เพียงหนึ่งใจ - ตอนที่ 434 ฉินอวิ๋นลั่วและน่าหลันอี้ / ตอนที่ 435 อวสาน
ตอนที่ 434 ฉินอวิ๋นลั่วและน่าหลันอี้
ฉินอวิ๋นลั่วลงเขาไปเก็บสมุนไพรเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เมื่อวานนางเพิ่งร่ำเรียนตำหรับยาแขนงหนึ่งจากท่านอาจารย์ ทว่ายังขาดยาไปตัวหนึ่ง ใจรีบร้อนดั่งไฟอยากจะรู้ผลของมัน ฟ้าเพิ่งจะสางเห็นหมอกสีขาวนางก็ลงเขามาเสียแล้ว
ทอดมองดวงอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตก นางก็ยังหาสมุนไพรทำยาตัวนั้นไม่พบ รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ดูท่าคงต้องเป็นครั้งหน้าเสียแล้ว เช็ดเหงื่อที่ปลายหน้าผาก จากนั้นก็เดินไปตามปลายเขา ขาซ้ายพลันหนักอึ้งดั่งทองพันชั่งยกไม่ขึ้น เมื่อนางก้มหน้ามองไปไม่รู้ว่ามือที่ไหนมาจับข้อเท้าของนางไว้แน่น นางตกใจสะดุดล้มลงไปกับพื้น สายตามองจ้องคนที่มีเลือดท่วมกาย อยากจะหนีทันที ทว่านางยิ่งขยับมือที่จับข้อเท้าของนางก็ยิ่งออกแรงมากขึ้น แทบจะบีบข้อเท้าของนางจนหักไปแล้ว
คนผู้นั้นยกหนังตาขึ้นด้วยความยากลำบาก หน้าของเขาเปื้อนไปด้วยเลือดจนมองเค้าโครงเดิมไม่ออก “ช่วยด้วย…” พูดจบก็ฟุบลงไปกองกับพื้น
ฉินอวิ๋นลั่วรู้สึกได้ว่าข้อเท้าของนางถูกปล่อยแล้ว ตะกร้าเก็บสมุนไพรก็ไม่อยากได้แล้ว รีบวิ่งลงปลายเขาไปไม่หันหน้ากลับมามอง อย่างไรแล้วการที่เขามีเลือดท่วมตัวเช่นนี้แสดงว่าต้องเป็นคนไม่ดีแน่ หากไม่ถูกตามฆ่า ก็ต้องเป็นผู้ร้ายเดนตาย
กระทั่งวิ่งมาถึงช่วงกลางของภูเขา หันหน้ากลับไปมองไม่เห็นมีใครตามมาแล้ว จึงจะกล้าไปพิงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หอบหายใจสุดชีวิต หลังของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ หัวใจเต้นตูมตามแทบจะกระเด็นออกมา
พอหายใจได้สะดวกขึ้น ยังไม่ทันก้าวเดินได้เท่าไรก็ต้องชะงักลง นางฉุกคิดถึงคำสอนของท่านอาจารย์ ช่วยชีวิตคนเท่ากับการกอบกู้ของตนเอง ผู้เป็นหมอไม่ควรปฏิเสธที่จะช่วยเหลือคนไข้ที่เป็นโจรหรืออาชญากร ทุกคนล้วนมีชีวิต คำสอนนี้ก้องอยู่ในหัวของนางหลายรอบ สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับขึ้นเขาไป คนผู้นั้นยังคงนอนแน่นิ่งอยู่เช่นเดิม สมุนไพรในตะกร้าไม่ไผ่ยังคงหกกระจายอยู่ในก่อหญ้าเหมือนกับตอนที่นางวิ่งนี้ไปเช่นนั้น
