บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 366 ลำเอียง
ด้วยเผชิญหน้ากับหลี่เย่ที่สงบนิ่งใจเย็น อารมณ์ของถาวจวินหลันจึงสงบลงไม่น้อย
“ท่านอ๋องมีวิธีแล้วอย่างนั้นหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันมองหลี่เย่อย่างสงสัย อดถามออกมาไม่ได้
หลี่เย่กลับส่ายหัว “ยังไม่มีวิธีใด”
ถาวจวินหลันไม่เชื่อ แต่หลี่เย่ไม่ยอมพูดนางเองก็ไม่มีวิธี ทำได้เพียงปล่อยไปตามนั้น ก่อนถลึงตาพูดเอ่ยโทษเขา “ช่างยั่วโมโหจริงๆ” หยุดไปครู่หนึ่ง ก็รู้สึกใจไม่ดีอีกครั้ง พูดอีกว่า “ไม่ว่าท่านจะใช้วิธีอะไร มีเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น ไม่อนุญาตให้เอาตัวไปเสี่ยงอันตราย”
หลี่เย่ยิ้มบางๆ “ข้าจะไปเจออันตรายอะไรได้อีก?” คนที่มีอันตรายมีเพียงแค่นักฆ่าเท่านั้น
ถาวจวินหลันฉุกคิดถึงขนมผลึกที่ห้องครัวส่งมา จึงยิ้มและยกมาให้หลี่เย่ทาน และพูดขึ้นว่า “ซวนเอ๋อร์เองก็ชอบกินอันนี้ กินไปเต็มๆ สองชิ้นครึ่ง แม่นมเอาไปแอบแทบไม่ทัน ไม่กล้าให้เขาเห็นอีก”
ขนมผลึกนั้นทำมาจากแป้งข้าวเหนียวที่โม่ออกมาเป็นผง เอาไปนึ่งแล้วใช้มือปั้นให้ขึ้นเป็นทรงกลม ตรงกลางใส่ไส้เอาไว้ สุดท้ายก็ใช้น้ำที่สกัดจากกลีบดอกไม้หลากสีมาวาดเป็นลวดลาย ทั้งสวยและมีกลิ่นหอมของดอกไม้ ที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดก็คือ พอเอาไปแช่ให้แข็งแล้ว ผิวด้านนอกที่ทำมาจากข้าวเหนียวก็จะใสเหมือนผลึก มองดูแล้วเหมือนว่าทำมาจากแก้วใส ชวนให้คนรู้สึกเสียดายที่จะต้องกลืนลงไป
ด้วยตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ใบไม้กำลังออกดอกผลิบาน ดังนั้นไส้ที่อยู่ข้างในก็ยิ่งมากมายหลากหลายเข้าไปอีก
หลี่เย่เห็นเช่นนั้นก็อดเอ่ยชมไม่ได้ พอได้ชิมแล้วก็ยิ่งชื่นชมมากกว่าเดิม
“สตรีอย่างพวกเราวันๆ ไม่ได้ทำอะไร จึงได้แต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องพวกนี้เท่านั้น” ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ และหยิบขนมผลึกขึ้นมาชิ้นหนึ่งเหมือนกัน ภายในเป็นไส้กุหลาบ พาลคิดถึงดอกกุหลาบที่เริ่มออกดอกแล้ว “กุหลาบในสวนออกดอกสมบูรณ์เหลือเกิน ข้าให้คนไปเก็บมาทำเป็นน้ำค้างกุหลาบดีกว่า รอทำเสร็จแล้วก็เอามาราดใส่น้ำแข็งบด และใส่ถั่วบด มันฮ่อ และงาเข้าไป ช่วยดับร้อนและดับกระหายได้อีกด้วย”
หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็ชวนให้คิดถึงตอนที่ยังอยู่ในวังเต๋ออัน ในตอนนั้นถาวจวินหลันยังคงช่วยอยู่ในครัว ช่วงบ่ายของทุกวันจะมีของหวานถ้วยหนึ่ง เขากลับเริ่มนึกถึงรสชาติในตอนนั้นขึ้นมาเล็กน้อย
