บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 376 อิงผิน
วันนี้ตอนบ่าย อิงผินว่างไม่มีอะไรทำจึงได้มาหาถาวจวินหลันเพื่อพูดคุย
พอดีว่าวังรับรองแห่งนี้มีศาลากลางน้ำ อากาศร้อนเช่นนี้ไปนั่งอยู่ข้างในนั้นถือว่าเย็นสบายอย่างมาก ดังนั้นถาวจวินหลันจึงนั่งอยู่ภายในศาลากลางน้ำ ตั้งถาดผลไม้และของว่างแกล้มน้ำชาต้อนรับอิงผิน
ศาลากลางน้ำถูกสร้างเอาไว้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ต้องการน้ำที่มีการระบายได้ดีเท่านี้ก็เพียงพอ ใช้น้ำไผ่เอามาเป็นท่อน้ำ นำน้ำที่ผ่านการระบายมาแล้วดูดมายังด้านบนของศาลา ให้น้ำไหลลงมาจากหลังคาของศาลากลางน้ำ เหลือเพียงแค่ด้านเดียวที่ให้คนเดินเข้าไป ที่เหลือทั้งสามด้านนั้นก็เท่ากับว่าใช้ม่านน้ำให้ไหลลงมา ทั้งสามารถลดอุณหภูมิได้ และยังสามารถบดบังสถานการณ์ภายในศาลาไม่ให้คนอื่นเห็นได้อีกด้วย
เพื่อที่จะบังแดด ช่างฝีมือภายในวังหลวงนั้นก็เอาพลูด่างหลายหระถางไปประดับไว้บนหลังคา กิ่งก้านของพลูด่างนั้นเลื้อยลงมา ถูกม่านน้ำซัดสาดจนกลายเป็นสีเขียวมรกตใส ส่งประกายแวววับ ทั้งสวยงามและยังเกิดผลประโยชน์ใช้ได้จริงอีกด้วย
ศาลากลางน้ำเช่นนี้ต่อให้เป็นช่วงบ่ายที่ร้อนที่สุดก็ยังเย็นสบายอย่างมาก แล้วยังมีเสียงน้ำหยดของม่านน้ำที่เหมือนกับบทเพลงตามธรรมชาติอีกด้วย
อิงผินยิ้มพลางเอ่ยชมออกมา “ข้าไม่เคยรู้ว่าภายในวังหลวงจะมีศาลาเช่นนี้ด้วย พูดไปแล้ว นี่ถือเป็นที่ที่ดี ฮ่องเต้ช่างเอ็นดูตวนอ๋องเสียจริง ถึงได้มอบวังแห่งนี้ให้”
ถาวจวินหลันยิ้มเยาะ “น่าเสียดายที่ตวนอ๋องไม่ได้เพลิดเพลินไปกับสิ่งเหล่านี้”
อิงผินได้ยินเช่นนี้ทันใดนั้นรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าก็เริ่มซีดลง ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ใครจะคิดว่าจะเกิดเรื่องพรรคนี้ขึ้น แต่เดิมข้าคิดว่าตวนอ๋องจะต้องสืบหาความเป็นจริงได้อย่างแน่นอน”
“เรื่องราวจะต้องน้ำลดตอผุดอย่างแน่นอน” ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา จิบชาดอกไม้ “องค์หญิงแปดไม่มีทางต้องสูญเสียลูกคนนี้ไปอย่างเสียเปล่าเป็นแน่ แม้ว่าตอนนี้ท่านอ๋องจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ยังมีคนอื่นคอยช่วยสืบเรื่องนี้อยู่”
อิงผินเองก็ชิมชาอึกหนึ่งเช่นกัน จากนั้นก็ยิ้มและส่ายหน้า “วันนี้ข้ามาหาเจ้าไม่ใช่เพราะจะมาพูดเรื่องนี้ ในใจของข้าเข้าใจดีว่าเรื่องนี้จะต้องมีคนชดใช้เป็นแน่ ที่จริงแล้วที่มาในวันนี้นั้นก็เพราะว่าข้าได้ยินเรื่องหนึ่งมา”
ถาวจวินหลันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังอิงผินรอนางเอ่ยพูดต่อไป
อิงผินยิ้มพลางพูดว่า “เจ้าไม่รู้ว่าสองวันก่อนนี้จู่ๆ ฮ่องเต้ก็สั่งสอนพระชายาอี๋ สั่งให้พระชายาอี๋พักรักษาครรภ์อยู่ที่วังของตนเอง”
คราวนี้ถาวจวินหลันอดเลิกคิ้วไม่ได้ “เช่นนั้นหรือ? ฮ่องเต้โปรดปรานพระชายาอี๋มาตลอดมิใช่หรือเจ้าคะ?”
