บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 379
ช่วยเหลือ
ระหว่างที่โดนเหวี่ยงไปมา แม้ว่าถาวจวินหลันจะพยายามบังคับร่างกายให้อยู่นิ่ง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังกระแทกเข้ากับหลี่เย่หรือผนังรถไปมาจนได้ แม้แต่ปิ่นที่ปักอยู่บนผมก็หลุดออกไปไม่น้อย หนึ่งในนั้นเป็นปิ่นหยกมรกตอันหนึ่งที่ถูกกระแทกแตกเป็นเสี่ยงๆ
แต่ยามนี้ไฉนเลยจะยังมาสนใจเรื่องเหล่านี้ได้? ถาวจวินหลันเพียงแค่หวังว่ารถม้าจะหยุดได้รวดเร็วถึงจะดี
แน่นอนว่าด้วยการเหวี่ยงไปมาอย่างรุนแรงนี้ สถานการณ์ของหลี่เย่เองก็ไม่ได้ดีไปมากกว่ากัน ไม่เพียงแค่แผลตรงข้อศอกเปิด มองดูเลือดที่ไหลออกมาแล้วกลับน่าสะพรึงกว่าตอนที่ได้รับบาดเจ็บเสียอีก สำหรับเขาแล้ว ตอนนี้ถือว่าโชคดีที่เอาไม้ค้ำไว้ตั้งแต่แรก ตอนนี้ขอเพียงแค่ไม่กระแทกแรงเกินไปหรือว่าออกแรงมากเกินก็ถือว่าไม่เป็นอะไร
หลี่เย่คิดว่าตั้งแต่ที่ม้าเริ่มตกใจ อย่างน้อยต้องวิ่งออกมาประมาณสองช่วงถนนแล้ว แต่ความเร็วไม่เพียงไม่ลดลง แต่กลับวิ่งชนมากยิ่งขึ้น เขาจึงรู้ว่าเรื่องเป็นเหมือนที่ตนคาดคิดเอาไว้ เกรงว่าม้าคงจะระงับสติตัวเองไม่อยู่ นอกจากจะวิ่งไปเรื่อยๆ จนออกจากประตูเมืองไปหรือว่ารอจนกว่าม้าจะเหนื่อยเท่านั้น อีกทั้งตอนนี้ม้าก็ลากรถไปอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง คิดว่าคงจะวิ่งเข้าไปในถนนเล็กๆ แล้ว
หลี่เย่ฟังเสียงเอะอะโวยวายข้างนอกก็อดหัวเราะขมขื่นไม่ได้ อะไรเรียกว่าหลังคารั่วในวันที่ฝนตกติดต่อกันเล่า? หมายความเช่นนี้อย่างไรเล่า หากเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ คิดว่าตอนนี้คงควบคุมสถานการณ์ไว้ได้นานแล้ว ไม่ใช่ว่ารอให้คนมาช่วยเหลือเช่นนี้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานมากเพียงใด ฉับพลันรถก็สั่น พอกระแทกไปมาอีกครั้งแล้วก็ค่อยๆ หยุดลง
สภาพทั้งสองคนตอนนี้ดูไม่ได้เลย หลี่เย่ยังพอทน อย่างไรเสียบนร่างกายก็ไม่ได้มีเครื่องประดับอะไรมากมาย แต่กลับเป็นถาวจวินหลันที่ปิ่นบนศีรษะหล่นผมเผ้าหลุดกระจาย ไม่สามารถไปพบปะใครได้
แต่ยามนี้กลับไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากขนาดนั้น ในใจของถาวจวินหลันเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีและผ่อนคลายหลังจากเอาชีวิตรอดจากมหันตภัยได้
เมื่อสติสัมปชัญญะเริ่มกลับมา ฉับพลันนางก็รู้สึกเจ็บไปทั้งร่างกาย โดยเฉพาะไหล่ทั้งสองข้าง นิ้วมือ และไหล่ที่ถูกกระแทก ส่วนปลายนิ้วเป็นเพราะออกแรงมากเกินไป แม้แต่เล็บก็หักงอ
ถาวจวินหลันไม่ทันได้สนใจตัวเอง พลิกร่างกายของหลี่เย่สำรวจดูอย่างละเอียด เห็นว่าเขาไม่เป็นอะไรมากถึงได้ฝืนยิ้มออกมา “ในที่สุดก็หยุดแล้ว” ถ้ายังไม่หยุดคิดว่าตัวนางเองคงจะทนต่อไปไม่ไหวเช่นกัน
นางพลันเป็นกังวลเมื่อคิดถึงซวนเอ๋อร์และหมิงจูได้ “ซวนเอ๋อร์และหมิงจูคงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
หลี่เย่ก็กังวลเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่เมื่อได้ยินถาวจวินหลันกังวลมาก ก็กดเสียงเบาปลอบโยนว่า “น่าจะไม่เป็นอะไร เมื่อครู่นี้ข้าคิดถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ไม่ได้ยินเสียงดังวุ่นวายมาจากข้างหลัง น่าจะเป็นรถม้าของพวกเราแค่คันเดียว”
ถาวจวินหลันถึงได้พยักหน้า แล้ววางใจไปได้
และตอนนี้ก็มีคนมาเคาะประตู เอ่ยถามว่า “ข้างในมีคนได้รับบาดเจ็บหรือไม่?” ฟังเสียงแล้ว ท่าทางอายุยังน้อย
ด้วยตอนนี้ถาวจวินหลันไม่สามารถพบคนได้ และหลี่เย่ก็ขยับไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็เพียงแค่แง้มม่านออกและพูดว่า “ไม่ได้เป็นอะไรมาก ขอบคุณที่ช่วยเหลือ”
หยุดไปครู่หนึ่งเขาก็พูดขึ้นอีกว่า “ตัวข้าขยับไม่สะดวกเท่าไร ก็ให้เจ้าช่วยไปบอกประชาชนว่าจวนตวนอ๋องจะชดเชยค่าเสียหายให้ด้วยเถิด” และถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าเจ้าสะดวกส่งข้ากลับจวนหรือไม่?”