นางยื่นมือไปทดสอบลมหายใจของเขาด้วยความระแวดระวัง พบว่าเขายังมีลมหายใจอยู่ ท้องฟ้าปรอดโปร่งเมื่อครู่บทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไปกระทันหัน เกิดลมพายุอย่างคาดไม่ถึง แล้วฝนก็กระหน่ำมีเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า ฉินอวิ๋นลั่วลากคนผู้นั้นด้วยความทุลักทุเล เพื่อไปยังถ้ำแห่งหนึ่งที่นางมักจะเข้าไปพักผ่อนยามที่เก็บสมุนไพรจนค่ำ ขณะที่นางช่วยเขาจัดการบาดแผล ก็พบว่ารอยมีดเต็มตัวยังเป็นแผลสด อีกทั้งแผลเริ่มเน่าแล้ว เมื่อนางปลดเสื้อผ้าของเขาออกก็ได้พบกับแผ่นหยกแปลกประหลาดชิ้นหนึ่ง จากนั้นจึงนำไปกองรวมไว้กับเสื้อผ้าของเขา
ผ่านไปสามวันเขาถึงได้สติฟื้นขึ้นมา ไข้ก็ลดลงแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมาสายตาคมกริบดั่งวังน้ำวนคู่นั้นได้มองจ้องนางลึกลงไป หลังจากฉินอวิ๋นลั่วแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นคนดี ช่วงเวลานี้นางจึงมักจะขึ้นเขาเพื่อมาดูแลเขา
ทุกวันนางชอบเท้าคาง มองดูเขาจับกระบี่ร่ายรำอย่างสง่างาม นางไม่เคยเห็นใครสามารถฝึกดาบได้งดงามเพียงนี้มาก่อนเลย คล่องแคล่วดั่งสายน้ำไหล
กระทั่งวันหนึ่งเขาจะต้องจากไปชั่วคราว เขาจึงมอบแผ่นหยกนี้ให้กับฉินอวิ๋นลั่ว เขาบอกว่านี่เป็นแผ่นหยกที่ท่านแม่มอบให้เขา เพื่อให้เขามอบมันให้กับภรรยาในอนาคต ฉินอวิ๋นลั่วรู้ว่าเขาต้องการไปแก้แค้น ไปหาตัวคนที่บังคับให้เขาต้องตกจากหน้าผามา ฉินอวิ๋นลั่วเป็นห่วงเขามาก แต่ก็ทำได้เพียงมองเขาจากไป ความเขินอายได้ถูกความเป็นกังวลปกคลุมไว้จนสิ้น
ตอนที่น่าหลันอี้กลับมาเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด ร่างกายมีแผลเล็กแผลใหญ่เต็มไปหมด ฉินอวิ๋นลั่วไม่รู้ว่าเขาไปเจอกับสิ่งใดมาบ้าง ได้เพียงช่วยเขาจัดการบาดแผลอยู่เงียบๆ ทำแผลให้อย่างเบามือที่สุดเพราะกลัวว่าจะไปโดนบาดแผลของเขา
มีอยู่วันหนึ่งที่นางลงเขามา ได้เห็นชายผู้หนึ่งยืนตัวตรงอยู่ข้างท่านอาจารย์ของนาง ความรู้สึกยินดีปลาบปลื้มพลันต้องตกลงก้นหุบเขา เมื่อนางได้ทราบว่าชายผู้นั้นมาเพื่อรับตัวนางกลับไป แต่สิ่งที่ทำให้นางยิ่งรู้สึกสิ้นหวังก็คือ เขาไม่เคยถามความยินยอมของนางแม้แต่น้อย ก็ตกลงให้นางแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคยพบหน้า เพียงเพราะเขาคนนั้นมีพรสวรรค์
