เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 424 สุนัข / ตอนที่ 425 ปล่อยข่าวลือ
ตอนที่ 424 สุนัข
ฉินเจาไม่พลาดกับท่าทีเปลี่ยนไปของมู่หรงชูอวิ๋น เอาตัวบังร่างในชุดสีแดงสะดุดตาของมู่หรงชูอวิ๋นไว้ข้างหลังในทันที “อี้หวังท่านย้ายไปที่อื่นเถิด ที่นี่มีเพียงภรรยาของข้าและชนเผ่าของข้าเท่านั้น ไม่มีคนที่ท่านตามหา ส่วนพระชายาของท่านทำหายเองก็ค่อยๆ ตามหาเถิด ข้ายังต้องคารวะฟ้าดิน วันนี้เป็นวันมงคลสำคัญของข้า ไม่ปรารถนาให้มีเลือดตกยางออก ขอให้พวกท่านรีบออกไปเสียโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าเป็นเจ้าบ้านที่ไร้น้ำใจ” สายตาเกลียดชังแทบอยากจะฉีกเฟิงหลีเลี่ยให้ขาดกระจุย
ฉินสุยใช้สายตาออกคำสั่ง เพียงครู่เดียวก็มีกลุ่มคนถือดาบอาวุธล้อมคนของเฟิงหลีเลี่ยไว้แน่น ไม่เห็นเฟิงหลีเลี่ยจะมีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด สีหน้าเรียบเฉยเอามือกล่อมทารกน้อยในอ้อมอกเป็นครั้งคราว นิ่งสงบเสียจนรู้สึกว่าเขากุมชัยชนะไว้ในกำมือแล้ว จึงไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ในสายตาเลยสักนิด ซึ่งเขาก็ไม่เห็นสิ่งเหล่านี้อยู่ในสายตาจริงๆ ตั้งแต่ต้นมาในสายตาของเขามีเพียงเงาร่างคนคนหนึ่งที่เขาคนึงหา ตกกลางคืนก็ฝันถึงไม่รู้กี่ครั้ง ต่อให้ตรงนี้จะมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมตัวเขาไว้ บังเรือนร่างของนางไปแล้ว แต่ในสายตาของเขาก็มีเพียงนางคนเดียว
มู่หรงชูอวิ๋นมองพวกเขาด้วยความเป็นห่วง
“คุณชายฉิน ของที่ขโมยเขามาสุดท้ายก็ต้องคืน หาใช่ของตัวเองไม่ รีบคืนเสียตอนนี้ก็ยังไม่สาย” มู่เยี่ยนหยักมุมปากเอ่ยวาจาเสียดสีแฝงไปด้วยคำเตือนอย่างเข้มข้น นั่นคือพระชายาของพวกเขา ต่อให้กลายเป็นเถ้าธุรีเขาก็จำได้
“ใช่ไม่ใช่นั้น หาใช่ว่าข้าพูดแล้วจบ ส่วนที่บอกว่าขโมยนั้นไม่ทราบใครกันแน่ ข้าเพียงแต่นำสิ่งที่เป็นของตัวเองกลับคืนมาก็เท่านั้น อีกอย่างเจ้านายของเจ้ายังไม่พูดอะไรสักคำ สุนัขอย่างเจ้ามาเห่าอันใด หรือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติของตำหนักอี้หวัง มิน่าเล่าแม้แต่พระบิดาผู้ให้กำเนิดตนเองก็ยังทำได้ลง”
น้ำเสียงบาดแทงขึ้นหลายส่วน ต่อให้เขาจะเป็นอย่างไร สุนัขตัวหนึ่งก็ไม่ควรจะมาวิจารณ์เขาในเชิงลบได้
ตั้งแต่วินาทีที่มู่หรงชูอวิ๋นเกิดมา พระเจ้าได้กำหนดให้นางเป็นคู่ของเขาแล้ว เพียงแต่นางถูกพวกเขาซ่อนตัวไว้ ทำให้เขาสูญเสียนางไปนานกว่าจะพบตัว ดังนั้นเขาจึงทวงของของเขาคืนมา และยังไม่ได้ไปคิดบัญชีกับพวกเขาด้วย แต่พวกเขากลับเอาตัวใส่พานมาเสนอถึงที่ ทั้งยังเลือกวันได้ดีเสียด้วย
คำพูดสองแง่สองง่ามของฉินเจา ทำให้มู่หรงชูอวิ๋นตกใจเป็นที่สุด ช่วงเวลานั้นที่นางจากมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง ด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ นางไม่คิดว่าเฟิงหลีเลี่ยจะสังหารอดีตฮ่องเต้ได้ เฟิงหลีเลี่ยเป็นคนอย่างไร ไม่มีใครจะเข้าใจและรู้ดีไปกว่านางแล้ว
วันนั้นที่มู่หรงชูอวิ๋นไปชมต้นส้มกับฉินเจา ได้เห็นผลส้มเหลืองอร่าม พลันมีภาพเหตุการณ์ที่นางสะดุดก้อนหินเย็นเยียบล้มลงไปปรากฎขึ้นมาในหัว โลหิตสีแดงสดไหลเปื้อนกระโปรงของนาง นางเจ็บมากและก็หวาดกลัวมาก ช่วงหลายวันมานี้เรื่องราวในความฝันของนางล้วนเป็นภาพเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งนางก็จำเรื่องราวได้ส่วนใหญ่แล้ว ตอนที่ฉินอวิ๋นซินมานางยังไม่รู้ เพราะนางสลบไปก่อน และไม่เคยพบหน้ากุยอวิ๋นมาก่อนด้วย ดังนั้นนางจึงเข้าใจมาตลอดว่ากุยอวิ๋นไม่อยู่แล้ว จึงได้รู้สึกทุกข์ทรมานขนาดนี้ อีกทั้งเหตุการณ์ในคืนนั้นที่เฟิงหลีเลี่ยมาพบนางกลางดึก ทว่าตนกลับพูดถ้อยคำทำร้ายจิตใจเช่นนั้นออกไป นางเคยพูดไว้ว่าจะทำดีกับเฟิงหลีเลี่ยให้มากๆ แต่นางกลับเป็นคนที่ทำร้ายเขาได้บาดลึกจิตใจที่สุด
ใบหน้าของมู่เยี่ยนไม่มีความรู้สึกอับอายเลยแม้แต่น้อย กระตุกริมฝีปากเอ่ยเสียงดังชัด “คุณชายฉินพูดตลกแล้ว ปกติแล้วนายท่านของข้าจะไม่สนทนากับโจร สุนัขอย่างข้าจึงต้องสนทนาแทน หากเป็นไปได้ข้าก็อยากปฏิเสธเช่นกัน แม้ว่าข้าจะไม่มีของดีอะไร แต่ก็ไม่เคยทำให้คนอื่นต้องมาดูแคลนได้” ทั้งยังรู้สึกปลื้มปิติอย่างมากที่ตนได้เป็นสุนัขรับใช้ อย่างไรแล้วต่อให้เป็นสุนัข ก็เป็นสุนัขของนายท่าน การที่เป็นสุนัขรับใช้อยู่ข้างกายนายท่านหลายปีเช่นนี้ ใช่ว่าใครๆ ก็จะมาทำได้
มู่เหยียนยืนมองคำพูดนี้ของมู่เยี่ยน หากเป็นเขาคงจะชักดาบบุกเข้าใส่ไปนานแล้ว ขยับปากใช้คำพูดเสียดแทงมันไม่สะใจเท่าลงมือเอง ขบกัดด้วยวาจาฟังแล้วเพียงแต่ระคายหูเท่านั้น
ตอนที่ 425 ปล่อยข่าวลือ
“น่าขัน ไร้สาระ” สายตาแหลมคมของฉินสุยกวาดมองพวกเขาไปรอบหนึ่ง “ในเมื่อพวกเจ้าไม่ได้มีใจมาร่วมงาน ก็อย่าได้โทษว่าข้าไม่เกรงใจพวกเจ้าแล้วกัน” อยู่ข้างนอกเขาก็ไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับในหุบเขาแห่งนี้
“ไม่เอา” ทุกคนต่างมองไปทางมู่หรงชูอวิ๋นพบว่าใบหน้าที่มีเสน่ห์งดงามมีหยาดน้ำตาไหลอาบแก้ม คิ้วและดวงตาระคนไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดน่าสงสารเป็นที่สุด แทบอยากจะนำของดีทุกอย่างบนโลกใบนี้มากองตรงหน้าของนาง หวังเพียงจะช่วยเช็ดความเศร้านั้นไปได้ “อย่าทำร้ายพี่ชายใหญ่…”
มู่หรงชูอวิ๋นร่ำไห้ ทว่าก็ไม่อาจทำให้ฉินเจารู้สึกถึงความสงสารได้ มีเพียงความรู้สึกอัปยศเต็มหัวใจเท่านั้น “หุ้ยซิน เขาเป็นคนหลอกลวง ที่หมายจะมาทำลายงานแต่งของพวกเรา”
วันนี้คนที่จะแต่งงานกับเขา คนที่จะกลายมาเป็นภรรยาของเขา ขอร้องเขาด้วยความขมขื่นเพื่อให้เขาปล่อยผู้ชายอีกคนไป เขาอิจฉาผู้ชายคนนั้น จนแทบอยากจะสับเฟิงหลีเลี่ยให้ละเอียดเป็นหมื่นท่อน แม้จะทำเช่นนั้นก็ยังยากที่จะระบายความเกลียดชังในใจของเขาได้
มู่หรงชูอวิ๋นส่ายหน้าพึมพำ “ไม่ใช่ เขาเป็นพี่ชายใหญ่ของข้า พวกเราเคยไหว้ฟ้าดินร่วมกัน พวกเราผูกปอยผมเก็บไว้ด้วยกัน” ไม่มีผู้ใดจะรู้จักเฟิงหลีเลี่ยได้ดีกว่านางอีกแล้ว แม้ว่านางจะทำผิดเรื่องอะไร เขาเป็นคนคนเดียวที่จะยอมตามใจนาง ปกป้องนางมาโดยตลอด แล้วจะคอยแกล้งหยอกนางทุกครั้งโดยไม่มีผู้ใดรู้
