บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 364 เข็มแข็งและอ่อนแอ
ถาวจวินหลันถามเช่นนี้ก็ด้วยอยากดูว่าองค์หญิงเก้าจะยินยอมสารภาพหรือไม่ แม้ว่าถาวจวินหลันจะรู้ว่าทำเช่นนี้ดูต้อยต่ำ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถระงับความมุทะลุในใจได้
องค์หญิงเก้ามองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง ผ่านไปนานถึงพูดออกมาเสียงเบา “ข้ายังขับไล่คนของฮองเฮาที่อยู่ข้างกายข้าออกไปด้วยข้ออ้างต่างๆ นานา อย่างไรเสีย ในเมื่อออกจากวังหลวงแล้ว ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องถูกคนบังคับควบคุมอยู่อีก ข้าอยากเป็นนายตัวเอง อยากใช้ชีวิตของตน”
ที่องค์หญิงเก้าไม่ได้พูดออกมาก็คือ นางเหน็ดเหนื่อยกับการต้องระแวดระวังอยู่ตลอดเวลาเมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮา แล้วยังต้องทนรับสายตาสืบสวนจับจ้องทุกสิ่งอย่างในทุกวัน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่ฮองเฮาแทรกแซงเอาไว้ก็ใช้ฐานะของตนมากลั่นแกล้งนาง
ในใจของถาวจวินหลันไม่สามารถพูดได้ว่ายินดี แล้วยังรู้สึกดูถูกตนเอง แต่ว่าโดยภาพรวมแล้วกลับรู้สึกพอใจ ท่าทีสารภาพขององค์หญิงเก้าเช่นนี้ทำให้ปมที่ผูกกันแน่นในใจของนางลดน้อยไปมากเลยทีเดียว
“ควรจะต้องเป็นเช่นนี้” ถาวจวินหลันพยักหน้าเห็นด้วย “ที่นี่คือบ้านตระกูลถาว ไม่ใช่วังส่วนใน เส้นสายของฮองเฮาไม่ควรยื่นมาถึงที่นี่ อีกทั้งเจ้าเป็นองค์หญิง จะให้บ่าวรับใช้มากลั่นแกล้งได้อย่างไรกัน?”
องค์หญิงเก้าได้รับคำชมเช่นนี้พลันก็รู้สึกกระวนกระวาย เหมือนไม่รู้ว่าจะเอามือไปวางไว้ที่ไหน “เพราะว่าถูกบีบบังคับ มิเช่นนั้นคงไม่ต้องหาเรื่องฮองเฮาเช่นนี้…ทั้งยังสร้างความเดือดร้อนให้จิ้งผิง”
“เจ้ามั่นใจว่ามีเพียงฮองเฮาคนเดียวอย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันยิ้ม พูดเสียงอ่อนว่า “เจ้าคิดดูให้ดี อย่าได้พลาดจุดเล็กๆ น้อยๆ ไป อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่ว่าจะเป็นใครที่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ หากครั้งนี้ไม่จับให้ได้ ครั้งต่อไปก็รับประกันไม่ได้ว่าจะทำเรื่องที่มากเกินไปกว่านี้อีกหรือไม่”
ถาวจวินหลันไม่ได้ต้องการทำให้องค์หญิงเก้าตกใจ แต่พูดออกมาตามความเป็นจริง ที่นางร้อนรนหาคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ออกมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะว่าแค้นเคียงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีเหตุผลที่ไม่ยินยอมให้ต่อจากนี้ต้องรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ตลอด
หากไม่จำกัดการข่มขู่เช่นนี้ออกไป แล้วจะนอนหลับได้สนิทอย่างไรกัน?
