บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 369 วางแผน
ด้วยมือของหลี่เย่ได้รับบาดเจ็บ จึงไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก ดังนั้นจึงทำได้แค่เพียงนั่งมองถาวจวินหลันหันหลังไปเช็ดน้ำตาตนเองเท่านั้น ในใจรู้สึกเศร้าขึ้นมา หากเป็นไปได้ ควรเป็นเขาที่ทำเรื่องเช่นนี้
จากนั้นก็อธิบายอย่างรู้สึกผิด “ด้วยศีรษะโดนกระแทก ตอนนั้นข้าจึงสลบไป โจวอี้เองก็ได้รับบาดเจ็บ ถึงได้ทำให้กลับไปรายงานที่จวนไม่ทัน ต้องให้เจ้าต้องเป็นกังวลเสียแล้ว”
ถาวจวินหลันกรอกตามองเขาทีหนึ่ง เห็นผ้าพันแผลสีขาวที่อยู่บนศีรษะของเขาสุดท้ายแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดใจ ทำใจว่ากล่าวว่าเขาต่อไปไม่ไหว พูดเสียงอ่อนโยนว่า “บาดแผลเจ็บหรือไม่? อยากนอนพักอีกหรือไม่? หิวหรือไม่? อยากกินอะไรหรือไม่เพคะ?”
บาดแผลย่อมต้องเจ็บอยู่แล้ว แต่ก็ยังพอทนได้ อีกทั้งไม่อยากให้ถาวจวินหลันเป็นกังวลอีก ดังนั้นหลี่เย่จึงยิ้มและส่ายหน้า “ไม่ได้เจ็บเท่าไรนัก ตอนนี้รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีอะไรกินบ้าง”
เมื่อพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันกลับรู้สึกหงุดหงิด “ตอนนั้นน่าจะเอาของว่างที่ตั้งใจทำเอาไว้ให้ติดมาด้วย ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเสียเวลาไปตั้งขนาดนั้นท่านกลับไม่ได้ชิมสักคำเดียว”
เมื่อพูดเช่นนี้หลี่เย่พลันก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา
กลับเป็นนางกำนัลที่อยู่ข้างนอกตอบรับประโยคหนึ่ง “ท่านอ๋องหิวแล้วหรือเพคะ? อยากทานอะไรบ่าวจะไปบอกให้ห้องเครื่องทำมาให้เพคะ”
หลี่เย่อย่างไรก็ได้ แต่ถาวจวินหลันคำนึงถึงหลี่เย่ที่เสียเลือดไปจำนวนมาก จึงสั่งว่า “ให้ห้องเครื่องเคี่ยวซุปพุทราแดงเก๋ากี้เห็ดหูหนูเม็ดบัวมาเถิด สิ่งนี้บำรุงเลือดและปรับสมดุลในร่างกาย หากมีถั่วลันเตาตุ๋นก็ทำมาใหม่สักถ้วยก็ให้เอามาด้วย เอามารองท้องได้”
ตอนนี้ถั่วลันเตากำลังสดใหม่มากที่สุด ถั่วลันเตาตุ๋นที่ทำออกมาก็ส่งกลิ่นหอมหวานเป็นอย่างมาก และของว่างจำพวกนี้ปกติแล้วห้องเครื่องจะต้องทำเตรียมไว้ทุกวัน ดังนั้นนางจึงได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา มิเช่นนั้นจู่ๆ พูดถึงสิ่งที่ห้องเครื่องไม่ได้ทำ รบกวนให้คนทำในตอนนี้เกรงว่าคงได้แต่คำติฉินนินทากลับมา
ระหว่างที่พูดนั้นนางก็เหลือบมองนางกำนัลที่ส่งเสียงถามทีหนึ่ง เห็นว่าเป็นนางกำนัลอาวุโสที่อายุราวสามสิบกว่าปี และรู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง นางจึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ แต่นางก็ไม่ได้ถามออกมา ในใจคิดว่าก่อนหน้านี้เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
