เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 426 ดูสิว่าผู้ใดจะกล้า / ตอนที่ 427 เจ้าก็ทรยศข้า
ตอนที่ 426 ดูสิว่าผู้ใดจะกล้า
“ข้าจะดูสิว่าผู้ใดจะกล้า” น้ำเสียงอ่อนเยาว์เสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอก ทุกคนต่างหลีกเปิดทางให้โดยไม่รู้ตัว
ท่ามกลางแสงตะวันสีขาว เห็นเพียงเด็กน้อยอายุไม่เกินสิบสองปีคนหนึ่ง กำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทางหยิ่งผยอง ข้างกายมีแม่ทัพหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดเกราะสีขาว โฉมหน้าของเขาดุจดั่งวีรบุรุษ พร้อมกับนายทหารจำนวนนับไม่ถ้วนติดตามอยู่ด้านหลัง
“ข้าจะดูว่าผู้ใดกล้ามารังแก…หลานชายของข้า” เดิมทีอยากพูดว่าพี่ใหญ่ของข้า แต่สุดท้ายก็ลงมาที่เด็กทารกที่อยู่ในอ้อมอกของเฟิงหลีเลี่ย “ในก้นหุบเขากันดารขนาดนี้ยังกล้าที่จะกักขังพี่สะใภ้และหลานชายของข้าได้” เฟิงเยี่ยเฉิงเบ้ปากแสดงความรังเกียจ
มู่หรงมู่แอบรู้สึกชื่นชมกับคำพูดของเด็กน้อยหัวโตคนนี้ แต่ละถ้อยคำแต่ละประโยคตรงประเด็นมีเหตุผล เดิมทีเขาก็โมโหมากเช่นกัน แต่ก็เร็วสู้เด็กร้ายกาจคนนี้ไม่ได้ เขาเพิ่งจะขยับปากเด็กคนนี้ก็พูดโพล่งออกไปแล้ว แต่จะว่าไปหากให้เขาเป็นคนพูดก็คงไม่ฟังเดือดดาล แม้จะชดใช้ด้วยชีวิตก็ไม่หายโกรธเฉกเช่นคำพูดของเด็กคนนี้แน่
ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างโมโหหนวดกระตุก ถลึงตาจ้องเขม็ง แทบอยากจะถลกผิวหนังเฟิงเยี่ยนเฉิงออกมาทั้งเป็น
เฟิงเยี่ยนเฉิงหาได้สนใจไม่ ท่าทางรู้สึกดี ดวงตาดำขลับเปล่งประกายกวาดตามองไปโดยรอบ ก่อนจะไปหยุดลงที่เด็กน้อยในอ้อมอกของเฟิงหลีเลี่ยที่หยุดร้องไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ และกำลังเล่นนิ้วมือของตัวเองอยู่ “เด็กคนนี้ก็คือหลานชายของข้า หน้าตาเหมือนข้าราวกับพิมพ์ออกมา”
มู่หรงมู่รู้สึกไม่ค่อยชอบใจ ต่างก็พูดว่าหลานชายหน้าตาเหมือนลุง ต้องพูดว่าเหมือนกับเขาถึงจะถูก ไหนเลยจะเหมือนกับเด็กน้อยร้ายกาจคนนี้ได้ มู่เยี่ยนรู้สึกเห็นใจเฟิงเยี่ยนเฉิงขึ้นมา ตอนนี้เฟิงหลีเลี่ยวางมือไม่ได้ ต่อไปสงครามสงบลงจะต้องมาคิดบัญชีกับเขาอยู่ไม่น้อยแน่
การที่กุยอวิ๋นหมดลมหายใจไปได้ เพราะได้กินยานอนหลับที่คิดค้นออกมาโดยหมอเทพและหมอกู่ ยาชนิดนี้ต่างไปจากยาแกล้งตาย และไม่มีผลข้างเคียง หลังจากกินไปแล้วจะหลับสนิทเหมือนกับเสียชีวิต ในขณะที่พวกเขากำลังนำร่างไปฝัง เยียนหรูเสวี่ยได้แอบเปลี่ยนตัวนำลูกแมวสลับกับพระโอรส นำตัวกุยอวิ๋นกลับมาได้