“เจ้าเองก็รู้อยู่” รอยยิ้มของอิงผินนั้นยิ่งลึกล้ำมากกว่าเดิม “ก็ด้วยเหตุนี้ ถึงได้ทำให้คนรู้สึกแปลกใจอย่างไรเล่า ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือพระชายาอี๋เพิ่งไปพบฮองเฮา ตอนบ่ายก็ไปพบฮ่องเต้ จากนั้นก็ถูกสั่งให้อยู่ในวังพักรักษาครรภ์”
ความหมายของคำพูดนี้เห็นได้ชัดเป็นอย่างมาก ถาวจวินหลันใจกระตุก พูดออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านจะบอกว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับฮองเฮาหรือเจ้าคะ?”
“และก่อนหน้านี้ฮองเฮาก็เพิ่งพบพระชายาคังอ๋อง” ใบหน้าของอิงผินมีรอยยิ้ม จากนั้นก็กดเสียงต่ำลง “สองวันมานี้มีคนไม่น้อยที่เสนอฎีกาให้ปลดผู้ว่าเมืองหลวงออก”
พอพูดจบถาวจวินหลันก็เข้าใจในทันใด “พระชายาอี๋ไปพูดออกหน้าแทนผู้ว่าเมืองหลวง”
อิงผินหยิบองุ่นฉ่ำน้ำชิ้นหนึ่งออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ ปอกเปลือกออกให้กลายเป็นเหมือนกลีบดอกบัว มองดูแล้วพลิ้วบางอย่างไม่มีที่เปรียบ
จากนั้นถาวจวินหลันก็หยิบองุ่นขึ้นมาปอกเช่นเดียวกัน
“ฮองเฮาดูแล้วไม่ชอบพระชายาอี๋” องุ่นค่อนข้างเปรี้ยว ถาวจวินหลันเข็ดฟันจนหรี่ตาลง จากนั้นก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีก “วังในไม่ข้องเกี่ยวกับราชสำนัก พระชายาอี๋ทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการยุ่งไม่เข้าเรื่อง ฮ่องเต้จะต้องไม่ชอบใจเป็นแน่”
อิงผินพยักหน้า “เปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงไม่ชอบเช่นเดียวกัน”
ดังนั้นหากฮองเฮาให้พระชายาอี๋ทำเรื่องนี้จริง ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเป็นเพราะว่าฮองเฮาต้องการขุดหลุมฝังพระชาอี๋เฟยเป็นแน่ ส่วนจุดประสงค์นั้นอาจจะเป็นเพราะว่าอยากให้ฮ่องเต้รังเกียจพระชายาอี๋?
“ข้าคิดว่าพระชายาอี๋และฮองเฮาจะเป็นพันธมิตรกันเสียอีก” ถาวจวินหลันหัวเราะออกมา แฝงแววเยาะเย้ยเล็กน้อย
อิงผินเองก็ยิ้มเยาะเช่นกัน “เป็นถึงฮองเฮาแล้วยังจะต้องการพันธมิตรอีกหรือ? อย่างมากก็เพียงต้องการให้พระชายาอี๋มาสวามิภักดิ์ก็เท่านั้น”
สวามิภักดิ์อย่างนั้นหรือ? ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมือน ท่าทีของพระชายาอี๋นั้นมองดูแล้วไม่เหมือนคนที่จะภักดีต่อฮองเฮา อีกอย่างตอนนั้นฮองเฮาก็โมโหจนล้มป่วย และจะตอบรับความเป็นมิตรของพระชายาอี๋ได้ง่ายดายหรือ?