ที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะมีรสชาติอร่อยเลิศรส คนที่มีฝีมือทำอาหารในวังหลวงมีมากมาย แต่สิ่งที่ถาวจวินหลันไม่รู้ก็คือ เขารู้สึกใจเต้นเพราะความตั้งใจตอนที่นางทำของหวานเหล่านั้น ตั้งแต่นั้นต่อให้เป็นของที่มีรสชาติธรรมดา ก็กลับกลายเป็นอร่อยขึ้นมา ในตอนนั้นเขามองดูรอยยิ้มบางๆ ของนาง ในใจก็รู้สึกสบายขึ้นมา
ถึงกับทำให้วันเวลาที่เรียบง่ายไร้รสชาตินั้นเริ่มมีแสงสีหลากหลายปะปนเข้ามา
แต่ว่าตอนนี้น้อยครั้งที่จะได้กินอาหารฝีมือถาวจวินหลัน รสชาติของความทรงจำนั้นยั่วยวนคนมากเกินไป หลี่เย่ยิ้มและขอร้องว่า “พรุ่งนี้เจ้าทำของหวานให้ข้าสักครั้งเถิด ข้าไม่ได้กินนานแล้ว”
ถาวจวินหลันไม่ปฏิเสธ ตอบตกลงในทันใด และรำพึงรำพันขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ว่าไปแล้วก็นึกได้ว่าหลายวันแล้วที่ข้าไม่ได้เข้าห้องครัวเลย” เรื่องราวภายในจวนมีมากมาย และยังมีหมิงจู ซวนเอ๋อร์ที่ต้องแบ่งสมาธิและความสนใจไปกว่าครึ่ง นานแล้วที่นางไม่ได้มีวันเวลาสบายใจเช่นนี้ แม้แต่หลี่เย่เองก็ถูกละเลยเช่นเดียวกัน
เวลานี้หลี่เย่พูดขอร้อง นางกลับรู้สึกผิดเล็กน้อย “ต่อจากนี้ขอแค่ท่านอ๋องอยู่ที่จวน ข้าจะต้องลงมือทำให้ท่านอ๋องทานด้วยตนเองแน่นอนเพคะ”
หลี่เย่ครุ่นคิด รู้สึกว่าตนเองไม่ได้อยู่จวนทุกวัน คิดว่าคงไม่ได้ทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกเหนื่อย จึงยิ้มและตอบตกลง
ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง แต่จู่ๆ ก็มีคนเข้ามารายงานว่าเซิ่นเอ๋อร์ป่วย
หลี่เย่ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันใด ถาวจวินหลันก็รู้สึกแปลกใจเช่นเดียวกัน “เซิ่นเอ๋อร์เป็นอะไรไป?”
“มีผื่นแดงขึ้นทั้งตัวเจ้าคะ ร้องไห้หนักมากด้วย” บ่าวรับใช้ที่มารายงานตอบอย่างระมัดระวัง ท้ายสุดแล้วยังเหลือบมองมาทางถาวจวินหลัน “เหมือนกับคุณหนูหมิงจูเลยเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วแน่นทันที เหมือนกับหมิงจู? คำพูดนี้ฟังแล้ว…เหมือนจะมีความหมายอื่นแอบแฝงอยู่ ในตอนนั้นจึงเหลือบตามองบ่าวรับใช้ และหันไปพูดกับหลี่เย่ว่า “ข้าเองก็ไม่วางใจ ไม่สู้ว่าไปดูด้วยตนเอง หากเหมือนหมิงจูจริง ข้าจะได้บอกบ่าวรับใช้ได้ว่าควรทำเช่นไร”
หลี่เย่ย่อมไม่มีความเห็นอื่น ในตอนนั้นทั้งสองคนจึงพากันไปยังเรือนชิวอี๋ของเจียงอวี้เหลียน
เซิ่นเอ๋อร์ป่วยจริง เจียงอวี้เหลียนร้อนใจจนตาแดงก่ำ เมื่อเห็นหลี่เย่ นางก็อุ้มเซิ่นเอ๋อร์เข้ามาหา แต่เมื่อเห็นว่าถาวจวินหลันเดินตามมา ทันใดนั้นฝีเท้าก็ผ่อนความเร็วลง ใบหน้าแสดงท่าทีหวาดระแวง
ถาวจวินหลันเห็นอย่างชัดเจน แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น มองไปทางหลี่เย่แล้วก็พูดว่า “ได้ยินว่าเซิ่นเอ๋อร์ไม่สบายอย่างนั้นหรือ? เชิญหมอหลวงแล้วหรือไม่?”