องค์หญิงเก้ากลับมีท่าทางสงบนิ่ง “นอกจากฮองเฮาแล้ว ข้าคิดถึงคนอื่นไม่ออกจริงๆ พี่ใหญ่ก็รู้จักข้า ปกติแล้วข้าอดทนอยู่ตลอด จะไปสร้างศัตรูที่ใดได้อีก? ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฮองเฮารังแกกันมากเกินไป…”
ถาวจวินหลันพยักหน้า ใช่แล้ว หากหลานชายของฮองเฮาไม่ได้แย่เช่นนั้น ก็ไม่แน่ว่าองค์หญิงเก้าก็อาจจะพยักหน้าตอบรับ อย่างไรแล้วองค์หญิงเก้าก็ต่อต้านฮองเฮาได้ยากนัก
แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่องค์หญิงเก้าตั้งเกราะป้องกันจากฮองเฮามาโดยตลอด มีแผนการมานานแล้ว แต่ว่าพูดตามจริงแล้วล้วนเป็นสิ่งที่ฮองเฮาบีบบังคับ หากนางอยู่ในฐานะเช่นองค์หญิงเก้า เกรงว่ามีเพียงจะวางแผนให้ตนเองได้มากกว่านี้
ในฐานะที่เป็นพี่สะใภ้ นางเข้าใจและสงสารองค์หญิงเก้า แต่ในฐานะที่เป็นพี่สาว…รู้สึกประหลาดเล็กน้อย อย่างไรเสียถาวจิ้งผิงเป็นน้องชายแท้ๆ ของนาง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่หวังว่าน้องสะใภ้ของตนจะวางแผนใช้น้องชายของตน และยิ่งไม่หวังว่าน้องชายของตนจะพลอยลำบากและบาดเจ็บเพราะน้องสะใภ้
แต่ว่าถึงตอนนี้เห็นได้ชัดว่าใช้อารมณ์ก็ไร้ซึ่งประโยชน์ ที่สำคัญที่สุดก็คือจะต้องสมัครสามัคคีกันถึงจะถูก
“เรื่องภายในจวนเจ้าต้องใส่ใจให้ดี จะต้องระวังเป็นอย่างมาก” ถาวจวินหลันกำชับ “ฝ่ายตรงข้ามโจมตีครั้งแรกแล้วพลาดเป้าไป ไม่แน่ว่ายังจะส่งคนมาหรือว่าใช้วิธีอะไรอีก ไม่ออกจากเรือนได้ก็ไม่ต้องออก เลือกใช้คนก็ให้ใช้คนที่เชื่อถือได้”
องค์หญิงเก้าพยักหน้า ใบหน้านั้นปรากฏแววมุ่งมั่น “ท่านพี่วางใจได้ ข้ายังพอมีวิธีรับมือเรื่องเหล่านี้ ข้าจะต้องปกป้องจิ้งผิงให้ได้”
ถาวจวินหลันเชื่อว่าองค์หญิงเก้าทำได้ อยู่ภายในวังหลวงมาหลายปี แม้จะบอกว่าเจอการกลั่นแกล้งมาไม่น้อย แต่องค์หญิงเก้าก็ยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้มิใช่หรือ? แล้วยังสามารถหาสามีที่ตนเองพอใจได้อีกด้วย?
“ตอนแรกไทเฮารู้เรื่องที่เจ้าเลือกจิ้งผิงหรือไม่?” ถาวจวินหลันพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
องค์หญิงเก้าตะลึงไป จากนั้นก็พยักหน้า “ไทเฮาทราบ ที่จริงแล้วเป็นไทเฮาที่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมาตอนแรก ข้าถึงได้หาโอกาสมาแอบดูจิ้งผิงครั้งหนึ่ง”
แม้จะเป็นการพิสูจน์ความสงสัยภายในใจ แต่ถาวจวินหลันก็ยังอดรู้สึกตกใจไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็รู้สึกประหลาดใจเรื่องที่ไทเฮาถูกใจถาวจิ้งผิง
หรือจะบอกว่าแม้นไทเฮาจะดูเป็นสุกรที่กินเสือ ท่าทางแก่ชราเลอะเลือนไม่สนใจเรื่องราว แต่เกรงว่าไทเฮาคงเข้าใจมากกว่าผู้ใดใช่หรือไม่?
มองดูท่าทีประหลาดใจของถาวจวินหลัน องค์หญิงเก้ากลับพยักหน้าและพูดว่า “ที่จริงแล้ว คนที่ฉลาดมากที่สุดในวังหลวงก็คือไทเฮา ที่ข้ามีท่าทางเช่นนี้ในวันนี้ก็ด้วยการสั่งสอนอบรมจากไทเฮา ต่อจากนี้ท่านพี่ลองไปมาหาสู่กับไทเฮาให้มาก แต่อย่างไรไทเฮาก็อายุเยอะแล้ว ไม่อยากสนใจเรื่องราวอะไรมากมายอีก นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าจนปัญญาเช่นเดียวกัน”
ถาวจวินหลันหัวเราะฝืน “ไทเฮาไม่ชอบข้า” พูดไปก็แปลก ไทเฮาชอบซินหลัน และถูกใจถาวจิ้งผิง แต่กลับไม่ชอบนางเพียงคนเดียว
แต่โดยรวมแล้วท่าทีของไทเฮาที่มีต่อตระกูลถาวก็ยังถือว่าชอบใช่หรือไม่? มิเช่นนั้นคงไม่ให้หลานสาวของตนเองแต่งงานเข้ามา และยิ่งไม่หาที่พึ่งพิงที่ดีให้กับซินหลัน
เพราะคิดได้ว่าหลี่เย่ยังรออยู่ที่จวน ถาวจวินหลันจึงปฏิเสธคำเชิญทานข้าวขององค์หญิงเก้าอย่างอ้อมค้อม แล้วรีบเร่งกลับจวน
หลี่เย่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับคำตอบขององค์หญิงเก้า ถาวจวินหลันคิดว่าเขาน่าจะคาดเดาได้ตั้งนานแล้ว นางจึงพูดว่า “ในเมื่อท่านมั่นใจ เหตุใดยังต้องให้ข้าไปถามด้วย?”
หลี่เย่ยิ้มอย่างอบอุ่น “หลายวันมานี้ในใจของเจ้ามีปม ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าเก้าปิดบังเจ้าหรืออย่างไร?”
ถาวจวินหลันตะลึงไปในทันใด แทบจะนิ่งอึ้งไป มองดูหลี่เย่ด้วยท่าทีเหม่อลอยเลอะเลือน
“ตอนนี้ได้ฟังคำสารภาพแล้ว ต่อจากนี้เจ้าก็ถือว่าได้คลายปมในใจแล้ว” หลี่เย่พูดเสียงอ่อนโยน บีบมือของนางเบาๆ ดึงนางนั่งลงบนตั่ง และรินชาให้นางแก้วหนึ่ง “หลังจากนี้เวลาไปมาหาสู่กันของพวกเจ้ายังเยอะนัก คงไม่สามารถเป็นเช่นนี้ได้ตลอด เจ้าเก้าเป็นคนอ่อนไหวคิดมาก เวลานี้นางยังคงคิดว่าจิ้งผิงยังไม่สังเกตถึงเรื่องนี้ เกรงว่าในอนาคตจะคิดมาก ทำร้ายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้า”
ถาวจวินหลันแทบจะไม่พูดอะไรไม่ออก ในความเป็นจริงแล้ว นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางต้องพูดอะไรถึงจะถูก
นางคิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะทำเรื่องเช่นนี้เพราะเหตุนี้ แม้จะบอกว่านางรู้มาตลอดว่าหลี่เย่เป็นคนละเอียดอ่อน แต่ตอนนี้เวลานี้หลี่เย่กลับยังสามารถมองปมที่อยู่ในใจของนางออก…
เห็นได้ว่าหลี่เย่ใส่ใจและเป็นห่วงนางมากเพียงใด
ในใจอดรู้สึกอ่อนหวานและซาบซึ้งไม่ได้ และยิ่งรู้สึกว่าลำบากใจ เป็นใครก็คงไม่หวังว่าท่าทีย่ำแย่ของตนเองจะปรากฏให้สามีที่ตนเองใส่ใจเห็น
ดังนั้นภายในช่วงเวลาสั้นๆ นางก็รู้สึกไม่กล้ามองหลี่เย่ขึ้นมา
หลี่เย่พอจะรู้ว่าตัวนางไม่เป็นปกติ ดังนั้นจึงออกจากจวนไปจัดการธุระต่อ
ถาวจวินหลันนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ตราบจนหงหลัวเข้ามาถามว่าจะทานข้าวหรือไม่
แต่ถาวจวินหลันกลับไม่มีความอยากอาหารเท่าไรนัก จึงส่ายหน้า “ชิงกูกูอยู่หรือไม่?” ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ นางก็อยากไปพูดคุยกับชิงกูกู
ว่าไปก็นานแล้วเหมือนกันที่นางไม่ได้ไปพูดคุยกับชิงกูกู ตั้งแต่ได้ดูแลจวน นางก็วุ่นวายทุกวัน ไม่มีเวลาว่างเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
ชิงกูกูรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพียงแค่คิดว่าเกิดอะไรบางอย่างขึ้น ในใจกังวลเล็กน้อย หลังจากที่เข้าไปในห้องแล้วก็มองไปยังถาวจวินหลันทีหนึ่งตามสันชาตญาณ เห็นถาวจวินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อยจึงยิ่งระมัดระวังมากขึ้นไปอีก
แต่อย่างไรแล้วชิงกูกูก็เป็นคนมีนิสัยร่าเริง หลังจากที่ทำความเคารพแล้วก็พูดขึ้นก่อนว่า “ชายารองเป็นอะไรไปหรือ? หรือว่าอารมณ์จะไม่ดี แต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับร่างกายเอาไว้ก่อน วันนี้ห้องครัวทำหมูแผ่นอบน้ำผึ้ง แล้วยังมีหน่อไม้กลิ่นหอมมากนัก”
ถาวจวินหลันได้ยินชิงกูกูพูดเช่นนี้ก็หัวเราะทันที “ไม่ใช่เพราะอารมณ์ไม่ดี เพียงแค่อยากหาคนคุยด้วยเท่านั้น เอาเป็นว่า วันนี้กูกูอยู่ร่วมทานอาหารกับข้าได้หรือไม่? ทานข้าวคนเดียวช่างเดียวดายยิ่งนัก”
ชิงกูกูรับปากโดยที่ไม่ลังเล
ดังนั้นวันนี้บนโต๊ะก็มีคนสามคนร่วมโต๊ะ นอกจากถาวจวินหลันและชิงกูกูแล้ว ก็ยังมีซวนเอ๋อร์
ตอนนี้ซวนเอ๋อร์สามารถถือช้อนกินข้าวได้แล้ว เพื่อไม่ให้เขาอ้อนแอ้นจนเกินไป ถาวจวินหลันจึงไม่อนุญาตให้แม่นมโจวป้อนอีก แต่ให้คนทำถ้วยไม้ใบเล็กให้เขาใช้ ให้เขานั่งบนเก้าอี้สูงที่ทำมาเป็นพิเศษเพื่อให้เขาร่วมโต๊ะทานข้าวได้ อนุญาตให้แม่นมโจวช่วยเขาจัดอาหารเท่านั้น
แต่อย่างไรซวนเอ๋อร์ก็ยังอายุน้อย กินข้าวมีกว่าครึ่งที่หกไปนอกชาม ดังนั้นทุกครั้งที่ทานข้าวเสร็จก็ทำให้ด้านหน้าของเขามีสภาพไม่น่าดูเป็นที่ยิ่ง แต่ถาวจวินหลันกลับไม่ใส่ใจ
ชิงกูกูหัวเราะและพูดว่า “เหมือนกับท่านอ๋องตอนเด็กๆ อย่างมาก ตอนนั้นท่านอ๋องก็กินข้าวเอง ท่าทางจริงจังเห็นแล้วน่าเอ็นดูยิ่งนัก”
ถาวจวินหลันเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม “ก็เพราะว่าเลียนแบบพ่อของเขา ไม่อาจปล่อยให้สบายจนเคยตัวได้ ต่อจากนี้ไปจะทำอะไรไม่เป็น รู้จักแค่เพียงใช้ชีวิตอย่างสบายเท่านั้น”
พอทานอาหารเสร็จ อารมณ์ของถาวจวินหลันก็สงบลงไปไม่น้อย และพูดคุยกับชิงกูกูอยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วก็พูดถึงเรื่องของตนเองขึ้นมา “ว่าไปแล้ว ท่านอ๋องดีกับข้ามาโดยตลอด กลายเป็นข้าที่ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไร”
ชิงกูกูมองถาวจวินหลันอย่างสงสัยวูบหนึ่ง “นี่หมายความว่าอย่างไรกัน? ไม่ใช่การทำธุรกิจเสียหน่อย ยังจะต้องมาคิดเรื่องการตอบแทนกันไปมา พวกท่านเป็นสามีภรรยากัน เขาปฏิบัติต่อท่านดีก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว หรือว่าท่านปฏิบัติกับเขาไม่ดี?”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแค่รู้สึกว่าไม่คู่ควรเท่านั้น”
“มีอะไรคู่ควรไม่คู่ควรกัน?” กูกูหัวเราะออกมาเสียงดัง “ในเมื่อเขาเลือกท่าน ก็อธิบายว่าท่านมีสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถเทียบได้ แล้วเหตุใดจะต้องดูถูกตนเองด้วยเล่า? ท่านอ๋องไม่สนใจเรื่องนี้แล้วเหตุใดท่านจะต้องสนใจด้วย? อีกทั้งท่านก็ให้กำเนิดลูกชายลูกสาวกับเขาตั้งสองคน เหตุใดถึงยังไม่เข้าใจเรื่องนี้อีกเล่า?”
ถาวจวินหลันครุ่นคิด รู้สึกว่าตนเองนั้นจะเจ้าอรมณ์ไปหน่อยแล้ว ในตอนนั้นจุงหัวเราะเยาะตนเองออกมา “ยังคงเป็นกูกูที่เข้าใจมากที่สุด” แม้ว่านางจะเข้าใจ แต่ก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้ตลอด ยังคงสั่นคลอนอยู่ตลอดเวลา
ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ไม่ติดใจเรื่องนี้อีก แล้วพูดถึงเรื่องไทเฮาขึ้นมา “กูกูรู้สึกว่าไทเฮาเป็นคนเช่นไรอย่างนั้นหรือ?”
ชิงกูกูขมวดคิ้ว “ไทเฮา? ไทเฮาทำไมหรือ?”
ถาวจวินหลันเล่าเรื่องวิธีที่องค์หญิงเก้าขอความช่วยเหลือจากไทเฮาอย่างไร ก่อนหัวเราะขมขื่นและพูดว่า “พูดแล้วก็น่าขันนัก พี่น้องทั้งสามของตระกูลถาวก็มีเพียงข้าเท่านั้นที่ไทเฮาไม่ชอบ”
กูกูไม่รู้สึกประหลาดใจ ยิ้มและพูดว่า “ท่านเข้าวังมาช้า แน่นอนว่าไม่รู้เรื่องของไทเฮา ถึงได้รู้สึกว่าไทเฮาเป็นเช่นนี้ ที่จริงแล้วไทเฮาก็เพียงคร้านจะสนใจเรื่องเหล่านี้ก็เท่านั้นเอง ถ้าจะพูดว่าความมั่นใจในอกนั้นไทเฮาไม่ได้มีน้อยไปกว่าฮองเฮา สำหรับที่บอกว่าไม่ชอบท่านที่จริงแล้วอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น”