ที่แสดงฐานะออกไปอย่างแรกก็ด้วยต้องการสร้างความยำเกรง อย่างที่สองก็เพื่อปลอบประโลม อย่างไรเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ เกรงว่าคงก่อให้เกิดผลที่ตามมามากมาย อีกทั้งกลัวว่าจะมีคนมุ่งร้ายเอาเรื่องชดใช้นี้มาขอค่าชดเชยจนเป็นเรื่องใหญ่ ในเมื่อเป็นท่านอ๋องมีหรือที่ความเสียหายเท่านี้จะชดเชยไม่ได้? คนอื่นได้ยินว่ามีตำแหน่งก็จะรู้สึกวางใจไม่ใช่หรือไร?
แน่นอนว่า ข้อเสนอที่หลี่เย่บอกให้พาส่งกลับจวนก็ถือว่าเป็นการได้คืบจะเอาศอกอยู่เล็กน้อย แต่เพราะเวลานี้แข้งขาของเขาไม่สะดวกจริงๆ จึงยังถือว่าสมเหตุสมผล อีกทั้งเขาก็รู้สึกขอบคุณความกล้าหาญชาญชัยของชายหนุ่มคนนี้จริงๆ หวังว่าจะเชิญเข้าไปในจวนเพื่อตอบแทนให้ดีเสียหน่อย
คนผู้นั้นกลับไม่ลังเลแม้แต่น้อย ส่งเสียงรับคำเรื่องนี้ แต่เพราะไม่รู้ที่ตั้งของจวนตวนอ๋องจึงได้เอ่ยถามออกมาอีก
หลี่เย่บอกที่อยู่ไป และพูดขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง
คนผู้นั้นรู้ตัวตนของหลี่เย่ก็ไม่เห็นว่าจะระมัดระวังตัว ตลอดทางกลับถามคำถามมากมาย ท่าทีดูรื่นเริง
“ตวนอ๋อง? ใช่ตวนอ๋องที่นำทัพออกไปปราบชนกลุ่มน้อยพื้นที่ราบสูงใช่หรือไม่ขอรับ?” หลังจากที่คนผู้นั้นกระโดดขึ้นหลังม้าค่อยๆ บังคับม้าให้เดินออกไปนั้นก็ส่งเสียงถามออกมา
หลี่เย่ก็ไม่วางท่า หัวเราะตอบว่า “พูดไม่ได้ว่านำทัพไปปราบศึก เพียงแค่ตามออกไปดูเท่านั้นเอง คนที่ออกทัพฆ่าข้าศึกนั้นไม่ใช่ข้าเสียหน่อย ล้วนแต่พึ่งบรรดาทหารกล้าทั้งนั้น”
ทันใดนั้นคนผู้นั้นก็หัวเราะออกมา “พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ท่านอ๋องกล้าไปก็ถือว่าไม่ธรรมดาแล้วขอรับ จะต้องรู้ว่าผู้ชายตั้งมากมายที่ดูแล้วกล้าหาญ สุดท้ายก็เป็นแค่เพียงเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดองเท่านั้นเอง!”
คนผู้นี้พูดจาตรงๆ ถาวจวินหลันฟังแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่มือก็ไม่กล้าอยู่นิ่ง จัดการคลายผมของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว ใช้มือสางผมและหวีอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รวบผมขึ้นเป็นมวยที่ง่ายที่สุด ใช้ปิ่นทองปักให้อยู่ทรง มิเช่นนั้นอีกครู่หนึ่งจะไปพบหน้าใครไหวได้อย่างไร?