นางวิ่งกลับเข้าไปในป่าบอกให้น่าหลันอี้พานางหนีไป น่าหลันอี้ไม่รู้ว่านางมีเรื่องอะไร แม้ว่าที่นี่จะปลอดภัยมาก แต่เขาก็ตกลงรับปากนาง
ตอนที่พวกเขากำลังจะหนีออกไปได้ นางไม่ทันระวังไปเหยียบค่ายกลหนึ่งเข้า กระบี่เต็มฟ้าพุ่งตกลงมาดั่งสายฝน น่าหลันอี้ต้องการปกป้องนาง หัวไหล่ข้างหนึ่งถูกยิงได้รับบาดเจ็บ
ฉินอวิ๋นลั่วมองเห็นคับคล้ายคับคลาว่ามีคบเพลิงเป็นผืนสีแดงกำลังใกล้เข้ามาถึงพวกเขา จึงเร่งให้น่าหลันอี้หนีไปก่อน
น่าหลันอี้รู้ว่าวันนี้ไม่อาจพานางกลับไปด้วยได้แล้ว หากจะรั้งอยู่ที่ป่าเขียวก็เกรงว่าจะไม่มีฟืนไฟ จึงได้หนีไปก่อน ทว่าได้บอกกับนางว่าเขาจะต้องกลับมาพานางออกไปแน่
เมื่อได้รู้ว่านางทำเรื่องเช่นนี้ ต้องการจะหนีตามผู้ชายไป คนที่นางเรียกว่าท่านพ่อคนนั้นได้ตบหน้าของนางอย่างแรง ชี้ปลายดาบอันเป็นสัญลักษณ์ของหัวหน้าชนเผ่ามาที่นาง ทว่าสุดท้ายนางก็ได้ถูกคนที่นางเกลียดชังที่สุดช่วยชีวิตเอาไว้
ผู้อาวุโสเจ็ดมองฉินอวิ๋นลั่วที่นับวันก็ยิ่งผอมโซ จึงเอ่ยพูดอย่างไม่เต็มใจ “เขาดีถึงเพียงนั้นเลยหรือ? ถึงทำให้เจ้าไม่อยากได้แม้แต่ชีวิต”
ฉินอวิ๋นลั่วไม่ตอบเขา ได้แต่มองเขาด้วยสายตาเย็นชาแล้วเดินจากไป ความดีของน่าหลันอี้ มีเพียงนางที่รู้ นางกำลังรอให้น่าหลันอี้กลับมาช่วยนาง ซึ่งก็เป็นอย่างที่นางคิดไว้ ไม่นานน่าหลันอี้ก็พาคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาช่วยนาง ขณะที่มือของพวกเขาใกล้จะได้สัมผัสกัน นางเห็นปลายกระบี่ของชายคู่หมั้นแทงทะลุหน้าอกของเขา พ่นโลหิตซาดกระเซ็นไปบนบุปผาหงส์ไฟ สีแดงเร้าร้อนดั่งดวงอาทิตย์ วินาทีที่เขาฟุบลงกับพื้น นางหันหน้ากลับไปมองท่านอาจารย์ด้วยแววตาเสียใจอย่างสุดซึ้ง ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้เหลือบมองพ่อแม่ที่เลี้ยงดูนางเลย แม้กระทั่งวินาทีที่นางตัดสินใจกระโดดหน้าผาจบชีวิตก็ตาม ชีวิตนี้เสียใจไม่อาจทดแทนบุญคุณได้ หวังว่าชาติหน้าคงได้มีโอกาสชดใช้แทน
ผู้อาวุโสเจ็ดรู้สึกผิดเป็นที่สุด หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว เขาคุกเข่าอยู่ในหมู่บุปผาหงส์ไฟ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสังหารน่าหลันอี้ ตนเพียงแต่ต้องการประลองกับเขา เพื่อพิสูจน์อย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาว่าผู้ใดจะได้ครอบครองฉินอวิ๋นลั่ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดกระบี่ของเขากลับยื่นใส่น่าหลันอี้ เพราะเท้าของเขาเสียหลัก ปลายกระบี่จึงตรงเข้าแทงทะลุหน้าอกของเขาเสียแล้ว ผู้อาวุโสเจ็ดได้พยายามอย่างยากลำบากสุดท้ายก็สามารถหาศพของพวกเขาทั้งสองจนเจอ เก็บกลั้นความทุกข์ใจฝังร่างของพวกเขาไว้ด้วยกัน ทุกวันเก็บตัวอยู่ในแท่นบูชาเพื่อสวดมนต์ขอพรให้พวกเขา หวังว่าชาติหน้าพวกเขาจะไม่ต้องพบเจอกับความทุกข์ตรมเช่นนี้อีก
ตอนที่ 435 อวสาน
“เฟิงหลีเย่ ท่านรีบเปิดผ้าคลุมหน้าสิ ไม่ต้องเขินหรอก”
เฟิงหลีเย่ถือไม้คันชั่งนั่งอยู่ขอบเตียงพลันกระตุกมุมปาก กวาดตามองเฟิงเยี่ยนเฉิงที่เกาะอยู่ขอบหน้าต่าง ถัดจากเฟิงเยี่ยนเฉิงยังมีเจ้าเด็กน้อยหัวแครอท ช่วยร้องบอก “ใช่แล้ว เสด็จอาเจ็ดไม่ต้องเขินหรอก ไม่ก็ให้กุยอวิ๋นช่วยท่านเปิดผ้าไหม” กุยอวิ๋นได้เห็นงานมงคลของเฟิงหลีเย่ในวันนี้ก็รู้สึกแปลกใหม่เป็นพิเศษ โดยเฉพาะได้เห็นไม้คันชั่งสีแดงนั่นแล้วก็เกิดอาการคันไม้คันมือ อดใจไม่ไหวกับท่าทีชักช้าลีลาของเฟิงหลีเย่ ตะโกนร้องออกไปราวกับพวกสตรี
เมื่อสองเดืิอนก่อน ในที่สุดพระสนมเซียวก็ได้ยินลูกชายโสดอายุมากของตัวเองเอ่ยปากว่าต้องการแต่งงานแล้ว ในที่สุดความกังวลที่เก็บมานานก็ได้ปล่อยวางสักที หากได้รู้ว่างานแต่งถูกเจ้าเด็กหัวแครอทที่ตนรักและตามใจเป็นที่สุดมาป่วนปลุกห้องเจ้าสาวด้วย นางจะต้องโมโหจนอยากอัดเขาอย่างแน่นอน
เฟิงหลีเย่คิดว่าต่อไปเขาจะต้องเคร่งขรึมเหมือนกับพี่สี่สักหน่อย ตัวเล็กแค่นี้จะมาเลียนแบบผู้ใหญ่ปลุกห้องเจ้าสาว โตขึ้นไปไม่ยิ่งกว่านี้หรอกหรือ ต้องให้เขาอยู่ห่างเฟิงเยี่ยนเฉิงสักหน่อยเป็นดี
เฟิงหลีเย่ใช้สายตาสั่งให้องครักษ์ลับสองสามคนเหาะออกไปตามเด็กน้อยสองคนนั้น เฟิงเยี่ยนเฉิงที่พอจะมีวรยุทธ์อยู่บ้าง ได้แต่เหลือบมองกุยอวิ๋นผู้หน้าสงสาร ส่วนตัวเองก็หลบหนีออกไปก่อน ทางด้านกุยอวิ๋นที่หนาวจนจามยังไม่รู้ตัวว่าโดนเสด็จอาคนเล็กขายเขาเสียแล้ว
เฟิงหลีเลี่ยวันนี้โดนชนแก้วอยู่ไม่น้อย แต่ว่าหลังดื่มเหล้าก็ยังชอบที่จะเดินออกมาตากลม หางตาเหลือบไปเห็นเด็กน้อยโชคร้ายถูกองครักษ์ลับหิ้วกลับมาอย่างน่าสงสาร
จึงดึงเสื้อผ้าของเขา “ไปก่อเรื่องวุ่นวายกับเสด็จอาเล็กของเจ้าอีกแล้ว สร้างเรื่องกวนใจเสด็จแม่ของเจ้าได้ทั้งวัน”
