วบางทีเรื่องก็อาจจะดีขึ้นไปบ้าง
มู่หรงชูอวิ๋นเหม่อมองทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ทว่าหัวใจของนางกลับเหมือนถูกมีดแหลมบาดลึกให้รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน
“นายท่านจะเข้าไปปลอบพระชายาหรือไม่ขอรับ ดูเหมือนพระนางจะเสียใจมากนะขอรับ?” ไปเถิดขอรับ นี่เป็นโอกาสของพระองค์ ไม่แน่หากไปแล้วพระนางเกิดความซาบซึ้งจำเรื่องราวทุกอย่างขึ้นมาได้ พวกเขาจะได้กลับไปพร้อมกับนายน้อยเสียเลย ไม่ใช่มายืนชะเง้อมอง อยู่ใกล้กันเพียงเอื้อมมือ แต่ทำได้เพียงมองราวกับเป็นคนแปลกหน้าอยู่เช่นนี้
ดวงตาของเฟิงหลีเลี่ยเฉยเมย ไม่อยากแม้จะแสดงอารมณ์ใดให้กับเขา สายตามีเพียงแม่นางบอบบางอรชรอ้อนแแอ้นคนนั้น เห็นเพียงดวงตากลมโตกระพริบละเอียดอ่อนดั่งกวางน้อยในป่าเขา บัดนี้ต้องมาจมอยู่กับความเศร้าหมอง ไม่มีผู้ใดจะเป็นทุกข์เท่าตัวเขาได้อีกแล้ว เขาอยากจะเข้าไปกอดนางไว้ในอ้อมอก กระซิบปลอบข้างใบหูด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าของเขา บอกกับนางว่านางยังมีเขาอยู่ อย่าได้กลัวไปเลย
ตอนที่ 421 งานแต่ง 7
“ธิดาเทพ เปลี่ยนชุดเถิดเจ้าค่ะ?” เสี่ยวอวี๋แทบร้องไห้เมื่อเห็นมู่หรงชูอวิ๋นไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย จึงเอ่ยขอร้องออกไป ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในใจของนางทรมานมากเพียงใด เดิมคิดว่าวันนี้จะไม่มีเรื่องอันใด ใครจะรู้หลังจากมู่หรงชูอวิ๋นตื่นขึ้นมา ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับตัวราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่มีความเขินอายที่จะได้เป็นเจ้าสาวเลยสักนิด ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความเศร้าหมองราบเรียบดั่งวารี คล้ายกับโลกทั้งใบกำลังจะสูญสิ้น
มู่หรงชูอวิ๋นทอดมองไปทางเสี่ยวอวี๋ แต่ก็เหมือนกับมองผ่านนางไปยังที่ห่างไกลไม่รู้นาม “เสี่ยวอวี๋ เจ้าว่าของที่หายไปจะหาเจอได้ไหม? แล้วจะยังกลับมาเป็นสภาพเช่นเดิมได้หรือไม่? จะสมบูรณ์ไม่มีตำหนิเลยแม้เพียงเล็กน้อยได้ไหม?”