“เชิญหมอหลวงมาแล้ว” เจียงอวี้เหลียนอุ้มเซิ่นเอ๋อร์ ตบหลังเบาๆ เพื่อปลอบประโลม พลางหลุบตากล้ำกลืนความรู้สึกของตน ตอบออกมาเสียงเรียบ แต่สุดท้ายแล้วตอนที่เงยหน้าขึ้นมามองหลี่เย่ ดวงตาทั้งสองข้างก็แดง ท่าทีไม่สบายใจ “ท่านอ๋อง เซิ่นเอ๋อร์ไม่สบายถึงเพียงนี้ ข้าใจไม่ดีเลยเพคะ”
ถาวจวินหลันถอนหายใจ ตอบแทนหลี่เย่ว่า “ล้วนเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นที่หมิงจูเป็นเช่นนี้ข้าเองก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมผื่นถึงไม่ขึ้นที่ตัวข้า ข้ารับแทนนางได้ก็คงจะดี”
หยุดไปครู่หนึ่งก็หันไปมองเจียงอวี้เหลียนที่ท่าทีมืดมน “เซิ่นเอ๋อร์ไม่สบายถึงเพียงนี้ เจ้ายังกอดเอาไว้แน่น เขาจะยิ่งรู้สึกไม่สบายเข้าไปใหญ่ ไม่สู้ให้ห้องครัวต้มน้ำอาบทิ้งเอาไว้ให้เย็น ให้เขาอาบระงับคันสักหน่อย แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ที่สะอาด ตอนนั้นหมิงจูและกั่วเจี่ยเอ๋อร์ก็ทำเช่นนี้”
เจียงอวี้เหลียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายสุดก็กำชับให้บ่าวรับใช้ไปทำตามคำพูดของถาวจวินหลัน
แต่เมื่อนำเซิ่นเอ๋อร์มอบไปให้บ่าวรับใช้แล้ว เจียงอวี้เหลียนก็ดึงแขนเสื้อของหลี่เย่และร้องไห้ “อยู่ดีๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็ตรวจดูเป็นอย่างดีแล้ว แต่ไม่มีตรงไหนที่ผิดปกติ ท่านอ๋อง จะต้องมีคนต้องการทำร้ายเซิ่นเอ๋อร์เป็นแน่!”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าสีหน้ายังสงบอยู่ได้ แต่ในใจหลุดยิ้มเย็นออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ จุดประสงค์ไม่ใช่ว่าอยู่ที่ตรงนี้หรือ? นางคิดแล้วว่าทำไมเจียงอวี้เหลียนถึงได้มาเรียกหลี่เย่อย่างน่าสงสาร และให้บ่าวรับใช้พูดจาคลุมเครือเช่นนั้น แน่นอนว่ายังต้องอะไรต่ออีก อย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด โชคดีที่นางมาด้วย
“ชายารองเจียงมีหลักฐานยืนยันคำพูดนี้หรือไม่?” ถาวจวินหลันเหลือบมองหลี่เย่ที่มีท่าทีขมวดคิ้วเล็กน้อย นางส่งเสียงถามออกไป แต่ตอนแรกนางยังอมยิ้มอยู่บ้าง พอตอนหลังเสียงก็เคร่งเครียดขึ้นมา “พูดจาใส่ร้ายคนอื่นโดยไม่มีหลักฐาน นี่ถือว่าไม่เหมาะสม”
นางแม้จะรู้ว่าหลี่เย่ไม่สนใจคำพูดเช่นนี้ของเจียงอวี้เหลียน และรู้ว่าหลี่เย่ไม่มีทางสงสัยตน แต่นางก็ต้องเสแสร้งแสดงท่าทางออกมา อีกอย่างหนึ่งตอนนี้นางเป็นคนดูเรื่องราวภายในจวนก็ควรวางมาดบ้าง อีกทั้งความตั้งใจของเจียงอวี้เหลียนก็ชัดว่ากำลังพูดถึงนางอยู่ นางยิ่งไม่ยอมนิ่งเงียบ