“พูดไปแล้ว ท้องของพระชายาอี๋ดูใหญ่กว่าหญิงตั้งครรภ์ทั่วไป” จู่ๆ ถาวจวินหลันก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมา หัวเราะและถามขึ้นว่า “หรือว่าจะตั้งครรภ์แฝด?”
ที่จริงแล้วอิงผินก็สงสัยเรื่องนี้อยู่เช่นกัน เมื่อถาวจวินหลันถามเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น “นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? หากเป็นฝาแฝดเหตุใดหมอหลวงถึงตรวจไม่พบเล่า? หากตั้งครรภ์แฝดเกรงว่าฐานะของพระชายาอี๋คงจะยกสูงขึ้นเป็นแน่”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “นั่นก็ถูก”
“สุขภาพขององค์หญิงแปดดีขึ้นแล้ว” อิงผินเปลี่ยนเรื่องคุย “องค์หญิงเก้าแวะไปเยี่ยมนางสองสามครั้ง ได้ยินว่าอาการบาดเจ็บของสามีองค์หญิงเก้าก็เหมือนจะดีขึ้นแล้วเช่นกัน”
นี่อาจจะเป็นเรื่องที่ถาวจวินหลันอยากได้ยินมากที่สุดแล้ว นางจึงมองไปยังอิงผินอย่างซาบซึ้ง แน่นอนว่านางต้องรู้อย่างชัดเจนว่าอิงผินตั้งใจพูดให้นางฟัง
อิงผินยิ้ม “พอเจ้าออกจากวังหลวงไป ก็เป็นห่วงใส่ใจและปลอบประโลมองค์หญิงแปดแทนข้าให้มากเสียหน่อย”
แน่นอนว่าถาวจวินหลันต้องตอบตกลง
จากนั้นทั้งสองคนก็คุยเรื่องสัพเพเหระอยู่ครู่หนึ่ง และช่วงบ่ายก็ผ่านไปเช่นนี้
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาเวลาที่อิงผินว่างไม่มีอะไรทำก็ชอบมาหานางเพื่อพูดคุย อิงผินเคยกล่าวไว้ว่า “วันเวลาในวังหลวงยิ่งผ่านไปแต่ละวันได้ยากมากยิ่งขึ้น ไม่ทำเรื่องเพื่อฆ่าเวลาแล้วจะใช้ชีวิตอย่างไร?”
มีครั้งหนึ่งที่ฮ่องเต้มาเร็ว แล้วยังบังเอิญพบอิงผิน แต่อิงผินไม่ได้มีท่าทีจะเชื้อเชิญหรือเรียกร้องความโปรดปรานหรืออย่างไร หลังจากทำความเคารพแล้วก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว ท่าทีเช่นนั้นเหมือนว่าไม่ได้เก็บฮ่องเต้ไปใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะพูดว่าฮ่องเต้เป็นเจ้านายของนางก็ไม่สู้พูดว่าเป็นคนแปลกหน้า
อย่างไรเมื่อมองไปแล้ว นางก็รู้สึกว่าทั้งสองคนนี้ไม่เหมือนคนที่มีลูกสาวร่วมกันคนหนึ่งเลยแม้แต่น้อย
แต่ผู้หญิงของฮ่องเต้เยอะเกินไป เกรงว่าคนที่เหมือนกับอิงผินก็คงมีอีกไม่น้อย แต่เมื่อถาวจวินหลันมองแล้วก็ยังรู้สึกแปลกอยู่เสมอ
ตกกลางคืนถาวจวินหลันพูดเรื่องนี้กับหลี่เย่ หลี่เย่กลับเห็นเป็นเรื่องปกติ “ก็ไม่มีอะไรแปลก อย่างไรอิงผินก็ให้กำเนิดและเลี้ยงดูองค์หญิงแปดมา ภายในวังในนี้ส่วนมากแล้วก็ได้พบหน้าเสด็จพ่อเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น มีบางคนที่ยังไม่เคยได้พบเลยสักครั้งด้วยซ้ำ”
แม้ว่าถาวจวินหลันจะเคยได้ยินคนพูดเรื่องนี้มาก่อน แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอิงผินหรือว่าอย่างไร วันนี้เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกแปลกอย่างมาก จนนางตัวสั่นขึ้นเล็กน้อย
หากตลอดชีวิตนี้ยังไม่เคยได้พบฮ่องเต้ แบบนั้นจะน่าสงสารมากเพียงใด?
