บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 374 โกรธแค้น
หลังทานอาหารกลางวัน และแม่นมกล่อมซวนเอ๋อร์นอนแล้ว ถาวจวินหลันก็ให้คนถอยออกไป ส่วนตนเองอยู่ปรนนิบัติหลี่เย่นอนกลางวัน
ด้วยในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นยังไม่ง่วงงุน ถาวจวินหลันจึงนั่งอยู่ข้างเตียงนั่งทำงานปักเย็บ ปักไปพลางพูดคุยกับหลี่เย่ไปพลาง
เรื่องที่ไทเฮามอบของให้หมิงจูสองรอบในวันนี้ก็พูดให้หลี่เย่ฟังเช่นเดียวกัน “หมิงจูเหมือนกุ้ยเฟยจริงหรือเพคะ?”
หลี่เย่ยิ้ม “ถ้าจะบอกว่าเหมือนมากก็คงไม่ใช่ แต่ว่าดวงตาเหมือนจริงๆ ไทเฮาประทานของให้ก็ไม่ใช่เพียงเพราะเหมือนอย่างเดียวเท่านั้น แต่เพื่อไว้หน้าหมิงจู และพวกเราก็เท่านั้น”
หรืออาจจะเป็นการตอกย้ำความคิดของเสด็จพ่อที่มีต่อท่านแม่? ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในใจของหลี่เย่ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
ถาวจวินหลันพยักหน้า “คนในจวนตวนอ๋องมาพักอาศัยอยู่ในวังหลวงชั่วคราว อย่างไรก็ไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่ที่บ้าน พวกเรายังเอามาลำบากทั้งครอบครัว คงไม่พ้นมีคนเอามาพูดติฉินนินทา ไทเฮาทำเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเราหยุดคำพูดเรื่อยเปื่อย”
“อืม” หลี่เย่รับคำ และพูดอีกว่า “ช่างเป็นโซ่อายุยืนที่มีค่ามากนัก คิดไม่ถึงว่าจะมอบให้หมิงจู” แน่นอนว่าเขาไม่ได้รู้สึกว่าหมิงจูของเขาไม่เหมาะสมกับของมีค่าเช่นนี้ เพียงแค่รู้สึกแปลกประหลาดใจเท่านั้น เขาคิดว่าไทเฮาคงเก็บของบางอย่างเอาไว้ให้ลูกของคังอ๋อง แต่คิดไม่ถึงว่า…
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ หลี่เย่ก็สังเกตเห็นงานเย็บปักในมืองของถาวจวินหลัน พอยืดคอขึ้นไปดูจึงเห็นว่าเป็นตั๊กแตนสีมรกตตัวหนึ่ง คาดเดาได้ง่ายดายว่าทำเอาไว้ให้ใคร “เอาไว้ให้ซวนเอ๋อร์หรือ?”
“อืม ฤดูร้อนอากาศร้อนนัก เขามักดึงผ้าห่มออกตลอด ทำผ้าคลุมเอาไว้ให้เขาป้องกันหน้าอกไว้ไม่ให้เป็นหวัด” ถาวจวินหลันยิ้มพลางตอบพลางยื่นให้หลี่เย่ดูไปพลาง “เกรงว่าเขาจะไม่ยอมใส่ก็เลยทำให้น่าดูเสียหน่อย”
“ก่อนหน้านี้ท่านแม่ก็เคยทำของพวกนี้ให้ข้าเช่นกัน” เมื่อคิดถึงแต่ก่อน หลี่เย่ก็หรี่ตาลงเล็กน้อย “ในตอนนั้นท่านแม่ยังคอยกล่อมให้ข้านอนกลางวันอยู่บ่อยๆ แต่ว่าตอนนั้นข้าดื้อนัก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมหลับ”
พอมาถึงตอนหลังเขาอยากจะนอนกลางวันก็ไม่มีใครกล่อมแล้ว เขาอดลอบถอนใจไม่ได้
เป็นครั้งแรกที่หลี่เย่พูดเรื่องท่านแม่ของเขากับตนเอง ถาวจวินหลันกลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นนางก็ยิ้มออกมา พูดเสียงอ่อนโยนว่า “คนเป็นแม่ล้วนเป็นเช่นนี้ อยากให้ลูกได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ”
“อืม” หลี่เย่รับคำ น้ำเสียงกดต่ำลง “เวลานั้นท่านแม่ร่างกายแข็งแรงมากนัก หลังจากนั้นข้าเกิดเรื่องขึ้น ท่านแม่เป็นกังวลอย่างมาก นางยอมทำให้ร่างกายของตัวเองแย่ เพื่อดูแลเขา ทำให้ตอนหลังวายชนม์ไปเสียก่อน”
เรื่องนี้ถาวจวินหลันไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไร ดังนั้นจึงเลือกนิ่งเงียบ นางคิดว่าบางทีหลี่เย่อาจจะอยากได้ผู้ฟังที่นิ่งสงบมากกว่า?