เมื่อหกเดือนก่อนมู่หรงชูอวิ๋นตั้งครรภ์แล้ว ดังนั้นครั้งนี้นางจึงไม่ได้มาร่วมงานด้วย ส่วนเด็กหัวแครอทที่เมื่อก่อนจะคอยตามหลังเสด็จแม่สร้างเรื่องวุ่นวายอย่างเหิมเกริมได้ อยู่ๆ เสด็จแม่ก็ไม่สามารถมาเล่นเป็นเพื่อนเขาได้อีก ท้องก็ใหญ่ขนาดนั้น ทำเอาเขาเป็นห่วงอย่างมาก แม้ว่าการมีน้องชายน้องสาวจะเป็นเรื่องดี แต่เขาชอบให้เสด็จแม่รักและตามใจเขาที่สุด ทุกวันนี้เขาจะสามารถลูบท้องของมู่หรงชูอวิ๋นได้ก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าเฟิงหลีเลี่ยเท่านั้น
“เปล่านะ ข้าเพียงแต่ไปดูเสด็จอาเจ็ดปลุกห้องเจ้าสาวเท่านั้นเอง เสด็จพ่อปลุกห้องเจ้าสาวคืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
อี้หวังที่ชำนาญภูมิศาสตร์ทำเลชัยภูมิมาโดยตลอด ก็ต้องมีจุดที่ตอบยากบ้าง จึงโบกหลังศีรษะของเขาอย่างแรง “ยังเด็กยังเล็กถามโน้นนี่มากมายทำไม?”
“ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว ข้าโตใกล้จะขอเสด็จแม่แต่งงานได้แล้ว”
“มู่เยี่ยน” เฟิงหลีเลี่ยโยนกุยอวิ๋นไปให้มู่เยี่ยน เดินจากไปไม่หันมามองอีก อวิ๋นเอ๋อร์ของเขาเป็นผู้หญิงของเขาคนเดียว ไม่ว่าใครก็แย่งไปไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเทพยดาก็ตาม เด็กหัวแครอทตัวเล็กเหมือนลูกนกที่ยังไม่มีขนกล้ามาแย่งภรรยากับเขาอย่างนั้นหรือ
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น แม้ว่าเฟิงหลีเลี่ยจะเคยผ่านประสบการณ์ที่มู่หรงชูอวิ๋นคลอดลูกมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ไหนจะมีเจ้าลูกชายตัวแซบที่คิดจะแย่งภรรยาของเขาอีก มีกุยอวิ๋นคนเดียวก็ยากจะจัดการแล้ว วันนี้ยังจะมีเพิ่มมาทีเดียวอีกสองคน ล้วนแต่แกล้งทำตัวน่าสงสารเก่งกันทั้งนั้น ทุกครั้งเวลาที่เฟิงหลีเลี่ยตำหนิพวกเขา เด็กหัวแครอททั้งสามคนก็จะชำเลืองไปทางมู่หรงชูอวิ๋น คนหนึ่งร้องไห้อีกคนก็ร้องไห้ตาม แสดงออกชัดเจนว่าเขาเป็นคนร้ายน่ากลัวเป็นที่สุด เขารู้สึกเสียใจภายหลังเป็นอย่างยิ่ง หากรู้แต่แรกจะต้องให้กำเนิดลูกสาวที่น่ารักเหมือนกับมู่หรงชูอวิ๋น ร้องเรียกท่านพ่อเสียงอ่อนหวานคงจะดีกว่ามาก
เฟิงหลีเลี่ยยังไม่ทันผลักประตูเปิดเข้าไป ก็ได้ยินพวกเด็กหัวแครอทห้อมล้อมมู่หรงชูอวิ๋นเอ่ยพูดอย่างใส่ใจ “เสด็จแม่ ข้าโตแล้วจะมาขอเสด็จแม่แต่งงานพ่ะย่ะค่ะ”
เท้าเซสะดุดเกือบล้มไปกับพื้น ผลักประตูเข้ามาด้วยความโมโห ทั้งเด็กเล็กเด็กโตต่างพากันมองมาที่เขา