“แต่อิงผินก็ถือว่าเป็นคนปล่อยวาง” หลี่เย่พูดเนิบๆ “ท้ายสุดลูกสาวของขุนนางฝ่ายบู๊กับลูกสาวของคนธรรมดาก็ไม่เหมือนกัน ในตอนนั้นหลัง พอมีองค์หญิงแปดแล้ว เสด็จพ่อก็ไม่ค่อยได้ไปหาอิงผินอีก”
แน่นอนว่าอิงผินเองก็ให้ความร่วมมือด้วยดี เสด็จพ่อยุ่งขนาดนั้นไม่ยอมเอาความคิดไปเสียเวลากับผู้หญิงก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
“แต่อิงผินก็เป็นคนที่มีความสามารถ ไม่เพียงสามารถเลี้ยงองค์หญิงแปดได้อย่างปลอดภัย แล้วยังหาคู่สมรสที่สมใจอยากให้องค์หญิงแปดได้อีก” หลี่เย่ยิ้ม น้ำเสียงมีแววชื่นชมอย่างหาได้ยาก “เจ้าสนิทสนมกับนางให้มากเสียหน่อยก็ไม่ได้มีผลเสียอันใด”
ถาวจวินหลันยิ้มรับคำ “ข้าดูแล้วว่าอิงผินเป็นคนใช้ได้ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น คิดแล้วตัวตนขององค์หญิงแปดคงไม่ได้แตกต่างไปจากอิงผินนัก ข้าดูแล้วนางก็มีสายข่าวที่ว่องไวมากทีเดียว”
“อิงผินเป็นคนมีสายสัมพันธ์ดี” หลี่เย่พยักหน้า
เช่นนั้นถาวจวินหลันและอิงผินถึงได้ไปมาหาสู่กันบ่อยมากยิ่งขึ้น
และในขณะเดียวกันฮ่องเต้ก็เริ่มโปรดปรานหมิงจูมากขึ้น แม้ว่าหมิงจูจะยังเด็ก แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางความเอ็นดูหลากหลายรูปแบบที่ฮ่องเต้มีต่อหมิงจูได้
เปลของหมิงจูทำมาจากไม้ประดู่สงบจิตที่ดีที่สุด ข้างบนยังฝังอัญมณีนำโชคแปดชนิด และยังมีม่านมุกที่ทำมาจากไข่มุกจำนวนนับไม่ถ้วนที่เอามาร้อยเข้าด้วยกัน เอามาทำเป็นกระดิ่งลมให้กับหมิงจู
เสื้อผ้าของหมิงจูนั้นใช้เป็นชุดที่อ่อนนุ่มมากที่สุด และผ้าที่เย็นสบายแนบไปกับผิว ของทั้งสองอย่างนี้ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ล้วนเป็นของล้ำค่าทั้งนั้น ต่อให้เป็นทางด้านฮองเฮาทุกปีก็ไม่ได้มีของบรรณาการส่งเข้ามาเยอะถึงเพียงนี้ และในความเป็นจริงแล้วปีนี้เกรงว่าของที่ส่งมาบรรณาการทั้งหมดคงเอามาใช้กับหมิงจูหมดแล้ว
ความเอ็นดูเช่นนี้ต่อให้เป็นองค์หญิงก็ไม่สามารถเทียบได้ และในความเป็นจริงฮ่องเต้เองก็เคยพูดกับหลี่เย่มาก่อนเรื่องที่ตั้งใจจะแต่งตั้งหมิงจู
จากฐานะของหลี่เย่ แม้ว่าหมิงจูจะถูกแต่งตั้งก็เห็นได้ชัดว่าไม่พ้นเป็นได้แค่เพียงท่านหญิงเท่านั้น แต่ความหมายของฮ่องเต้กลับต้องการแต่งตั้งเป็นองค์หญิง
นี่เห็นได้ชัดว่าไม่สมเหตุสมผล
ยังดีที่หลี่เย่ปฏิเสธอย่างแข็งขัน ไม่รู้ว่าพ่อลูกพูดอย่างไรกัน แต่ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ยึดมั่นความคิดนั้นต่อไป