เป็นไปอย่างที่คาดเอาไว้ หลี่เย่พูดต่อไป “ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ทั้งหมด สุขภาพไม่ดีเป็นแค่เหตุผลหนึ่งเท่านั้น แต่ในตอนนั้นเสด็จพ่อเป็นองค์รัชทายาท เสด็จย่าเป็นฮองเฮา ยาบำรุงร่างกายที่ดีๆ ก็ยังคงไม่มี ถ้าจะพูดว่าป่วย ไม่สู้พูดว่าถูกฮองเฮาบีบบังคับ ฮองเฮารู้อยู่แก่ใจ ด้วยความโปรดปรานที่เสด็จพ่อมีต่อท่านแม่นั้น ต่อให้ไม่มีข้าแล้ว ขอแค่เพียงท่านแม่ให้กำเนิดลูกชายอีกคนหนึ่งก็เอาชนะลูกชายของนางได้สบายๆ ดังนั้น…”
ดังนั้นที่ฮองเฮาวางแผนบีบบังคับเอาไว้ทุกอย่าง สุดท้ายแล้วก็ใช้วิธีเช่นนี้ทรมานแม่ผู้ให้กำเนิดของตนจนตายไป สุดท้ายผู้คนต่างพูดกันว่าท่านแม่เป็นหญิงงามอายุสั้น ไม่มีใครพูดความจริงแม้แต่คนเดียว
“ตั้งแต่วินาทีที่ท่านแม่ของข้าจากไป ข้าก็เคียดแค้นฮองเฮาอย่างมาก” น้ำเสียงของหลี่เย่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น แฝงความเย็นเยียบเอาไว้ “ข้าจะทำให้นางได้ลิ้มรสความเจ็บปวดที่ท่านแม่ได้รับในตอนนั้น!”
ที่เขาไม่ได้พูดก็คือ ตอนนั้นท่านแม่ของเขาตั้งใจปิดบังเรื่องเหล่านี้ไว้ ด้วยเกรงว่าเขาจะโกรธแค้น แต่ในความเป็นจริงแล้วเขารู้หมดทุกอย่าง แต่ด้วยกลัวว่าท่านแม่จะเป็นห่วงถึงได้แสร้งทำเป็นไร้เดียงสา และหลังจากที่ท่านแม่ของเขาเสียชีวิตไปแล้ว เพื่อซ้อนเร้นความสามารถเอาไว้ เขาจึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว
ที่จริงแล้วในใจของเขารู้ดีกว่าใคร
“ฮ่องเต้รู้หรือไม่?” จู่ๆ ถาวจวินหลันก็อดถามเช่นนี้ออกมาไม่ได้
หลี่เย่นิ่งไป ก่อนยิ้มเยาะออกมา “ใครจะไปรู้เล่า? อย่างไรสุดท้ายแล้วเขาก็เชื่อว่าท่านแม่ป่วยจนเสียชีวิต แล้วยังคงแต่งตั้งหญิงผู้คนนั้นเป็นฮองเฮา”
ถาวจวินหลันรู้ว่า หลี่เย่จะต้องกล่าวโทษฮ่องเต้เป็นแน่ เพียงแค่ฟังจากน้ำเสียงของหลี่เย่ในใจ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งท้ายสุดก็พูดแก้แทนฮ่องเต้ “บางทีเขาอาจจะไม่รู้ก็เป็นได้นะเพคะ”
ใบหน้าของหลี่เย่ฉายแววเยาะเย้ยในทันใด “แต่ตอนนั้นข้าถูกคนวางยาจนเป็นใบ้ เขาก็รู้อยู่แก่ใจ แต่เพราะว่าตอนนั้นยังจะต้องพึ่งอาศัยเหิงกั๋วกงถึงได้ทำเงียบไม่พูดอะไรออกมาก็เท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าตำแหน่งสถานะของตนนั้นเลยไม่ยอมที่จะทำผิดต่อเหิงกั๋วกง ลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งแล้วท่านแม่ของข้าจะถูกบีบบังคับถึงขั้นนั้นได้อย่างไร?”