เจียงอวี้เหลียนไม่กล้าเอ่ยปากเปล่ากล่าวคำโว ดังนั้นจึงพูดอย่างเหนียมอาย “ข้าก็เพียงคาดเดาเท่านั้น อย่างไรเสียอยู่ดีๆ ทำไมถึงได้กลายเป็นเช่นนี้ได้? หมิงจูตอนนั้น…”
หลี่เย่ปลายตามองเจียงอวี้เหลียนในทันที สายตาล้ำลึกมองไม่ชัด แต่กลับแฝงความเฉียบคม ทันใดนั้นเจียงอวี้เหลียนก็กลืนคำพูดที่อยู่ในปากของตนลงไป
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ เจียงอวี้เหลียนก็ปล่อยมือออก ไม่กล้าเกาะแกะหลี่เย่อีกต่อไป หลี่เย่ที่เป็นเช่นนี้ทำให้นางไม่กล้าวางตัวกำเริบ
ถาวจวินหลันพูดสิ่งที่หลี่เย่อยากพูดออกมา “หมิงจูก็คือหมิงจู เซิ่นเอ๋อร์ก็คือเซิ่นเอ๋อร์ ยังไม่ทันได้ตรวจสอบให้ดีจะมาพูดมั่วได้อย่างไรกัน? ชายารองเจียง หากเจ้าเป็นเช่นนี้ คนที่อยู่ใต้อำนาจจะต้องพูดเช่นไร? หวังว่าต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องประพฤติตัวเป็นแบบอย่างถึงจะถูก”
เจียงอวี้เหลียนรู้สึกไม่พอใจ แต่เมื่อมองท่าทีเย็นชาที่ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มเพียงน้อยนิดของหลี่เย่ สุดท้ายก็ยอมแพ้แล้วยอมรับ “เป็นความผิดของข้าเอง เป็นข้าที่ใจร้อนถึงได้พูดจามั่วซั่วไม่มีหลักฐานออกมา”
ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็ผ่อนน้ำเสียงลง “ข้าก็เข้าใจ ต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องดูแลร่างกายให้ดีถึงจะถูก”
ผ่านไปไม่นานหมอหลวงก็มาถึง ตอนที่ตรวจดูอาการเซิ่นเอ๋อร์อย่างละเอียดแล้ว เจ้านายทั้งสามคนที่อยู่ภายในห้องล้วนจับตามองหมอหลวง หมอหลวงตกใจจนเหงื่อเย็นไหลออกมาชั้นหนึ่ง
สุดท้ายแล้วหมอหลวงก็ชักมือเก็บ พูดออกมาด้วยท่าทีสำรวม “คุณชายน้อยมีอาการแพ้ขอรับ ไม่ได้เป็นอะไรมาก กินยาสองขนาน ใช้ยาอาบน้ำอีกสองสามวันก็จะหายดี”
“แพ้?” เจียงอวี้เหลียนตะลึงไป มีท่าทีไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไรนัก
“ใช่ แพ้ขอรับ” หมอหลวงปาดเหงื่อ พูดออกมาอย่างมั่นใจ “ฤดูใบไม้ผลิมีดอกไม้ผลิดอกมากมาย คนที่มีอาการแพ้เช่นเดียวกับคุณชายน้อยก็มีจำนวนไม่น้อย อาการป่วยเช่นนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ คุณชายน้อยเป็นเช่นนี้ไม่ได้ถือว่ารุนแรงนัก เพียงแค่ระมัดระวังให้มากก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าลำบากท่านหมอหลวงแล้ว ข้าให้คนส่งท่านกลับไป” พอพูดจบก็มองไปยังหงหลัว หงหลัวยิ้มและเดินนำหมอหลวงออกไป ส่วนเงินรางวัลนั้นแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องพูดถึง
หลังจากที่ส่งหมอหลวงกลับไปแล้ว ถาวจวินหลันก็มองไปยังเจียงอวี้เหลียน “ได้ยินผลตรวจที่หมอหลวงพูดแล้วหรือไม่? ในตอนนี้เจ้ายังคิดว่ามีคนตั้งใจทำร้ายเซิ่นเอ๋อร์อีกหรือไม่?”