หากเรื่องนี้เป็นจริง นางกล้าพูดว่าจวนตวนอ๋องจะต้องกลายเป็นจุดสนใจอย่างแน่นอน แต่ก่อนหน้านั้นหลี่เย่จะต้องมีชื่อเสียงกระจายออกไปก่อน แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะตัวของหลี่เย่เอง แต่เป็นเพราะว่าหลี่เย่มีลูกสาวที่เป็นอภิชาตบุตรี และยังได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้
แน่นอนว่าสำหรับหมิงจูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร
ส่วนเหตุผลที่ทำไมฮ่องเต้ถึงได้โปรดปรานหมิงจูถึงเพียงนี้ ในใจของถาวจวินหลันนั้นรู้อยู่ เพราะเหตุผลที่น่าขันเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น หมิงจูหน้าตาคล้ายกับย่าของนางเป็นอย่างมาก
ถาวจวินหลันถึงกับรู้สึกเย้ยหยัน หากใส่ใจกุ้ยเฟยในตอนนั้นจริง ฮ่องเต้ก็ควรที่จะป้องกุ้ยเฟยให้ดี ไม่ใช่ว่าเอาความรู้สึกทั้งหมดมาฝากฝังไว้ที่ร่างของเด็กน้อยคนนี้ในวันนี้ นี่ช่างน่าขันเกินไป หลังจากที่ทำให้กุ้ยเฟยต้องลาจากโลกนี้ไปแล้ว อันั้นนที่จริงฮ่องเต้ก็สูญเสียคุณสมบัตินี้ไปแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร? ทำเรื่องเช่นนี้อีกก็เพียงแค่ทำให้คนรู้สึกโศกเศร้า ขบขัน และสมเพชยิ่งขึ้นเท่านั้น
แน่นอนว่ายังมีคนรู้สึกนึกแค้น อย่างเช่นหลี่เย่
นางที่เป็นคนนอกยังรู้สึกเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงหลี่เย่ที่ต้องมองแม่ของตัวเองจากโลกนี้ไปกับตา
ถาวจวินหลันรู้สึกว่าบางทีชีวิตนี้หลี่เย่ไม่มีทางให้อภัยฮ่องเต้ บิดาของตนเองคนนี้ แน่นอนว่าถ้าหากเป็นนางก็อาจจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน อย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นพ่อที่ดีอะไร
เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปสิบกว่าวัน ถาวจวินหลันจึงครุ่นคิดเรื่องกลับจวน
หลี่เย่เองก็ไม่ยินยอมอยู่นานเช่นเดียวกัน
แต่ถาวจวินหลันกลับคิดกังวลใจ จากความเอ็นดูที่ฮ่องเต้มีต่อหมิงจูแล้ว จะเสนอเรื่องที่ให้หมิงจูอยู่ในวังต่อไปหรือไม่? ย่างไรแล้วซวนเอ๋อร์เองก็โตขึ้นมาจากในวังเช่นเดียวกัน เมื่อมีตัวอย่างเช่นนี้แล้ว ขอเพียงแค่ฮ่องเต้ยินยอมนางเองก็หาเหตุผลมาปฏิเสธไม่ได้
ตอนที่นางแอบรู้สึกเป็นกังวลนั่นเอง วันนี้อิงผินกลับพูดเรื่องข่าวลือนอกวังหลวงขึ้นมา “ตอนนี้มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่ยุติธรรมแทนท่านอ๋อง แม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่การแพร่กระจายมาถึงหูของฮ่องเต้ก็เป็นเรื่องเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน”