เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 433 เฟิงหลีเลี่ย
ข้ามีนามว่าเฟิงหลีเลี่ย ช่วงก่อนที่ข้าจะหกขวบยังไม่รู้ว่าตัวเองมีชื่อว่าอะไร และไม่รู้ว่าสิ่งใดคือการพูด ข้าเคยเลียนแบบเสียงร้องของนกบนต้นไม้ ข้ารู้สึกว่าเสียงของมันไพเราะกว่าเสียงของข้า และยังเคยเลียนเสียงร้องของนกที่มีสีดำทั้งตัว แม่นมใบ้ได้ยินแล้วน้ำตาก็ไหล เอามือปิดปากห้ามไม่ให้เขาร้อง เสียงของพวกมันไพเราะกว่าผู้หญิงในห้องคนนั้นที่มักจะดึงผมของเขาอยู่ทุกเมื่อ เขาเคยคิดว่าสักวันร่างกายของเขาจะมีขนนกงอกออกมา เขาจะได้โบยบินไปพร้อมกับพวกมัน หนีไปให้ไกลจากสถานที่แห่งนี้ ไม่ให้พวกเขาตามหาเจอ มีครั้งหนึ่งเขาเคยมุดไปอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่อันเขียวขจี แสงแดดอันเกียจคร้านสาดส่องจนเขาเคลิ้มหลับไป
กระทั่งเขาตื่นขึ้นมา แสงตะวันรอนสาดสะท้อนไปทั่วทั้งวังเย็นแห่งนี้ เขาอดไม่ได้ยื่นมือออกไปสัมผัส นี่เป็นสิ่งที่เขาชอบที่สุด
“กรีด…” เสียงกรีดร้องโหยหวนใต้ต้นไม้ได้ดึงจิตนาการของเขากลับมา ผู้หญิงเสียสติคนนั้นเริ่มกรีดร้องอีกแล้ว เอาแต่ตะโกนร้อง “ลูกของข้า ลูกของข้า” เห็นแม่นมใบ้ที่กว่าจะจัดการเก็บของเข้าที่เรียบร้อยได้ไม่ง่ายเลย ตอนนี้ของทุกอย่างกระจัดกระจายเต็มพื้นอีกแล้ว ผลไม้ที่เขาและแม่นมใบ้ช่วยกันเก็บมาตกกระจายเต็มพื้น เขาโมโหจนกระโดดลงมาจากต้นไม้ เข้าไปผลักผู้หญิงคนนั้นอย่างแรง สายตาเปี่ยมไปด้วยความโกรธเคือง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโมโห ตอนแรกผู้หญิงคนนั้นได้เห็นเขาก็ชอบเขามาก แววตาซับซ้อนจนทำให้เขามองไม่เข้าใจ แต่วินาทีถัดมาก็คือสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุด ผู้หญิงคนนั้นก็หยิบไม้กระบองด้ามหนึ่งขึ้นมา แล้วตีกระหน่ำลงบนร่างกายของเขา ทว่าเขากลับไร้ความรู้สึกเจ็บปวด เนื่องจากแทบจะทุกวันที่เขาถูกกระทำเช่นนี้ จนเขาชินชาเห็นเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
ก่อนหน้าที่ผู้หญิงสติฟั่นเฟืองคนนั้นจะหายไป เขาเห็นนางล้มลงไปกับพื้น ปากสำลักฟองสีขาว ดูน่าสยดสยองเป็นที่สุด เขาเห็นนางนอนอยู่กับพื้นในสภาพที่น่าสังเวทเป็นที่สุด คล้ายกับฟุบลงไปกองอยู่กับพื้นไม่อาจลุกขึ้นได้ด้วยตัวเอง เดิมคิดอยากจะยื่นมือไปพยุงนางลุกขึ้น แต่ได้เห็นมือของนางที่ยื่นออกมา เขาก็วิ่งหนีออกไปไกล เพราะเขาคิดถึงว่าเมื่อไม่นานมานี้มือคู่นั้นได้บีบคอของเขาแทบตาย เขาที่วิ่งหนีออกไปไม่ทันได้เห็นผู้หญิงคนนั้นมีน้ำตาแห่งความขมขื่นไหลออกมา ปากพึมพำไม่หยุด “ลูกรัก อย่าไป แม่ผิดไปแล้ว…”
ทว่าตอนที่เขารู้สึกปวดท้อง ลำไส้บิดเบียดทรมานจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ เขาทอดมองด้วยความสิ้นหวังไปทางแม่นมใบ้ที่คอยปกป้องเขามาโดยตลอด แล้วผลักนางออกสุดแรง วิ่งโซซัดโซเซออกนอกประตูไป ทุกคนที่นี่ไม่มีใครชอบเขาทั้งนั้น แม้แต่แม่นมใบ้ก็เช่นเดียวกัน บางทีเขาจากไปเสียทุกอย่างคงจะดีกว่านี้