น่าแค้นที่ในตอนนั้นตระกูลกู้มอบอำนาจคืนไปตั้งนานแล้ว เพื่อปกป้องตนเอง ไม่สามารถเทียบได้กับเหิงกั๋วกงแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นท่านแม่ของเขาจะต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นเลยหรืออย่างไร?
ถาวจวินหลันมองสีหน้าบิดเบี้ยวและโกรธแค้นของหลี่เย่ นอกจากเสียงถอนหายใจแล้วก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้อีก นางไม่เข้าใจสิ่งที่ผ่านไปในอดีตเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าพูดตามใจชอบไม่ได้ และยิ่งไม่สามารถเกลี่ยกล่อมหลี่เย่ได้
สิ่งที่นางทำได้ก็เพียงแค่ยื่นมือออกไปจับมือของหลี่เย่เอาไว้ พูดเสียงเบาว่า “ไม่ว่าเช่นไรข้าก็จะยืนอยู่ข้างท่านเสมอ อยู่กับท่าน อดีตอย่างไรก็เป็นอดีต ในตอนนี้ท่านมีข้า มีซวนเอ๋อร์แล้วยังมีหมิงจู ข้าไม่หวังอะไรอย่างอื่นขอแค่เพียงพวกเราทั้งครอบครัวมีความสุขปลอดภัยก็พอแล้ว”
หลี่เย่นิ่งไป ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพยักหน้า สุดท้ายก็พูดเหมือนสาบานออกมา “ชีวิตข้านี้ไม่มีทางเหมือนเขาแน่ ข้าไม่มีทางให้คนไปรังแกเจ้า และไม่มีทางทำให้เจ้าได้รับความไม่ยุติธรรมด้วย”
จากที่หลี่เย่ดูแล้ว ีวิตข้านี้ไม่มีทางที่จะัวสามารถผู้ชายคนหนึ่งแม้แต่ภรรยาและลูกของตนยังไม่สามารถปกป้องได้แล้วจะยังทำอะไรได้อีก? ในเมื่อสู่ขอภรรยาเอกเพื่อผลประโยชน์ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ควรให้ผู้หญิงที่ตนเองรักต้องเป็นอนุภรรยา และไม่ควรที่จะเสียสละลูกสาวลูกชายที่รักของตนเพื่อผลประโยชน์
จากที่หลี่เย่ดูแล้ว ท้ายสุดแล้วฮ่องเต้ก็เห็นแก่ตัวมากจนเกินไป ในเวลาเดียวกับตอนที่ขาคิดดูถูกนั้นก็ยิ่งรู้สึกเคียดแค้นดูถูกมากกว่ากว่าเดิม ฮองเฮาน่ารังเกียจ แต่ความเจ็บปวดของเขากลับมีต้นเรื่องครึ่งหนึ่งที่จะต้องคิดจากฮ่องเต้!
