บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 371 สืบข่าว
ถาวจวินหลันคิดว่าฮองเฮาอดทนไว้จนมาถามวันนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว ความจริงแล้วนางก็เตรียมใจมาเรียบร้อยแล้ว
พอตอนนี้ถูกฮองเฮาถามเช่นนี้ นางจึงคลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างแฝงความเขินอายยินดีเอาไว้พลางตอบว่า “เอ่ยปากพูดได้แล้วเพคะ แต่ด้วยคอเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน เสียงจึงแหบอยู่บ้าง อีกทั้งหลายปีที่ไม่ได้พูด ดังนั้นจึงยังพูดได้ไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าหมอหลวงก็บอกแล้วเพคะ ค่อยรักษาลำคอไป ฝึกให้พูดบ่อยๆ ก็จะกลับมาพูดได้ อย่างน้อยการพูดจาก็ไม่มีปัญหาแล้ว พูดไปแล้ว ครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย แม้ว่างานแต่งงานของน้องเก้าจะถูกขัดจังหวะ แต่ท่านอ๋องก็พูดได้แล้วเพคะ”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ นางก็อมยิ้มพลางถามฮองเฮากลับว่า “เหนียงเหนียงท่านว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายหรือไม่เพคะ?”
ฮองเฮากำสร้อยไข่มุกในมือแน่น ทว่าสีหน้ายังปรากฏรอยยิ้ม “ไม่ใช่ความโชคดีในความโชคร้ายหรอก พูดไปแล้ว ตวนอ๋องก็ช่างโชคดีเหลือเกิน หลายปีแล้วยังฟื้นฟูกลับมาได้อีก”
ถาวจวินหลันอมยิ้ม “พูดไปแล้ว ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ดี ไม่เพียงแค่ฝนตกต้องตามฤดูกาล ทั้งยังมีข่าวดีเกิดขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย มีข่าวดีจากพระชายาอี๋ในวังหลวงไม่พอ ท่านอ๋องกลับมาพูดได้ ได้ยินว่าอนุภรรยาของคังอ๋องสองสามคนก็เริ่มตั้งครรภ์แล้วใช่หรือไม่เพคะ? คิดว่าจะต้องมีคุณชายตัวอวบอ้วนสักสองสามคนอย่างแน่นอน”
ถาวจวินหลันสัมผัสได้ทันที ว่าตอนที่นางพูดถึงพระชายาอี๋ตั้งครรภ์ สีหน้าของฮองเฮาพลันบิดเบี้ยวอย่างแปลกประหลาดวูบหนึ่ง แม้ว่าจะปิดบังได้เร็ว ทว่าก็ทำให้คนจดจำได้อย่างลึกซึ้ง เห็นเพียงครู่เดียวก็จำได้แม่น
แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงอนุภรรยาคังอ๋องตั้งครรภ์ สีหน้าของพระชายาคังอ๋องเองก็เปลี่ยนแปลงไปในชั่วพริบตาเช่นเดียวกัน
ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็หยุดมือ ไม่ไปจู่โจมฮองเฮาและพระชายาคังอ๋องอีก เพียงแค่ถอนหายใจ พูดว่า “แต่ว่าเพิ่งพูดได้ก็ถูกลอบฆ่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่นะเพคะ ไม่รู้ว่าท่านอ๋องไปขัดขวางใครเขา ถึงมีคนกล้าทำเรื่องเช่นนี้?”