เจียงอวี้เหลียนกำมัดแน่น มองไปทางหลี่เย่อย่างขลาดกลัว ใบหน้านั้นแสดงสีหน้าน้อยใจและไร้ที่พึ่งพาออกมา
หลี่เย่กระแอมเสียงเบา
ถาวจวินหลันเห็นว่าเรื่องเป็นไปตามที่คิดเลยหยุดเพียงเท่านั้น “ครั้งนี้ยังปล่อยไป คราวหน้าอย่าทำเช่นนี้อีก”
เมื่อพูดจบก็ลุกขึ้นจะกลับไปยังเรือนเฉินเซียง ไม่จำเป็นต้องพูดหลี่เย่ก็เดินตามมา แต่เจียงอวี้เหลียนกลับพูดตะกุกตะกักว่า “ท่านอ๋อง วันนี้อยู่พักที่นี่เถิดเพคะ อีกอย่างเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้ารู้สึกไม่สบายใจ หากท่านอ๋องอยู่ที่นี่ใจของข้าคงจะสงบนิ่งมากเลยทีเดียว”
ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เดินตรงออกไปไม่พูดอะไร ที่จริงตอนที่มานั้นนางก็คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว อย่างไรต่อให้หลี่เย่จะมาหาเซิ่นเอ๋อร์บ่อยๆ แต่ว่าก็เพียงแค่นั่งสักพักหนึ่งแล้วก็จากไปเท่านั้น ไม่เคยนอนค้างคืน
แต่ไม่รู้ว่าหลี่เย่ใช้วิธีอะไร สุดท้ายก็หลุดออกมาได้ เมื่อเห็นว่าถาวจวินหลันเดินไปไกลแล้วไม่ได้ท่าทีว่าจะรอเขา เขาก็ทำได้แค่เพียงยิ้มอย่างจนปัญญาและรีบเร่งฝีเท้าตามไป
จริงที่ว่าถาวจวินหลันไม่ค่อยสบายใจ นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เมื่อเห็นว่าหลี่เย่เดินตามมา แม้ว่านางจะดีใจแค่ก็ยังอดพูดประชดไม่ได้ “ทำไมถึงไม่พักที่เรือนชิวอี๋เล่าเจ้าคะ?”
หลี่เย่หัวเราะฝืน “ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ความคิดของข้า ทำไมถึงยังล้อข้าเช่นนี้อีก?”
ถาวจวินหลันเอ่ยปาก ท้ายสุดแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดออกมาอย่างขลาดๆ ว่า “อย่างไรข้าก็ไม่ชอบ”
“ข้าเองก็ไม่ชอบการกระทำเช่นนั้นของนาง” หลี่เย่ถอนหายใจ พูดอย่างหนักแน่น “หากไม่ใช่ว่านางมีบุญคุณต่อข้า ข้าเองก็คงไม่ต้องไว้หน้านางเช่นนี้”
“เพคะ” ถาวจวินหลันนิ่งเงียบ ปล่อยเรื่องนี้ไป สุดท้ายแล้วก็ยังสงสัยอยู่ “แต่ว่าอยู่ดีๆ ทำไมเซิ่นเอ๋อร์ถึงได้มีอาการแพ้เล่า? ข้าดูแล้วภายในห้องของนางก็ไม่ได้เลี้ยงต้นไม้อะไร”
“อาจด้วยลมพัดเข้ามา” หลี่เย่คาดคะเน ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพียงแค่พูดว่า “ต่อไปภายในห้องของพวกเราก็ต้องระวังเช่นเดียวกัน หมิงจูบอบบางถึงเพียงนั้น”
ทันใดนั้นในใจของถาวจวินหลันก็อดหัวเราะกับความลำเอียงของเขาไม่ได้
หลี่เย่กับพูดออกมาตรงๆ “ตั้งแต่ไหนแต่ไรใจคนล้วนลำเอียง มีใครเป็นข้อยกเว้นบ้างเล่า?”