เมื่อเห็นว่ายิ่งหลี่เย่พูดก็ยิ่งมีท่าทีนิ่งขรึมมากขึ้น ถาวจวินหลันก็ทนไม่ไหวที่จะให้เขาคิดเรื่องเหล่านี้อีก จึงรีบพูดว่า “ข้าเริ่มง่วงแล้ว ดวงตาก็ล้านัก ไม่สู้ว่าหลับตาพักเสียหน่อย”
หลี่เย่ไม่มีทางปฏิเสธเป็นแน่ แต่ก็ขอร้องอีก “ให้ข้ากอดเจ้านอน”
ตอนแรกถาวจวินหลันคิดจะปฏิเสธ อย่างแรกเพราะว่าอากาศร้อน นอนเบียดกันนั้นทำให้รู้สึกไม่ดี อย่างที่จะสองเพราะว่ากลัวจะกดแผลของเขา แต่เมื่อเหลือบมองท่าทีของหลี่เย่ท้ายสุดก็ใจอ่อนยอมตกลง
ถาวจวินหลันขึ้นไปนอนติดกับเขาบนเตียงอย่างระมัดระวัง พยามหลีกเลี่ยงบาดแผลของเขาแล้วนางถึงได้หลับตาลง พูดเสียงเบาว่า “นอนเถิด นอนหลับไปตื่นขึ้นมาอะไรๆ ก็จะดีขึ้น อารมณ์เหล่านี้ก็เก็บงำเอาไว้เถิดเพคะ” ไม่ว่าอย่างไรอารมณ์เหล่านี้ก็ไม่ควรแสดงออกต่อหน้าฮ่องเต้
แน่นอนว่าหลี่เย่ต้องเข้าใจ แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่ดี แต่สุดท้ายก็พูดตอบรับออกมาเสียงเบา “อืม นอนเถิด”
เรื่องที่หมิงจูได้รับของประทานจากไทเฮาแพร่กระจายไปทั่ววังหลวง ฮองเฮาได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงเย็นออกมา “ยายแก่คนนี้คิดว่าข้าไม่รู้ ว่านางคิดอะไรอยู่อย่างนั้นหรือ? เอาเครื่องประดับเหล่านั้นให้เด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมไปหมายความว่าอะไร? ไม่ใช่ว่าอยากฉวยโอกาสนี้ให้ฮ่องเต้คิดถึงคนชั้นต่ำนั่นขึ้นมาหรืออย่างไร”
สุดท้ายสีหน้าของฮองเฮาก็ปรากฏแววเยียบเย็นออกมา “คนตายไปแล้วจะเอาอะไรมาสู้กับข้า? ลูกชายของนางพูดได้แล้วอย่างไรกัน? ข้ามีวิธีทำให้เขาหุบปากได้อีกครั้ง!”
นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตกใจจนตัวสั่น เม้มริมฝีปากแน่นไม่กล้าพูดอะไรออกมา กลัวว่าฮองเฮาจะรู้สึกถึงตัวตนของนาง
ฮองเฮาสีหน้าดำคล้ำนั่งคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ยิ้มเย็นออกมา ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “ให้คังอ๋องเข้าวังหลวงมาสักรอบ”
นางกำนัลรีบตอบรับในทันใด
ในตอนนี้นางกำนัลที่อยู่ด้านนอกรายงานเสียงเบา “พระชายาอี๋บอกว่าร้อนมาก ทำให้อึดอัด อยากจะดื่มน้ำแข็งมากเสียหน่อยเพคะ อยากให้สลักกระถางน้ำแข็งมาวางไว้ในห้องเพคะ”
นิ้วของฮองเฮากำเข้าหากันแน่น เม้มปาก พูดอย่างโมโหว่า “เรื่องเล็กเช่นนี้ยังต้องมาหาข้าหรือ?! นางอยากได้ก็ให้นางไป! ให้นางทำตามใจชอบ หากแท้งลูกไปเมื่อไร นางก็รับกรรมเองแล้วกัน!”