คิ้วของฮองเฮาเลิกขึ้นในทันใด นางรู้สึกว่าถาวจวินหลันกำลังบอกใบ้อะไรบางอย่างอยู่ แต่ในเมื่อพิจารณาท่าทีของถาวจวินหลันอย่างละเอียดแล้ว กลับไม่รู้ถึงสิ่งที่แอบแฝง สุดท้ายแล้วก็ได้เพียงแค่ปล่อยไปเท่านั้น
ถาวจวินหลันขอตัวออกไปอย่างเหมาะสมตามแก่เวลา
ฮองเฮาย่อมไม่รั้งให้อยู่ต่อ แต่ก็ยังยิ้มและพูดว่า “ในเมื่ออยู่พักรักษาตัวในวังหลวง เช่นนั้นทุกวันไม่มีอะไรทำก็มานั่งเล่นพูดคุยกับข้าที่นี่บ้างซี”
ถาวจวินหลันรู้ดีว่าเป็นเพียงคำพูดตามมารยาทเท่านั้น อีกทั้งนางก็ควรต้องมาทำความเคารพฮองเฮาทุกวันอยู่แล้ว ดังนั้นจึงรับปากอย่างรวดเร็ว แต่นางก็วางแผนคำนวณเวลามาทำความเคารพฮองเฮาเอาไว้แล้ว ตามบรรดานางสนมเหล่านั้นเข้ามา เมื่อเป็นเช่นนี้แม้นฮองเฮามีใจอยากพูดเรื่องอะไร ก็คงไม่ดีหากพูดออกมา
โดยสรุปแล้วสามารถลดการข้องแวะกับฮองเฮาได้
ถาวจวินหลันเดินทางไปยังวังที่หลี่เย่ใช้พักรักษาตัว นางแอบไปดูหลี่เย่ที่ยังคงนอนหลับลึกมาแล้วรอบหนึ่ง เห็นว่าเขายังคงนอนหลับสบายจึงเข้าห้องครัวเล็กไปเตรียมของ
ขันทีเป่าฉวนจัดการธุระนั้นคล่องแคล่วเฉียบขาด เพิ่งออกไปได้ไม่นานห้องครัวเล็กก็ได้จัดเตรียมเอาไว้อย่างเหมาะสม แม่ครัวที่เตรียมมาก็รออยู่ในห้องครัวเล็กพร้อมแล้ว
ถาวจวินหลันเห็นว่าบนเตาขนาดเล็กยังมีโถดินอันหนึ่ง จึงถามออกมา และได้รู้ว่าเป็นน้ำแกงกระดูกหมูต้มรากบัว ฉับพลันนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ในตอนนี้กระดูกของหลี่เย่ได้รับบาดเจ็บ ควรดื่มน้ำแกงกระดูกให้มากเสียหน่อย แม้จะบอกว่าเป็นเศษเนื้อ แต่ก็มีผลประโยชน์ไม่น้อย อีกทั้งยังมีรสชาติอร่อย
ด้วยฮ่องเต้จะมาร่วมโต๊ะด้วย ดังนั้นทางห้องครัวเล็กจึงไม่ต้องจัดเตรียมอาหารอะไร พอยกอาหารของฮ่องเต้เข้ามา ก็มากพอให้เขาและหลี่เย่สองคนทานกันได้แล้ว
ดังนั้นนางจึงแค่ให้แม่ครัวเตรียมของว่างที่หลี่เย่ชอบกินอย่างละเล็กน้อยเท่านั้น นี่เป็นของว่างล้างปากหลังอาหาร เฝด้วยตอนนี้อยู่ในฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเตรียมขนมเหนียวเขียวเอาไว้
ใช้หญ้าสดใหม่ที่เพิ่งแตกกอออกมาบด บีบน้ำออกมา ใช้ผ้าขาวบางกรองกากเอาไว้ จากนั้นก็ใช้ข้าวเหนียวมาปั้นเป็นก้อน แล้วจึงได้ก้อนกลมสีเขียวออกมา จากนั้นนำไปนึ่งและผึ่งให้เย็น ก้อนกลมแป้งข้าวเหนียวก็จะกลายเป็นสีใสประหนึ่งมรกตอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็ใส่ไส้เข้าไป และใช้แม่พิมพ์กดเอาไว้ สุดท้ายก็ใช้กลีบดอกไม้ที่เพิ่งเก็บมาปาดน้ำผึ้งและแตะลงไปข้างบน ทำให้กลายเป็นดอกไม้สีสันสดใสมากมายก็จะถือว่าสำเร็จทุกขั้นตอน ทั้งสวยงามและรสชาติหอมหวาน แม้นจะหวานไปหน่อย แต่ใช้เป็นของว่างกินคู่กับน้ำชาก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว
ถาวจวินหลันชี้นิ้วสั่งแม่ครัวจนวุ่นวาย แต่กลับไม่มีใครพูดกล่าวโทษเลย ต่างก็พากันยิ้มเอ่ยชม “ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำสิ่งนี้มาก่อน เพียงแต่เคยกินตอนอยู่ที่บ้านเดิมเท่านั้น ทั้งเรียบง่ายอย่างมาก ไม่ได้ประณีตถึงเท่านี้เจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันยิ้ม “ครั้งยังเป็นหญิงสาว ปกติแล้วอยู่ในบ้านก็วุ่นวายแต่กับเรื่องเหล่านี้ ตอนนี้กลายเป็นว่าไม่มีเวลามาทำพวกนี้แล้ว”
แม่ครัวเข้าใจอย่างลึกซึ้ง “นี่เป็นเรื่องธรรมดาเจ้าค่ะ ผู้หญิงมีเพียงครั้งเป็นหญิงสาวเท่านั้นถึงเป็นตัวของตัวเองและอิสระมากที่สุด พอออกเรือนไปก็ต้องวุ่นวายอยู่กับเรื่องสามี ไฉนเลยจะยังมีเวลามาดูเรื่องอื่นได้อีกเจ้าคะ?”