ตั้งแต่กุยอวิ๋นกลับมานอกจากเวลาป้อนนมแล้ว เวลาอื่นๆ ล้วนมีเฟิงหลีเลี่ยคอยอยู่ข้างกาย มีสิ่งหนึ่งที่มู่เยี่ยนไม่เข้าใจเลยคือ นายท่านของเขาเป็นคนเย็นชาขนาดนั้น พูดก็น้อย แต่เวลาที่กุยอวิ๋นอยู่กับเขากลับไม่ร้องไห้งอแง เลี้ยงง่ายเป็นที่สุด
แต่เมื่อใดมาอยู่ในมือของเขา กุยอวิ๋นจะร้องไห้งอแงไม่หยุด ราวกับสูญเสียพ่อแม่ไป ทำให้เขาโดนเฟิงหลีเลี่ยกลอกตาขาวใส่ไม่รู้กี่ครั้ง ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนพูดกล่อมเด็กได้แท้ๆ
“ดูท่าแล้วพวกเจ้าคงไม่ได้เห็นตระกูลฉินอยู่ในสายตา” จึงกล้าบุกรุกเข้ามากันคนแล้วคนเล่าเช่นนี้
“ตาเฒ่าอย่าเพิ่งวู่วามไป อาเจ็ดอาแปดที่อยู่ด้านนอกเหล่านั้นไม่มากันหรอก พวกเขาไร้ความสามารถเกินไป เพียงครู่เดียวก็ถูกกองกำลังพิทักษ์อวิ๋นของข้าสังหาร หวาดกลัวจนร้องไห้หาบุพการี อุจาระหดปัสสาวะหายกันหมดแล้ว” เงียบลงครู่หนึ่งก็พูดต่ออีกว่า “อีกอย่างข้าไม่รู้จักว่าเจ้าเป็นใครด้วยซ้ำ ใยจะต้องเห็นเจ้าอยู่ในสายตาด้วยเล่า”
เฟิงเยี่ยนเฉิงแอบได้ยินว่ามู่หรงมู่จะมาช่วยมู่หรงชูอวิ๋น ทำหน้าตายไปอ้อนวอนเฟิงหรงสวี่เพื่อขอมาด้วย แน่นอนว่าเฟิงหรงสวี่ไม่มีทางอนุญาต ต่อมาเขาจึงแกล้งนอนขว้างอยู่บนเตียงของน่าหลันฉิงทุกวันไม่ยอมลุก เวลาอยู่ในอุทยานเฟิงหรงสวี่จะจับมือของน่าหลันฉิง แต่ไม่รู้มีมือเล็กจ้ำม้ำที่ไหนมาแทรก เพื่อความสุขและผลประโยชน์ของตัวเอง จึงจำใจอนุญาตให้เขามา เฟิงเยี่ยนเฉิงจอมแก่นยังตั้งชื่อกองกำลังว่ากองกำลังพิทักษ์อวิ๋น ทำเอาเฟิงหรงสวี่ริมฝีปากกระตุกพูดไม่ออก ได้แต่โบกมือยอมรับปากไป อย่างไรแล้วตนไม่อยากให้เด็กจอมป่วนคนนี้มาทรมานตนได้อีก
เฟิงเยี่ยนเฉิงพูดจบก็ยกมือขึ้นไปหยิกแก้มยุ้ยของกุยอวิ๋น คล้ายกับกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่ได้เห็นฉินสุยอยู่ในสายตาสักนิด เฟิงหลีเลี่ยเบี่ยงตัวออกหลายส่วน เพื่อขว้างมือร้ายกาจของเฟิงเยี่ยนเฉิงไว้ให้ห่าง กุยอวิ๋นที่ขมวดคิ้วเป็นปมก็ค่อยๆ คลายลงได้
ตอนที่ 427 เจ้าก็ทรยศข้า
“เป็นเพราะกบฏอย่างเจ้าที่พาพวกเขาเข้ามาใช่หรือไม่” ฉินสุยชี้ฉินอวิ๋นซิน พลางกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าอย่าได้ลืมว่าตนเองก็สกุลฉิน”
“ข้าเองที่พาพวกเขาเข้ามา ไม่เกี่ยวอะไรกับอวิ๋นซินทั้งสิ้น”