เสี่ยวอวี๋ไม่เข้าใจว่ามู่หรงชูอวิ๋นหมายความว่าอย่างไร คิดแล้วจึงเอ่ย “ธิดาเทพ ข้าน้อยแม้จะไม่เข้าใจว่าธิดาเทพทำของสิ่งใดหายไป แต่คงต้องเป็นของล้ำค่ามาก เพียงแต่ข้าน้อยเข้าใจว่าขอเพียงมีความพยายามที่จะตามหาก็จะไม่รู้สึกเสียใจแล้วเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ? แล้วจะยังเหมือนเดิมไหม?” มู่หรงชูอวิ๋นหันหน้ากลับมาช้าๆ ไม่รู้ว่าถามตัวเองหรือเอ่ยถามนาง “หากข้าไม่แต่งงานกับฉินเจา เจ้าจะคิดว่าข้าเป็นคนเลวหรือไม่?” เป็นคนที่เลวมากๆ คนหนึ่ง เป็นสิ่งที่นางเกลียดที่สุด
เสี่ยวอวี๋ตกใจอ้าปากค้าง “ธิดาเทพ คุณชายดีถึงเพียงนั้น เหตุใดท่าน…”
“จึงมีความคิดเช่นนี้ใช่ไหม” มู่หรงชูอวิ๋นมองนางพลางยิ้ม จากนั้นก็ไม่สนใจนางอีก เอามือลูบชุดแดงปักเลื่อมประกายระยิบระยับ
“ข้าเพียงแค่พูดเล่นเท่านั้น ฉินเจาดีถึงเพียงนั้น ใครไม่อยากแต่งกับเขาบ้าง” ดีเสียจนนางไม่รู้ว่าสิ่งไหนจริง สิ่งไหนปลอม
เสี่ยวอวี๋รีบตบอกโล่งใจ โชคดีที่มู่หรงชูอวิ๋นพูดเล่นเท่านั้น “ธิดาเทพ ทำข้าน้อยตกใจแทบแย่ ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณชายดีถึงเพียงนั้น ต่อให้บีบบังคับฝืนใจเขาก็ไม่ยอมแต่งงาน คุณชายรอเพียงท่านคนเดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ” หากมู่หรงชูอวิ๋นไม่ยอมแต่งจริงๆ นางคงแย่แน่เลย
มู่หรงชูอวิ๋นมองคนในกระจกเงาผืนเรียบแต่ยังมีสีเหลืองอ่อนๆ แววตาไร้ความปลาบปลื้มยินดี ราวกับสาวงามบนภูเขาหิมะ ไร้ซึ่งจิตวิญญาณคนหนึ่ง ยื่นมือไปหยิบชาดทาปากสีแดงสดบนโต๊ะขึ้นมาด้วยท่าทางเซี่องซึม แล้วมาเม้มที่ริมฝีปาก สาวใช้นางหนึ่งกระซิบบอกข้างใบหู “นี่เป็นชาดทาปากที่อาจารย์ท่านหนึ่งทำขึ้นมาให้กับภรรยาผู้เป็นที่รัก เพราะภรรยาของเขาไม่ชอบกลิ่นฉุนของชาดแดง จึงได้เลือกใช้น้ำผึ้งทำขึ้นมาโดยเฉพาะ ธิดาเทพได้ใช้แล้วจะต้องเป็นสามีภรรยาที่รักกันกลมเกลียวแน่นอนเจ้าค่ะ”
มู่หรงชูอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมามองนาง เมื่อเห็นใบหน้าของนางแล้วก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเล็กน้อย “ภรรยาของเขาจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ ที่ได้สามีทำชาดแดงให้เองกับมือเช่นนี้” ไม่รู้ว่าเป็นคำอวยพรจากใจจริงหรือเพราะรู้สึกอิจฉา
“หากธิดาเทพชอบ คุณชายจะต้องทำให้ท่านเองกับมือเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ” เสี่ยวอวี๋พึมพำขึ้นมา
มู่หรงชูอวิ๋นไม่ได้ตอบอะไรนาง ขณะเดียวกันที่ฮูหยินฉินเข้ามาพอดี เห็นว่ามู่หรงชูอวิ๋นแต่งหน้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าของนางอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวจะไปทำให้ใบหน้าของนางเลอะเปื้อน “เด็กดี ลำบากเจ้าแล้ว” ในใจของนางขื่นขมเป็นที่สุด หากมู่หรงชูอวิ๋นได้รู้ว่าลูกน้อยของนางใกล้จะหมดลมหายใจแล้ว กลัวแต่มู่หรงชูอวิ๋นจะไม่ได้มีสภาพเช่นนี้แน่ บางทีการที่ไม่บอกความจริงแก่นาง อาจเป็นเรื่องดีก็ได้ และก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไร เพราะอย่างไรแล้วนางจะได้ไม่ต้องแบกรับความเจ็บปวดที่ผุดออกมาจากร่างกายของนางอีกครั้ง เนื่องจากการสูญเสียลูกน้อย รสชาติความเจ็บปวดแบบนั้นนางเคยลิ้มรสมาแล้วครั้งหนึ่ง
ความรู้สึกขมขื่นเอ่อล้นขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจของฉินอวิ๋นซิน แม้ว่านี่จะไม่ใช่การแต่งงานที่เฝ้ารอ แต่นางยังคงไม่มีสิทธิไปยืนอยู่ข้างมู่หรงชูอวิ๋นเช่นเดิม ทำได้เพียงชะเง้อมองอยู่ห่างๆ คล้ายพวกแอบมอง