เขาวิ่งไปชนกับคนที่ตัวเท่ากันกับเขาคนหนึ่ง เพียงแต่ใบหน้าของเขาคว่ำลงไป เส้นผมยุ่งเหยิงกระจัดกระจายอยู่ที่แผ่นหลัง ทว่าคนที่ตัวเล็กกว่าเขามีผิวพรรณขาวใสใบหน้าละเอียดอ่อน เส้นผมได้รับการดูแลจัดแต่งอย่างพิถีพิถัน สิ่งที่ไหลลงมาจากตาของเขามันร้อนมาก แม้แต่จะร้องออกมายังร้อนผ่าวไปทั่วทั้งหน้าอก คล้ายกับมีแผ่นเหล็กร้อนแผดเผาอยู่ตรงน้ัน
จากนั้นมาเขาก็มีชื่อเป็นของตัวเอง เรื่องราวตอนที่เขาอยู่ในวังเย็นคล้ายกับหมอกควันที่จางหายไปจนสิ้นในชั่วพริบตา แม้ว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยคอยย้ำเตือนสติให้เขาจำเรื่องราวเหล่านั้น แต่คนที่เขาอิจฉาที่สุดก็คือเฟิงหลีเย่ มารดาของเขาคือพระสนมเซียว ทุกวันนางจะลูบใบหน้ารูบไข่ของเขาด้วยความอ่อนโยน เอ่ยถามว่าเขาเหนื่อยหรือไม่ ไหนเลยจะเหมือนกับผู้หญิงเสียสติให้ห้องกว้างใหญ่นั่นที่เกือบจะบีบคอเขาจนตายไปแล้ว พระสนมเซียวกอดเฟิงหลีเย่ไว้ในอ้อมอก บีบปลายจมูกเขาอย่างสนิทสนม แต่ตัวเขากลับเป็นเหมือนพวกถ้ำมอง ได้แต่แอบมองทุกอย่างนี้ คนหนึ่งก็คือมารดาเลี้ยงของเขา และอีกคนก็คือคนที่เขาพูดกันว่าเป็นพระบิดาผู้ให้กำเนิดเขา
มีอยู่ครั้งหนึ่งในงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ในวันนั้นมีผู้คนมาร่วมงานมากมาย เนื่องจากเขาได้ยินคนพวกนั้นพูดจาหัวเราะเยาะเขาอยู่หลายครั้ง เขาจึงไม่ได้พูดคุยอะไรกับพวกเขา เพราะเขารู้ตัวว่าตนแตกต่างจากพวกเขา
ทว่าเขากลับเห็นเด็กผู้หญิงสวยมากคนหนึ่ง สวยยิ่งกว่าผู้หญิงในภาพวาดที่เขาเคยเห็นมาเสียอีก ความจริงเขามองเห็นนางตั้งแต่วินาทีแรกที่นางปรากฎตัวออกมาแล้ว นางยิ้มตาหยี แก้มมีลักยิ้มบุ๋มลงไป แม้แต่คิ้วก็ยังเป็นเสี้ยวโค้ง
มู่หรงชูอวิ๋นกระพริบดวงตาเป็นประกายไร้เดียงสา มองเฟิงหลีเลี่ยที่โดนผลักลงไปกองกับพื้นต่อหน้าของนาง “เจ้าลุกไหวไหม? ให้ช่วยดึงเจ้าไหม?” พูดจบก็ยื่นแขนอวบอิ่มของนางออกไป
ฝูงชนข้างหลังตะโกนเสียงดัง “ยัยปัญญาอ่อนเล่นกับคนที่ไม่มีใครต้องการ” ตะโกนแล้วก็พากันหัวเราะเสียงดังลั่น
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเกลียดชังคนกลุ่มนั้น แทบอยากกดพวกเขาลงกับพื้นแล้วกระหน่ำชกพวกเขาแรงๆ เขารู้ว่าตัวเองเป็นเด็กที่ไม่มีใครต้องการ แต่เขาไม่รู้สึกว่าคนตรงหน้าของเขา คนที่มีรอยยิ้มดูดีราวกับแสงตะวันในฤดูเหมันต์ผู้นั้นจะเป็นคนปัญญาอ่อน คนที่ดีขนาดนั้นจะเป็นยัยปัญญาอ่อนได้อย่างไร เขาจับผลัดจับผลูใช้มือของเขาเช็ดเสื้อผ้าอยู่หลายที เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีตรงไหนสกปรก จึงยื่นมือไปจับมืออวบอิ่มของนาง อ่อนนุ่มให้ความรู้สึกสบายเป็นที่สุด จนเขาไม่อยากจะปล่อยมือ แล้วนิ้วมือทั้งสิบก็สอดประสานเข้าด้วยกันอย่างไม่รู้ตัว
มู่หรงชูอวิ๋นกระพริบดวงตากลมโตที่วูบไหวเป็นประกาย มืออีกข้างที่ว่างอยู่ล้วงไปหยิบเค้กดอกไม้สีขาวสองชิ้นออกมาจากถุงผ้าเล็กกระทัดรัด “เจ้าอยากกินไหม? พ่อของข้าเอากลับมาจากสถานที่อันไกลโพ้น อร่อยมากเลยนะ”