“อวิ๋นเอ๋อร์ ไม่ต้องร้อง” เฟิงหลีเลี่ยปวดใจเหมือนคมมีดแทงทะลุ นางเป็นสตรีที่เขาทะนุถนอมประคองไว้ในอุ้งมือ ทนเห็นไม่ได้แม้แต่น้ำตาสักหยดของนาง บัดนี้พวกเขากลับทำให้นางต่ำต้อยไร้ค่าได้ถึงเพียงนี้ มู่หรงชูอวิ๋นเป็นสตรีของเขา ไม่ว่าใครก็มารังแกนางไม่ได้ มดเหล่านี้เขาไม่เห็นอยู่ในสายตา การที่เขากล้ามาปรากฎตัวที่นี่แน่นอนว่ามีกลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบแล้ว
“อุแว้…”
กุยอวิ๋นที่อยู่ในอ้อมอกของเฟิงหลีเลี่ยพลันร้องไห้นำ้ตาไหลพรากขึ้นมา ราวกับสายใยแม่ลูกสัมผัสได้ถึงความเป็นทุกข์ของมารดา เสียงร้องดังก้องใส
มู่หรงชูอวิ๋นใบหน้าอาบเปียกไปด้วยหยาดน้ำตา หันกลับไปมองเด็กทารกในอ้อมอกของเฟิงหลีเลี่ยด้วยความชะงักงัน เหมือนว่าเพิ่งจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา มือสั่นเทาไม่กล้าแม้จะยกไปสัมผัสใบหน้าละเอียดนุ่มของเขา
“อวิ๋นเอ๋อร์ เขาชื่อกุยอวิ๋น เป็นลูกของพวกเรา”
“ลูก?” มู่หรงชูอวิ๋นพึมพำซ้ำคำพูดของเฟิงหลีเลี่ย เสียงร้องนี้ไม่ใช่เสียงของเด็กที่นางกล่อมเล่นอยู่ในห้องวันนั้นหรอกหรือ เพียงแต่เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่านางลืมเขาไป ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นลูกของนางจริง ในตอนนั้นนางยังรู้สึกอิจฉาแม่ของเขาที่สามารถให้กำเนิดเด็กที่งดงามเช่นนี้ออกมาได้
เท้าขยับอย่างยากลำบากเดินไปทางเฟิงหลีเลี่ยได้สองสามก้าว อยากจะพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าใช่เด็กที่นางพบในวันนั้นหรือไม่ ฉินเจามือไวตาไวรีบคว้านางไว้เสียก่อน
“เขาหลอกเจ้าเท่านั้น กุยอวิ๋นไม่อยู่แล้ว” คำพูดประโยคหลังน้ำเสียงหนักแน่นมาก ไม่มีผู้ใดจะเข้าใจชัดเจนกว่าเขาได้อีก ตอนที่กุยอวิ๋นหมดลมหายใจเขาเห็นกับตาตัวเอง ร่างนั้นแข็งทื่อดั่งน้ำค้างแข็งเดือนสิบสอง ผิวหนังบวมแดงจนแยกใบหน้าที่แท้จริงไม่ออก หลังจากฉินสุยเอามืออังที่ปลายจมูกพบว่าหมดลมหายใจแล้วนั้น ก็ทรุดนั่งลงไปบนเก้าอี้ด้วยอาการตกตะลึงพรึงเพริด เด็กคนนี้เป็นสิ่งทดแทนที่ปะปนเข้ามาในกลุ่ม
“นี่สินะจึงจะเรียกว่าเรื่องตลกร้าย” เฟิงหลีเลี่ยส่งสายตาจ้องไปทางฉินเจา ราวกับแรงกดดันขนาดมหึมากดทับลงบนตัวเขา ราวกับกรอบยักษ์ล้อมกักขังเขาไว้ “ลูกของข้า จะตายอย่างง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร แล้วเจ้ารู้ได้เช่นไรว่าลูกของข้าไม่อยู่แล้ว หรือว่าเจ้าเป็นคนลงมือ?” พูดจบก็หยักมุมปากด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน เหมือนกับสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องตลกร้าย เรื่องไร้สาระอะไรอย่างนั้น
ฉินเจากำลังคิดจะปฏิเสธ ก็ได้ยินเสียงพูดเคร่งขรึมและเฉียบขาดของฉินสุย “เจาเอ๋อร์ อย่าได้พูดอะไรมากมายกับพวกเขา จับตัวให้หมด ดูสิว่าพวกเขาจะยังปล่อยข่าวลือให้คนเข้าใจผิดอย่างไรได้อีก” เขาหงุดหงิดเต็มทนแล้ว ความอดทนที่มีมานานได้ถึงขีดสุดแล้ว