นางกำนัลอาวุโสอายุน้อยคนนั้นได้รับคำสั่งจึงยิ้มและออกไปสั่งขันทีน้อยที่คอยวิ่งรับคำสั่ง ขันทีน้อยที่คอยวิ่งรับคำสั่งนั้นเอาไว้ใช้สำหรับถ่ายทอดคำสั่งของเจ้านายโดยเฉพาะ หยิบจับใช้สอย อย่างเช่นในตอนนี้ห้องเครื่องอยู่ค่อนข้างไกลจากที่นี่ หากไม่คล่องแคล่ว รอจนไปหยิบของจากที่ห้องเครื่องมาแล้วนั้นเกรงว่าของกินคงจะเย็นไปแล้ว ดังนั้นได้คนหนุ่มที่คล่องแคล่วมานั้นถึงจะรับประกันได้ว่าของที่เจ้านายกินยังร้อน
พอสั่งขันทีน้อยที่คอยวิ่งรับคำสั่งแล้ว นางกำนัลอาวุโสอายุน้อยคนนั้นก็กลับมายืนรออยู่ข้างประตูฟังคำสั่งต่อ และแนะนำตัวเองขึ้นมาก่อน “บ่าวชื่อว่าหงกู ชายารองและท่านอ๋องมีอะไรที่ต้องการสั่งขอแค่เพียงบอกข้าเท่านั้นเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ถาวจวินหลันก็รู้ว่าหงกูกู ผู้นี้คงเป็นนางกำนัลอาวุโสที่ดูแลนางกำนัลและขันทีในวังรองในช่วงระยะเวลานี้เป็นแน่ ในตอนนั้นจึงยิ้มและพยักหน้า ปากก็พูดว่า “ที่แท้ก็เป็นหงกูกูนี่เอง ต่อจากนี้จะต้องเหนื่อยหงกูกูแล้ว” ฝ่ายตรงข้ามเป็นคนเก่าแก่ภายในวังหลวง แน่นอนว่าไม่เหมือนกับข้ารับใช้ที่จวนตวนอ๋อง นางเองก็ไม่สามารถวางท่าได้ มิเช่นนั้นคงทำให้คนอื่นรู้สึกว่านางนั้นก้าวร้าว
ด้วยระหว่างหลี่เย่พักรักษาตัวอยู่ในวังหลวงจะต้องพึ่งพิงหงกูกู อย่างไรเสีย แม้ว่านางและหลี่เย่จะเป็นคนที่ออกมาจากวังหลวง แต่ว่าวังหลวงในตอนนี้กลับไม่มีคนที่สามารถเชื่อใจได้แล้ว แน่นอนว่าจะต้องรอบคอบเสียหน่อย
สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็มองไปทางหงหลัวทีหนึ่ง หงหลัวยิ้มพลางหยิบถุงผ้าที่อยู่ในแขนเสื้อออกมาส่งให้หงกูกู “นี่คือน้ำใจของชายารองของพวกเรา ขอให้กูกูอย่าได้รังเกียจเลยเจ้าค่ะ”
ครั้งนี้เข้าวังมาด้วยความเร่งรีบ และกังวลว่าซวนเอ๋อร์และหมิงจูอยู่ที่จวนเพียงลำพัง ดังนั้นถาวจวินหลันจึงพาหงหลัวมาเพียงคนเดียว ด้วยมีคนไม่พอใช้ ดังนั้นจึงต้องผูกสัมพันธ์กับนางกำนัลในวังพวกนี้ไว้บ้าง
หงกูกูพูดอ้อมค้อมเล็กน้อย ก่อนรับเอาไว้ พลางเอ่ยขอบคุณสำหรับรางวัล
ถาวจวินหลันจึงให้หงหลัวไปเฝ้าประตูแทนหงกูกู แน่นอนว่าสิ่งที่พูดกับหงกูกู ก็คือให้กูกูไปพัก ไม่ต้องมาเหนื่อยอีก
ทำเช่นนี้ก็ด้วยถาวจวินหลันเองอยากจะพูดเรื่องส่วนตัวกับหลี่เย่สักเล็กน้อย
พอหงกูกูออกไป ถาวจวินหลันถึงได้วางใจ กลับไปนั่งอยู่ข้างเตียงใหม่อีกครั้ง กดเสียงเล่าเรื่องที่ขันทีเป่าฉวนมารับตนเอง และคำพูดที่ขันทีเป่าฉวนพูดกับตนทั้งหมดให้หลี่เย่ฟัง ท้ายสุดแล้วก็พูดว่า “พอท่านอ๋องหายดีแล้ว เชิญเขามาดื่มชาบ้างก็ดี เขาเอ่ยเตือนข้าเช่นนี้ ก็ถือเป็นน้ำใจอย่างหนึ่งของเขาเพคะ”
เพราะว่าเรื่องของหงฉวี ถาวจวินหลันจึงรู้สึกอยู่เสมอว่าขันทีเป่าฉวนเชื่อถือไม่ค่อยได้นัก แต่วันนี้การกระทำทุกอย่างของขันทีเป่าฉวนกลับขัดแย้งกับความทรงจำของนางอย่างมาก นางเองเริ่มสงสัยจึงพูดเรื่องเหล่านี้กับหลี่เย่ เอ่ยถามเบาๆ ว่า “ท่านคิดว่าขันทีเป่าฉวน เชื่อถือได้หรือไม่เพคะ”