แม่ครัวพูดเก่ง ถาวจวินหลันเองก็ไม่ได้คิดดูถูกตำแหน่ง ทั้งสองคนอยู่ในห้องครัวทำไปพลางพูดคุยไปพลาง
แม่ครัวแต่เดิมเคยอยู่ในห้องเครื่องมาก่อน ใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงมาสองสามปีแล้ว ฝีมือไม่ได้ดีมากนัก แต่ก็พอไปวัดไปวาได้ ยามนี้นางอายุเกือบสี่สิบปีแล้ว ลูกชายล้วนแต่งงานสู่ขอสะใภ้ไปหมด และมีหลานเพื่อสืบทอดสกุลต่อไปแล้ว ถือว่าเป็นคนโชคดียิ่ง ด้วนนางทำงานอยู่ในวังหลวง คนที่บ้านจึงใช้ชีวิตได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ไม่ขาดแคลน
แม่ครัวยังพูดอีกว่ารอจนวันที่นางออกจากวังหลวง ก็จะเอาเงินที่เก็บมานานหลายปีนี้ไปเปิดร้านอาหารเล็กๆ ไม่ว่าอย่างไรแล้วลูกชายของนางก็เป็นพ่อครัว ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าธุรกิจจะไปได้ไม่ดี
ถาวจวินหลันเห็นนางเป็นคนสบายๆ และไม่เคยดูแลรับใช้เจ้านายคนไหนมาก่อน จึงวางใจอยู่หลายส่วน ที่พูดคุยสนทนากับแม่ครัวอยู่นานนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่คิดหลอกถามเลย
นอกจากเรื่องเหล่านี้ถาวจวินหลันยังสืบถามเรื่องอื่นมาได้ อย่างเช่นภายในวังหลวงยามนี้มีเพียงพระชายาอี๋ที่ตั้งครรภ์อยู่นั้นจะเป็นคนเอาใจยากแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่ได้รับความโปรดปรานก็ไม่เห็นว่าเรื่องมาก ตอนนี้ตั้งครรภ์กลับเข้มงวดขึ้นมา อะไรราคาแพงก็จะกินอันนั้น ก่อนหน้านี้ก็สั่งให้ทำปลาที่มีแค่เพียงในฝั่งเจียงหนานเท่านั้น เพื่อเนื้อปลาเพียงชามเดียวต้องใช้ปลาไปกว่าหนึ่งกระบุง ปลาทุกตัวใช้ได้แค่เนื้อตรงส่วนแก้มเท่านั้น แล้วเจ้าปลานั่นก็ยังตัวไม่พ้นฝ่ามือเด็กด้วยซ้ำไป
ที่สำคัญที่สุดก็คือปลาชนิดนั้นไม่มีในวังหลวง สุดท้ายไม่รู้ว่าคังอ๋องไปหามาจากที่ใดกระบุงหนึ่ง ถึงได้ถือว่าจบเรื่องไป
คังอ๋องกระตือรือร้นเสียขนาดนี้ย่อมได้รับคำชมจากฮ่องเต้ไปเป็นกระบุงโกย
เช่นเรื่องที่ว่า ฮองเฮาและฮ่องเต้ต่างก็ตรัสว่าจะต้องเร่งส่งของดีไปให้พระชายาอี๋คนนั้นก่อน
เช่นเรื่องที่ว่า พระชายาอี๋เอาเนื้อที่อยู่ในท้องของนางมาเป็นข้ออ้างทำเรื่องต่างๆ อย่างอวดดี ก่อเรื่องก่อราวเป็นปฏิปักษ์กับคนในวังหลวงจำนวนไม่น้อย