เฟิงหลีเลี่ยรับเค้กดอกไม้ที่แตกเล็กน้อยจากมือของนางแล้วยัดเข้าปาก ให้รสชาติสัมผัสของความหอมหวาน แม้แต่กลิ่นหอมของนมก็หอมหวานเป็นพิเศษ นี่เป็นของที่อร่อยที่สุดที่เขาเคยกิน
ทว่าผ่านไปเพียงไม่นาน เด็กผู้ชายที่สวมชุดแต่งกายหรูหราคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา มู่หรงชูอวิ๋นปล่อยมือออกจากเขา แล้วไปกุมมือของคนคนนั้น ร้องเรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน “พี่รอง พี่ไปหลบอยู่ที่ไหนแล้ว? อวิ๋นเอ๋อร์ตามหาท่านอยู่นานก็หาไม่เจอ นี่คือเพื่อนที่ข้าเพิ่งรู้จัก เขาไม่ได้เรียกข้าว่ายัยปัญญาอ่อน” ความไม่พอใจจางๆ คล้ายกับเสียงอ้อนเหมือนเด็ก สีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา เขาอดมองเหม่อไม่ได้
มู่หรงมู่ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ส่งสายตาระแวดระวังเหลือบมองเฟิงหลีเลี่ย “ท่านย่าและท่านปู่เรียกหาเจ้านานแล้วคงจะร้อนใจกันไปหมดแล้วล่ะ” พูดจบก็จูงมือมู่หรงชูอวิ๋นกลับไปยังเส้นทางที่เขาเพิ่งมา ก่อนเข้าวังหลวงท่านย่าได้มอบหน้าที่ให้เขาคอยดูแลมู่หรงชูอวิ๋น
มู่หรงชูอวิ๋นถูกดึงให้เดินไปอย่างรวดเร็ว หันหน้ากลับมาตะโกนบอกเฟิงหลีเลี่ยที่ยังคงยื่นนิ่งอยู่ที่เดิม “ข้าชื่ออวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าชื่ออันใด? ครั้งหน้าข้าจะมาเล่นกับเจ้าใหม่นะ”
คำตอบว่าข้าชื่อเฟิงหลีเลี่ยในตอนนั้นของเฟิงหลีเลี่ยติดอยู่ที่ลำคอของเขา แล้วพวกเขาก็หายไปไม่เห็นอีกเลย อวิ๋นเอ๋อร์ชื่อนี้ประทับอยู่ในใจของเขามาโดยตลอด เขาได้แต่เฝ้ารอคนที่ชื่อว่า “อวิ๋นเอ๋อร์” มาเล่นกับเขาอีก แม้แต่เก็บไปฝันหลายร้อยพันครั้ง แต่ก็ไม่เคยเห็นนางปรากฎตัวมาอีกเลย ราวกับว่าคนที่ชื่ออวิ๋นเอ๋อร์นั่นเคยปรากฎตัวในความฝันเท่านั้น
ในวันนั้นที่ป่าเขาอันห่างไกล เขาได้พบกับดวงตาที่ปรากฎอยู่ในความฝันของเขาเป็นพันครั้งอย่างอดไม่ได้ ได้เห็นว่านางเกือบจะโดนคนร้ายสองคนนั้นทำร้ายเสียแล้ว เขาโมโหมาก เพลิงโกรธพุ่งทะลุฟ้า ทว่าสีหน้าของเขาไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้เห็นเลย
ได้เห็นใบหน้าของนางเปื้อนดินโคลน แขนถลอกเป็นแผล ทว่าไม่อาจเดินขึ้นหน้าไปหาได้ เพราะเขาพบว่าในสายตาของมู่หรงชูอวิ๋นที่มองเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้า หนำซ้ำยังแฝงไปด้วยสายตาสำรวจอย่างระแวดระวัง ไม่มีความประหลาดใจเลยแม้แต่น้อยที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง นางลืมแล้ว ลืมว่านางเคยสัญญาจะกลับมาหาเพื่อนใหม่คนหนึ่งของนาง
ในที่สุดเขาก็ได้รู้จักชื่อของนางจากปากของเฟิงหลีเย่ เป็นชื่อที่ไพเราะมาก เหมือนกับความเป็นตัวนาง ปุยเมฆแรกแย้ม สุกใสสะดุดตา
ตอนที่เสี่ยวฮุยฮุยกระโดดเข้ามาอยู่อกของเขานั้น เขาตบลูบมันเบาๆ เพื่อปลอบโยนไม่ให้มันหวาดกลัว เมื่อนำกลับมาด้วยก็ได้ตั้งชื่อให้มันตามชื่อที่นางตั้งไว้