ผู้คนได้เห็นโฉมหน้าเจ้าของน้ำเสียงนั่นต่างต้องตกใจ จะเป็นนางไปได้อย่างไร
“เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้?” ฉินสุยพยายามข่มอารมณ์โมโหของตัวเองอย่างที่สุด ฝ่ามือกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว เขาคิดว่าต่อให้คนทั้งโลกทิ้งเขาแล้ว ฮูหยินฉินจะยืนเคียงข้างเขาตลอดไป พวกเขาสามีภรรยารวมเป็นหนึ่ง นางต้องเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ หลังจากที่ลูกสาวของพวกเขาลาจากไป เขาได้ใช้ความสามารถของตัวเองพยายามที่จะปกป้องนางให้ดีที่สุด ไม่ทำให้นางได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ ต่อให้ต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักของคนทั้งเผ่า เขาก็ไม่เคยคิดจะแต่งหญิงอีกคน พยายามสุดความสามารถเพื่อตามหาสตรีของเผ่าที่มีปานรูปหงส์ไฟบนกาย ต่อให้เขาต้องได้รับความอยุติธรรม เขาก็พร้อมจะแบกรับมันไว้เอง บัดนี้นางกลับทรยศเขาทั้งเป็น อีกทั้งยังชกหน้าเขาให้ตายต่อหน้าประชาชนเช่นนี้
ฮูหยินฉินสลัดมือของสาวใช้ออก ค่อยๆ สาวเท้าเดินมาอยู่ตรงหน้าของฉินเจา ฉินเจามองนางที่ยังงดงามดั่งนางสวรรค์เหมือนสมัยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ที่ยืนอยู่ข้างท่านอาจารย์ของเขา “เป็นเพราะข้าเหนื่อยแล้ว” ชี้ไปยังคนสกุลฉินทั้งหมดพลางเอ่ย “พวกเขาเองก็เหนื่อยแล้ว จุดสูงสุดของตระกูลฉินผ่านมานานแล้วตั้งแต่บรรพบุรุษตัดสินใจที่จะอยู่อย่างสันโดษ ตั้งแต่ช่วงเวลานั้นได้ผ่านไป พวกเราเคยชินกับวันเวลาชายทำนาสาวทอผ้า อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแล้ว สิ่งเร้ารบกวนด้านนอกมีมากเกินไป พวกเราไม่มีพลังเช่นนั้นอีกแล้ว ได้ยินว่าด้านนอกงดงามมาก งดงามเสียจนคนอยากจะเก็บมาไว้กับตัว แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ สิ่งที่ข้าต้องการคือการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับสามีของข้า มีลูกสาวอยู่ด้วยกันเพียงเท่านี้ ที่นี่ก็แสนดี ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีสงคราม เป็นดั่งดินแดนในอุดมคติ”
“ดังนั้นเจ้าจึงหักหลังข้า”
ฉินสุยกัดฟันตัวเองจนแทบหักแล้ว
ได้ยินคำพูดของฉินสุย ฮูหยินฉินมึนงงไปชั่วขณะ “ใช่ ข้าไม่อยากเห็นใครต้องมาพบกับชะตากรรมแบบท่านป้า พี่อวิ๋นลั่ว อวิ๋นซินแล้วก็ชูอวิ๋นอีกต่อไปแล้ว” อวิ๋นลั่วกระโดดหน้าผาปลิดชีวิตด้วยความกล้ารักกล้าเกลียด ไม่ได้ทำให้พวกเขาคิดกลับใจได้เลย แต่กลับกล้ากระทำเรื่องไร้ศีลธรรมต่อไปได้อีก หลงผิดกับสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองไม่เลิกลา