ถาวจวินหลันตั้งใจฟังทั้งหมด นางลอบหัวเราะในใจ พระชายาอี๋ช่างฉวยโอกาสเก่งเสียจริง อย่างไรพอลูกคนนี้ลืมตาออกมา ความโปรดปรานของฮ่องเต้จะต้องย้ายมายังเด็กเป็นแน่. แต่เดิมพระชายาอี๋ก็ไม่ค่อยได้รับความโปรดปรานอยู่แล้ว เกรงว่าฮ่องเต้ก็คงไม่ได้คิดว่าจะทะนุถนอม
แต่พระชายาอี๋อย่างไรก็ยังเป็นแม่รองของหลี่เย่ นางได้แต่ฟัง ทว่ากลับไม่ร่วมบทสนทนานี้
พอนางทำขนมเหนียวเขียวเสร็จแล้ว ถาวจวินหลันก็ไปปลุกหลี่เย่ อย่างแรกเพราะคำนวณว่าใกล้เวลาที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาแล้ว อย่างที่สองถ้าหากว่าปล่อยให้นอนต่อไป เกรงว่าตอนกลางคืนจะไม่ง่วงนอน และทำให้นอนไม่หลับ
ขันทันเป่าฉวนให้ศิษย์ขันทีน้อยอิ๋นเซิงมาจัดโต๊ะอาหารก่อน
ด้วยหลี่เย่เดินเหินไม่สะดวก ดังนั้นจึงจัดโต๊ะอาหารไว้ในภายในห้อง รอจนจัดเรียงอาหารวางหมดแล้ว ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของขันทีเป่าฉวนมาจากด้านนอก “ฮ่องเต้เสด็จ!”
ถาวจวินหลันรีบออกไปต้อนรับ
ฮ่องเต้สะบัดมือเป็นท่าทีให้ลุกขึ้น ไม่พูดอะไรมาก ถาวจวินหลันเองก็สังเกตเห็นร่องรอยความเหน็ดเหนื่อยบริเวณระหว่างคิ้วของฮ่องเต้ ในใจคิดว่าไม่รู้ว่าตอนบ่ายไปทำเรื่องอะไรมาถึงได้เหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้
แต่พอพบหลี่เย่ อารมณ์ของฮ่องเต้ก็ดูเหมือนจะดีขึ้นมาก
แม้นหลี่เย่จะลงจากเตียงเพื่อไปทำความเคารพไม่ได้ แต่ก็สามารถพูดได้แล้ว เมื่อเห็นฮ่องเต้ก็พูดออกมาว่าเสด็จพ่อ
แม้นบาดแผลของหลี่เย่จะอยู่ที่แขนซ้าย แต่ว่าที่ขาก็ยังมีแผลอยู่ ดังนั้นจึงทำได้แค่นั่งเอนตัวอยู่บนเตียงเท่านั้น พลางตั้งโต๊ะตัวเล็กเอาไว้บนเตียงแยกออกไป
ฮ่องเต้นั่งอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียงเพียงคนเดียว พ่อลูกทั้งสองคนถือว่านั่งตรงข้ามกันแล้ว เพียงแค่ระยะห่างกันเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ยังไม่ขัดขวางการพูดคุย
ฮ่องเต้เห็นว่าตรงหน้าหลี่เย่มีน้ำแกงกระดูกรากบัววางเอาไว้เป็นพิเศษ ก็รู้สึกอยากกินขึ้นมา ถาวจวินหลันเห็นสายตาของฮ่องเต้ที่ทอดมองอยู่นาน ไม่รอให้ฮ่องเต้เอ่ยปาก นางก็แนะนำก่อนว่า “นี่คือน้ำแกงกระดูกหมูรากบัวเพคะ ตุ๋นรากบัวจนเคี่ยวแล้ว ฮ่องเต้ทรงอยากลองชิมหรือไม่เพคะ”