นางกำนัลไม่กล้าพูดอะไรต่อไป นั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่ที่พื้น ฤดูกาลนี้คลังเก็บน้ำแข็งยังไม่เปิด จะไปหาน้ำแข็งมาจากที่ใดกัน? ที่กลับมารายงานเป็นพิเศษก็ด้วยต้องการปรึกษาฮองเฮาว่าจะให้เปิดคลังน้ำแข็งเลยหรือไม่? อีกทั้งหญิงตั้งครรภ์ทานน้ำแข็งมากเกินไปก็จะไม่ดีต่อร่างกาย ถึงเวลานั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาคิดว่าฮองเฮาจะต้องถูกคาดโทษเป็นแน่
แต่ว่าฮองเฮาเป็นเช่นนี้ ไฉนเลยนางกำนัลจะกล้าพูดละเอียด? เพียงแค่ทำตามเท่านั้น คิดว่ารอจนฮองเฮาอารมณ์ดีขึ้นแล้วค่อยกลับมารายงาน
ฮองเฮาหงุดหงิดอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก ถอดไข่มุกสวดมนต์ที่อยู่บนข้อมือออกมาสวดมนต์เล็กน้อย แต่กลับไม่เกิดประโยชน์อันใดเลยแม้แต่น้อย ยิ่งหลับหงุดหงิดมากกว่าเดิม จึงเขวี้ยงไข่มุกสวดมนต์ลงพื้นอย่างแรง “ไปให้พ้นหน้าข้า!”
ไข่มุกสวดมนต์ถูกกระแทกอย่างแรง ฉับพลันก็กระจัดกระจายไปทุกทิศทาง
ฮองเฮาก้มหน้ามองไข่มุกสวดมนต์ที่กระจายไปทุกด้าน รู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ แม้กระทั่งเริ่มปวดศีรษะ จึงอดเอื้อมมือไปนวดหว่างคิ้วเล็กน้อยไม่ได้
สุดท้ายแล้วฮองเฮาก็หัวเราะขมขื่นออกมา พูดพึมพำกับตนเองว่า “ตวนอ๋องช่างโชคดีเสียจริง! มีหลานชายคนโตให้ไม่พอ ตอนนี้ยังมีลูกสาวที่เหมือนกับคนชั้นต่ำที่ตายไปแล้วด้วย!” แต่คังอ๋องยามนี้แม้กระทั่งสมาชิกผู้ชายสักคนก็ยังไม่มี!
ฮองเฮาอดคิดไม่ได้ว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรม ยิ้มเย็นออกมา “เพราะอะไร? เพราะอะไรกัน?” ไม่รู้ว่ากำลังถามใครอยู่
ถาวจวินหลันย่อมไม่รู้เรื่องพวกนี้ เมื่อได้ยินว่าหมิงจูได้รับความโปรดปรานจากไทเฮา นอกจากนางจะยิ้มรับแล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาอื่นอีก
ต่อให้ได้รับความเอ็นดูแล้วอย่างไร? นี่เป็นเหลนแท้ๆ ของไทเฮามิใช่หรือ?
แต่คำพูดเหล่านี้กลับถูกแพร่สะพัดไปถึงหูของฮ่องเต้ พอได้ยินขันทีเป่าฉวนพูดเรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องสนุก ฮ่องเต้ก็เข้าสู่ภวังค์ความคิดของตนเอง
ขันทีเป่าฉวนดูอยู่ข้างๆ ในใจรู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่กลับมีแววคาดหวังแอบแฝงอยู่
พอฮ่องเต้ได้สติกลับมาก็ยิ้มน้อยๆ “ตอนบ่ายข้าจะไปดูเสียหน่อย ถือโอกาสไปทำความเคารพไทเฮาด้วยเลย”
ขันทีเป่าฉวนรีบรับคำ และพูดอีกว่า “วันนี้ไทเฮาทรงพระกรรสะเล็กน้อย หมอหลวงทำปีแป๋ตำราลับเอาไว้ให้พ่ะย่ะค่ะ ไม่สู้ฮ่องเต้เอาไปให้ไทเฮาเองหรือพ่ะย่ะค่ะ? ไทเฮาคงจะดีใจมาก!”
ฮ่องเต้ได้ยินว่าไทเฮาไอ ก็อดถามอย่างเป็นห่วงเล็กน้อยไม่ได้ พอได้ยินว่าไม่เป็นอะไรมากถึงได้วางใจ
ขันทีเป่าฉวนครุ่นคิดอยู่ในใจว่าควรเตือนให้ฮ่องเต้ไปในเวลาใดถึงจะเหมาะสมที่สุด ตอนที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังออกมาจากพระราชฐานใหญ่ พอเหลือบมองฮ่องเต้ที่เริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย เขาก็รีบวิ่งไปดูตรงหน้าประตูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่