เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 431 อย่าฆ่าพวกเขา
ผู้หญิงที่ดีเช่นนี้ น่าเสียดายที่แต่งงานกับคนผิด แต่จะบอกว่าน่าเสียดายก็คงไม่ได้กระมัง อย่างไรแล้วหลังจากฮูหยินฉินตายไป ฉินสุยยอมปลิดชีวิตตัวเองตามนางไป เป็นสิ่งที่ยากจะได้รับ นับสมความปรารถนาแล้ว
“อ้าก…” ฉินเจาร้องตะโกนขึ้นฟ้า เขายังไม่ทันได้เกลียดชังพวกเขาเพียงครู่ พวกเขาก็มาด่วนจากไปตามกันเสียแล้ว ไม่ต้องการการให้อภัยจากเขาอย่างน้ันหรือ บางทีสำหรับพวกเขาแล้วเขาเป็นเพียงลูกที่ไม่มีใครต้องการ จะมีหรือไม่มีก็ได้ เพราะอย่างไรแล้วพวกเขาอยากได้ลูกสาวไม่ใช่หรือ
ตอนนี้เขากลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีใครต้องการอีกครั้งแล้ว เขาเครียดแค้น เหตุใดฟ้าจะต้องทำกับเขาเช่นนี้ ให้เขาเป็นเด็กกำพร้าเช่นนั้นไปตลอดชีวิต มือกำหมัดแน่น สัมผัสอันเร้าร้อนและอบอุ่นทำให้เขาคลายมือลงหลายส่วน มองคนข้างกาย ไม่สิ เขาไม่ได้ตัวคนเดียว เขายังมีคู่หมั้นอยู่
ก้มหน้าทอดมองผู้คนที่ต่างมีสีหน้าเปี่ยมด้วยคำถาม แล้วทอดมองอย่างลึกซึ้งบนร่างของคนทั้งสองที่นอนกุมมืออยู่ด้วยกัน ก่อนจะออกแรงกดดวงตามังกรที่สร้างขึ้นจากหยกแดงชาดบนหัวมังกรที่ดูเสมือนจริง “เกิดอะไรขึ้น?” ฉินเจาไม่อยากจะเชื่อ ลองกดซ้ำอีกครั้ง ยังคงไร้การเคลื่อนไหวเช่นเดิม
มู่เยี่ยนเห็นฉินเจาอารมณ์เสียกดดวงตานั่นไม่ยอมหยุด จึงเอ่ยไปอย่างกวนประสาท “ท่านฉินเจา ลืมบอกท่านไป เมื่อวานข้าไม่ทันระวังไปกดโดนดวงตานั่นเข้า มันจึงกระเด็นออกมา ข้าประกอบมันกลับไปใหม่ ไม่เช่นนั้นขาดดวงตาไปคงดูแปลกพิลึก” เกรงว่าตั้งแต่แรกเริ่มที่คนตระกูลฉินย้ายมาอยู่ที่นี่ หาใช่ต้องการความสันโดษไม่ แต่คงต้องการหวนกลับมาตั้งตัวเป็นใหญ่อีกครั้ง เรื่องนี้เกรงว่าเป็นเพราะพวกบรรพบุรุษไม่ทันได้ระวัง จึงได้สูญเสียมารดาไปมากมายเช่นนั้น
พอดีกับดวงตามังกรที่มู่เยี่ยนทำพังไปนั้น ตกลงมายังข้างเท้าของฉินเจา
ความจริงแล้วหลังจากที่ฉินอวิ๋นซินบอกกับพวกเขาว่านี่คือเส้นทางด้านหลังสำหรับหลบหนี เขาก็ได้หาโอกาสปิดกั้นมันไว้ พลันเกิดอาการคันไม้คันมือดึงดวงตาประตูออกเสียเลย แม้แต่โอกาสสุดท้ายก็ไม่ยอมเหลือไว้ให้พวกเขา
ในสมัยที่ฉินอวิ๋นซินต้องการหนี ฉินอวิ๋นลั่วได้แอบบอกเส้นทางลับนี้แก่นาง เพื่อให้นางได้แอบหนีออกจากที่นี่ไปได้ เนื่องจากฉินอวิ๋นลั่วไม่ต้องการเห็นตัวเองซ้ำเป็นครั้งที่สอง ในสมัยนั้นน่าหลันอี้จากไปแล้ว ฉินอวิ๋นลั่วยังไม่พบสถานที่แห่งนี้