จากนั้นก็ใช้ถ้วยตักน้ำแกงให้ฮ่องเต้ไปครึ่งถ้วย และตักรากบัวและกระดูกหมูให้อีกสองสามชิ้น
ฮ่องเต้ให้ขันทีเป่าฉวนแบ่งอาหารที่เขาคิดว่าอร่อยกับหลี่เย่ วางลงบนโต๊ะตัวเล็กของหลี่เย่
ตอนที่เพิ่งเริ่มทาน ไทเฮาก็ส่งอาหารมาให้อีกจำนวนหนึ่ง ฮ่องเต้เห็นก็ยิ้มร่าทันที “ของที่ไทเฮาส่งมาช่างถูกปากข้าเสียจริง”
ถาวจวินหลันมองไปทางหลี่เย่ เห็นว่าเขาตั้งใจทานน้ำแกง ก็พูดขึ้นมาว่า “ท่านอ๋องเองก็ชอบทานอาหารเหล่านี้เช่นกันเพคะ”
ขันทีเป่าฉวนต่อบทสนทนา “สมแล้วที่เป็นพระราชบิดากับพระราชโอรส รสชาติที่ชอบเสวยก็ไม่แตกต่างกันนัก”
ฮ่องเต้อารมณ์เบิกบานฉับพลันทันที ไม่รู้ว่าคิดอะไรถึงบอกไม่ให้คนคอยรับใช้ และให้ถอยออกไป
ถาวจวินหลันคิดว่าหลี่เย่น่าจะทานอาหารเองได้ จึงไม่ได้ดูแลเป็นพิเศษ แล้วถอยไปพร้อมกับขันทีเป่าฉวนที่ไม่ได้มีข้อโต้แย้งอะไรเช่นเดียวกัน
พอออกจากห้องไปแล้ว ถาวจวินหลันก็ยิ้มออกมา “เป่าฉวนกงกงไปทานน้ำแกงกระดูกหมูรากบัวที่ห้องครัวสักถ้วยจะดีกว่า ท่านรอฮ่องเต้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเสวยพระกระยาหารเสร็จ ไม่สู้ถือโอกาสตอนนี้ไปทานอาหารก่อน ข้ารออยู่ที่นี่ หากข้างในมีคำสั่งอะไร ข้าจะให้บ่าวรับใช้ไปบอกท่าน”
ขันทีเป่าฉวนกลับลังเลไม่กล้ายอมรับข้อเสนอนี้ ถาวจวินหลันเกลี้ยกล่อม เขาถึงได้ยอมรับ พลางยิ้มกล่าวขอบคุณ “ขอบพระคุณชายารอง”
ถาวจวินหลันยิ้ม “ข้าต้องขอบคุณกงกงถึงจะถูก” ขันทีเป่าฉวนช่วยหลี่เย่ทุกทาง ทุกสิ่งนางล้วนมองเห็น
ขันทีเป่าฉวนกลับไม่รีบร้อนไปทานอาหาร แต่พูดเสียงเบาว่า “วันนี้ฮ่องเต้ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ทั้งศาลและผู้ดูแลเมืองหลวงต่างถูกด่ากันถ้วนหน้า”
ถาวจวินหลันเข้าใจทันที มิน่าเล่า ท่าทีของฮ่องเต้ถึงได้เหน็ดเหนื่อยปานนั้น
“ตอนนี้คงมีเพียงตวนอ๋องเท่านั้นที่กล่อมให้ฮ่องเต้อารมณ์ดีขึ้นได้” เสียงของขันทีเป่าฉวนยิ่งเบาลงไปอีก น้ำเสียงลึกลับ “เกรงว่าคงต้องเปลี่ยนผู้ว่าเมืองหลวงคนแล้ว เกิดเรื่องติดต่อกันเช่นนี้ ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างมาก”
ถาวจวินหลันมองไปทางขันทีเป่าฉวน ในใจกระตุกเล็กน้อย ขันทีเป่าฉวนตั้งใจพูดเรื่องนี้หมายความว่าเช่นใดกัน