“ถูกต้องแล้ว หากพวกเจ้าไม่เตือนข้าเกือบลืมไป ข้ายังต้องทวงความยุติธรรมให้กับเสด็จลุงของข้าด้วย คนที่ถูกพวกเจ้าฆ่าอย่างโหดเ**้ยมโยนทิ้งไว้ในป่าบุปผาหงส์ไฟ คือน่าหลันอี้” เฟิงเยี่ยนเฉิงกัดฟันแน่นจ้องมองพวกเขาตาเขม็ง คล้ายกับลูกเสือที่เพิ่งมีเขี้ยว
พวกเขาเพิ่งจะรู้สถานะของเขา ตอนที่เฟิงหลีเลี่ยนำสิ่งของของน่าหลันอี้ไปให้พวกเขาตรวจสอบว่าเป็นของผู้ใด ในวันนั้นน่าหลันฉิงเป็นห่วงเรื่องของเฟิงหลีเลี่ยจึงมาหาพวกเขา ได้เห็นหยกแขวนวางเด่นอยู่บนโต๊ะ จึงเป็นลมล้มพับไปทันที
เพียงแค่เฟิงเยี่ยนเฉิงคิดถึงภาพที่เสด็จแม่ของเขากอดหยกแขวนนั่น ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนจะขาดใจตาย ก็โกรธจนอยากจะตัดหัวของพวกเขาเสียให้หมด “สวรรค์มีตา ในที่สุดความผิดของพวกเจ้าก็ได้ถูกเปิดโปง” เดิมทีเขาต้องมีญาติหนึ่งคน ไม่แน่ว่าเสด็จลุงจะต้องรักและตามใจเขาที่สุดก็ได้ เหมือนกับมู่หรงมู่ที่ยังไม่รู้ว่ากุยอวิ๋นหน้าตาเป็นเช่นไร แม้ในช่วงที่เร่งรีบเดินทางมาที่นี่ ขณะช่วงเวลาพักผ่อนก็ยังแกะสลักของเล่นให้กุยอวิ๋น ทำเอาเขารู้สึกอิจฉาเป็นที่สุด หากไม่ใช่ว่านั่นเป็นของที่ทำให้หลานชายเขาล่ะก็ คงจะทุบทำลายมันไปนานแล้ว
“มาแล้ว มาแล้วจริงๆ” ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเจ็ดพึมพำกับอะไร “ข้าเป็นคนแทงเขาด้วยดาบเล่มนั้น หากต้องการชดใช้ชีวิตโปรดมาเอาชีวิตข้าเถิด” นั่นเป็นคนคนเดียวที่เขาสังหาร โลหิตแดงสดของน่าหลันอี้พุ่งทะลักออกมา ไม่เพียงแปดเปื้อนไปบนดาบของเขา แต่ยังเปื้อนใบหน้าของเขา จนสัมผัสได้ถึงความอุ่นของโลหิตที่พุ่งสาด คล้ายกับน้ำเดือดลวกรดบนใบหน้า คนที่ทำให้ชีวิตวัยหนุ่มทรงพลังอย่างน่าหลันอี้ต้องสิ้นลงใต้หุบเขาเช่นนี้ หากไม่มีดาบเล่มนั้นของตนแล้ว ไม่แน่ว่าฉินอวิ๋นลั่วคงไม่กอดร่างไร้วิญญาณของน่าหลันอี้ แล้วตัดสินใจกระโจนลงหน้าผาดับชีวิตไปเช่นนั้น ต่อมาเขาได้สวมหน้ากากอัปลักษณ์ปิดใบหน้าด้านซ้ายเอาไว้ ไม่ยอมให้มันได้พบกับแสงสว่างอีก
เขารู้สึกเสียใจมากับเหตุการณ์ในครั้งนั้นมาโดยตลอด เท่ากับว่าเขาเป็นคนฆ่าพวกเขาทั้งสองคน ได้แต่เฝ้ารอให้ครอบครัวของเขามาแก้แค้น และในที่สุดพวกเขาก็มากันแล้ว