“เจ้า…”
มู่หรงมู่กล่าว “คุณชายฉินคงเคยได้ยินวลีดังทางพุทธศาสนา วางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ใยจักต้องลำบากดิ้นรนอีก” เขาไม่อยากให้มู่หรงชูอวิ๋นถูกพาตัวไปอีก
ฉินเจาเก็บสายตาของทุกคนประทับไว้ในสมองของตัวเอง กัดฟันเอ่ยว่า “ไม่ใช่เพราะพวกเจ้าบังคับข้าหรอกหรือ ก็อย่ามาโทษว่าข้าไร้น้ำใจแล้วกัน” ดูท่าเขาคงจะประเมินคนพวกนี้ต่ำไป
ยังไม่ทันยกข้อมือขึ้น ก็รู้สึกปวดร้าวไปทั้งหน้าอก แทงปลายดาบลงพื้นพยุงตัวไว้ มืออีกข้างปล่อยจากตัวมู่หรงชูอวิ๋น มากุมหน้าอกที่ทะลักปั่นป่วนไม่หยุด มองขลุ่ยที่หมอเทพเป่าอยู่อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ที่แท้ผู้สืบทอดการเลี้ยงหนอนกู่ที่หมอกู่พูดถึงก็อยู่ที่นี่ด้วย ว่าแล้วทำไมหมอกู่จึงใจดีนัก ความจริงเขาเข้าใจผิดแล้ว ที่หมอกู่พูดเป็นเรื่องจริง เพียงแต่มู่เยี่ยนมือไวกว่าแอบสับเปลี่ยนมันไปเสียก่อน
ผู้อาวุโสใหญ่รีบเข้ามาช่วยพยุงเขา “คุณชาย ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เมื่อก่อนเขาคิดว่าฉินเจาโชคดีเหลือเกิน พ่อแม่ตายไปแล้ว ก็โชคดีได้ฉินสุยและภรรยารับอุปการะเลี้ยงดู แต่ตอนนี้เขารู้สึกเพียงความสงสาร เพราะอย่างไรแล้วฉินเจาเป็นลูกที่ถูกพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดทิ้งขว้าง
ฉินเจาปัดมือของผู้อาวุโสใหญ่ออก ดวงตาดำสนิทจ้องมองเฟิงหลีเลี่ยอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าแค่นี้ข้าจะพ่ายแพ้เช่นนั้นหรือ?” แสยะมุมปากเอ่ยอย่างเย้ยหยัน
ทันใดนั้นร่องรอยของความกลัวได้ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจของมู่หรงชูอวิ๋น ร้อนใจเสียจนน้ำตาเอ่อล้นขอบตา ทว่าไม่อาจเปล่งถ้อยคำออกมาได้แม้เพียงสักคำ เพียงแค่จะขยับตัวก็ยังทำไม่ได้
เฟิงหลีเลี่ยส่งกุยอวิ๋นไปอยู่ในอ้อมอกมู่หรงมู่ที่เฝ้ารอมานานแล้ว ทำเหมือนกับว่ามองไม่เห็นสายตาขัดข้องใจของเฟิงเยี่ยนเฉิง
ก่อนจะเงยหน้าหันไปทางฉินเจา แววตาของเขาแจ่มชัดแต่ไร้ซึ่งระลอกความรู้สึกใด เห็นแล้วทำให้รู้สึกเหมือนตกลงไปในห้องน้ำแข็ง “ดินปืนด้านอก เป็นเพียงของเด็กเล่นเท่าน้ัน”
คำพูดของเขาทำให้ฉินเจาที่พอมีหวังอยู่บ้างถูกโจมตีอย่างรุนแรงจนเนื้อตัวแตกยับเยิน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาสิ้นหวังเพียงใด ทุกอย่างที่มีได้ลอยหายไปกับสายลมแล้ว
ฉินเจายกมือขึ้น ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว ตรงหน้าวาบไหว มู่หรงชูอวิ๋นตกไปอยู่ในอ้อมอกของเฟิงหลีเลี่ยเสียแล้ว จึงทำได้เพียงกำฝ่ามือแน่น แล้วจับดาบชูขึ้นพุ่งตัวไปข้างหน้า มู่เยี่ยนรีบเข้ามาขวางไว้ สถานการณ์รอบด้านพลันเกิดความโกลาหล นิ้วมือเฟิงหลีเลี่ยอันเอิบอิ่มเต็มไปด้วยรอยด้านบรรจงเช็ดหยาดน้ำตาเม็ดเปล่งที่ทะลักออกมาจากหางตาของนาง “อย่ากลัว มีข้าอยู่” ต่อไปจะไม่ยอมให้ใครมารังแกเจ้าได้อีก
มู่หรงชูอวิ๋นไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป น้ำตาหลั่งรินดั่งสายฝนร่วงหล่นเป็นสาย โผเข้าใส่อ้อมกอดที่ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยของเฟิงหลีเลี่ย “พี่ชายใหญ่”
เฟิงหลีเลี่ยลูบแผ่นหลังสั่นเทาร้องไห้สะอึกสะอื้นของนางอย่างเบามือ บรรจงลูบปลอบอย่างอ่อนโยนราวกับปลอบเด็กน้อย เฟิงเยี่ยนเฉิงกวาดตามองพวกเขาไปทีหนึ่ง บอกแล้วว่ามู่หรงชูอวิ๋นเป็นเด็กขี้แยร้องน้ำไห้น้ำมูกโป่ง อย่างไรแล้ววันนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย เกือบจะไม่ได้เจอหน้าพวกเขาแล้ว ก่อนจะหันไปจ้องมู่หรงมู่ที่ไม่เห็นองค์รัชทยาทอย่างเขา นั่นมันหลานชายของเขา นี่ก็นานมากแล้วยังไม่ยอมให้เขาได้อุ้มสักนิด กลับไปจะต้องทูลเสด็จพ่อให้ส่งมู่หรงมู่ไปประจำชายแดนตะวันตกเฉียงเหนืออันไกลโพ้น เช่นนั้นก็จะไม่มีคนมาแย่งหลานชายกับเขาแล้ว
เฟิงหลีเลี่ยกำลังจะพามู่หรงชูอวิ๋นออกไปให้พ้นจากสถานที่ฟุ้งคาวเลือดแบบนี้ ก็ได้ยินนางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “พี่ชายใหญ่ อย่าฆ่าพวกเขา” นางไม่อยากให้มีคนตายเพราะนาง
เฟิงหลีเลี่ยมองนางแล้วนิ่งเงียบอยู่นาน คิ้วขมวดแน่น ก่อนจะรับปากนาง สำหรับเรื่องจะรอดหรือตายนั้นก็ขึ้นอยู่กับโชคในวันนี้ของพวกเขาแล้ว จากนั้นก็อุ้มนางจากไป เรื่องหลังจากนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว เฟิงเยี่ยนเฉิงแย่งกุยอวิ๋นมาจากอ้อมอกของมู่หรงมู่ “แม่ทัพมู่ เรื่องที่นี่ขอมอบให้ท่านจัดการแล้วกัน อย่าทำให้ข้าและเสด็จพ่อผิดหวัง”
มู่หรงมู่กวาดตามองพวกเขาอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะเข้าไปร่วมการต่อสู้ ถึงตอนนี้ไม่ต้องคิดอะไรแล้วก็สามารถวางมือไปสะสางเรื่องตรงหน้าให้เกลี้ยง