หลี่เย่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ขันทีเป่าฉวนได้รับความไว้วางใจจากเสด็จพ่อมากนัก เหตุผลใหญ่ที่สุดก็ด้วยเขาไม่เคยช่วยเหลือคนอื่นทำอะไรมาก่อน ภักดีกับเสด็จพ่อเพียงผู้เดียว ดังนั้นหากจะบอกว่าเขาจัดการทำอะไรกับเรื่องของหงฉวีคงเป็นไปได้ยาก อีกทั้งการกระทำของเขาในวันนี้ทั้งหมดยิ่งไม่ต้องหวาดระแวงเขาเลย”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมา พลางพยักหน้า “แต่ก็ควรตอบแทนน้ำใจเช่นกัน”
“เพราะว่าเสด็จพ่อให้ความสำคัญกับขันทีเป่าฉวน ในอนาคตจะต้องให้เขาออกจากวังหลวงไปเป็นแน่ ข้าได้ยินว่าเขากำลังตามหาน้องชายที่พลัดพรากจากกันไปตอนเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ คิดว่าจะต้องวางแผนเอาไว้สำหรับการณ์ข้างหน้าเป็นแน่ เช่นนี้เรื่องนี้กลับไปก็ให้หลิวเอินช่วยตามหาดู หากหาพบก็ถือว่าตอบแทนน้ำใจแล้ว” หลี่เย่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงพูดออกมา
ถาวจวินหลันครุ่นคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดี บางทีอาจจะยืมเรื่องนี้มาผูกสัมพันธ์กับขันทีเป่าฉวนได้ หากเป็นเช่นนี้จริงก็จะดีมากที่สุด
ไม่ต้องขอร้องให้ขันทีเป่าฉวนทำอะไรแทนหลี่เย่ เพียงแค่พูดชมหลี่เย่ต่อหน้าฮ่องเต้เป็นครั้งคราว พูดเรื่องดีเสียหน่อย หรือว่าคอยส่งข่าวสารก็ย่อมได้
แต่ว่านางกลับกรอกตามองหลี่เย่ทีหนึ่ง “บาดเจ็บเช่นนี้แล้วยังจะต้องมาเหนื่อยคิดเรื่องเช่นนี้อีก”
“กลับไปเจ้าก็พาซวนเอ๋อร์และหมิงจูเข้ามาในวังหลวงด้วยเถิด ในเมื่อไปไหนไม่ได้ นอนอยู่ทั้งวันก็น่าเบื่อ ไม่สู้หยอกล้อกับลูกๆ หรือว่าสอนให้ซวนเอ๋อร์รู้หนังสือ” นอนอยู่เช่นนี้น่าเบื่อเป็นยิ่ง ดังนั้นหลี่เย่จึงเอ่ยขอนาง แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็ด้วยไม่อยากให้ลูกและตนเองห่างเหินกัน อย่างไรซวนเอ๋อร์ก็ได้พบเขาน้อยอยู่แล้ว หากคราวนี้ไม่ได้เจอซวนเอ๋อร์เป็นระยะเวลานานก็เกรงว่าซวนเอ๋อร์คงจะจำเขาไม่ได้อีก
อีกทั้งถาวจวินหลันก็ไม่อยู่ในจวน ทิ้งลูกทั้งสองคนเอาไว้ในจวนเพียงลำพังเขาเองก็ไม่วางใจ แม้ว่าภายในจวนตอนนี้จะสงบสุข แต่ในใจของเขาเข้าใจดีว่าที่จริงแล้วยังแอบแฝงคนเลวทั้งหลายเอาไว้ หลายปีมานี้ที่อยู่ในวังหลวงเขาเองเข้าใจดีมากกว่าใครๆ มีบางครั้งที่ผู้หญิงโหดเ**้ยมกว่าผู้ชาย เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของตน ก็แทบจะไม่ออมมือกันเลยด้วยซ้ำไป
ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็รับปาก นอกจากไม่วางใจแล้ว นางเองก็ยังมีความคิดอื่นอีก หากซวนเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ฮ่องเต้คงจะต้องมาหาทุกวัน จะได้ให้พวกเขาสองพ่อลูกได้สานสัมพันธ์กัน ไม่ถึงขั้นห่างเหิน อย่างไรหลี่เย่ก็ต้องทำการใหญ่ ยังต้องการความโปรดปรานจากฮ่องเต้เป็นอย่างมาก