หลี่เย่เองก็หัวเราะ แต่ก็ยังเอ่ยเตือนอย่างปรารถนาดี “ผู้กล้าช่างกล้าหาญเสียจริง นี่ถือเป็นเรื่องดี แต่คำพูดนี้กลับไม่ดีถ้าจะกู่ร้องออกไปเสียงดัง จะต้องทำให้คนไม่พอใจเป็นแน่”
คนผู้นั้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก เพียงแค่ถามอีกว่า “ด้านนอกลือกันว่าท่านอ๋องเป็นใบ้ แต่ว่าวันนี้ดูแล้วก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ส่วนขาที่ไม่สะดวกนั้นเป็นเพราะว่าได้รับบาดเจ็บหรือว่าอย่างอื่นขอรับ?”
หลี่เย่หัวเราะ “เพราะว่าตอนเด็กๆ คอเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน ก่อนหน้านี้ก็พูดไม่ได้จริง แต่ว่าตอนนี้ได้เชิญท่านหมอที่มีชื่อเสียงมาบำรุงรักษาก็ค่อยๆ ดีขึ้นมาแล้ว ส่วนขาที่ไม่ค่อยสะดวกก็ด้วยได้รับบาดเจ็บไม่กี่วันก่อนหน้านี้”
หยุดไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “ฟังสำเนียงของเจ้าเหมือนว่าจะไม่ใช่คนเมืองหลวงใช่หรือไม่?”
คนผู้นั้นตอบว่า “ข้ามาจากทางเหนือขอรับ จากนั้นก็ไปทางทิศใต้อีก ตอนนี้มาที่เมืองหลวงก็เพื่อดูว่าจะมีลู่ทางทำกินหรือไม่ ผู้ชายอกสามศอกคงจะไม่สามารถไร้ซึ่งชื่อเสียงไปได้ตลอดชีวิต”
เขาพูดอย่างหนักแน่น ถาวจวินหลันอดคิดชื่นชมในใจไม่ได้ จากที่นางดูแล้ว ผู้ชายควรจะเป็นเช่นนี้ ถึงจะไม่เสียชาติเกิด
หลี่เย่เองก็เอ่ยชื่นชมเช่นกัน
การพูดคุยไปตลอดทางทำให้ถึงประตูใหญ่ของจวนตวนอ๋องอย่างรวดเร็ว
ด้วยสภาพที่ดูไม่ได้ หลี่เย่จึงสั่งให้รถม้าขับเข้าไปภายในจวน
พอบ่าวรับใช้ช่วยหลี่เย่ลงมาจากรถแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้ค่อยๆ ลงมาด้วยการพยุงจากบ่าวชรา พอลงมาจากรถม้าแล้วถึงได้สังเกตมองคนที่อยู่รอบข้างขึ้นมาตามสันชาตญาณ หนึ่งในนั้นมีชายหนุ่มอายุราวสิบแปดสิบเก้า รูปร่างสูงคนหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของนาง คนผู้นี้แต่งกายเรียบง่าย เสื้อผ้าที่ขาดแหว่งบางจุด มองดูแล้วรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คนของจวนอ๋อง
ในตอนนั้นถาวจวินหลันก็เข้าใจทันที คิดว่าคนนี้คงเป็นคนที่ช่วยเหลือนางและหลี่เย่ จึงยิ้มน้อยๆ เพื่อขอบคุณ
แต่คนผู้นั้นไม่กล้ามองนาง หลุบตาลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่เห็นว่าจะระมัดระวังตัว มองดูแล้วมีมารยาทรู้จักกาลเทศะใช้ได้
ถาวจวินหลันปล่อยให้หลี่เย่รับแขกต่อไป ส่วนนางก็กลับเข้าเรือนใน อย่างแรกเพราะว่าสภาพไม่น่าดูในตอนนี้จำเป็นต้องจัดการให้ดี อย่างที่สองก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เหมาะสม
ก่อนอื่นก็ต้องเตรียมเงินชดเชยค่าเสียหาย อย่างที่สองต้องจัดการต้นเหตุของเรื่องนี้ให้แน่ชัด แล้วยังมีคนบังคับรถม้าคนนั้นด้วย
ถาวจวินหลันยังคงจำคำพูดของหลี่เย่ได้อย่างแม่นยำ ต่อให้เป็นตัวนางเองก็เข้าใจเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือคนบังคับม้าไม่มีเหตุผลที่จะหล่นไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น อีกทั้งหลังจากนั้นแล้วก็ไม่หาวิธีไล่ตามมาอีก
แม้ว่าคนบังคับรถม้าจะเป็นคนของวังหลวง แต่ถาวจวินหลันก็ไม่คิดจะปล่อยไปง่ายๆ
เพิ่งเดินเข้าประตูรองยังไม่ทันถึงเรือนเฉินเซียง ถาวจวินหลันก็เห็นชิวจื่อยุ่งวุ่นวายเรื่องนี้เสียแล้ว
ยามนี้ชิวจื่อถูกนางดึงตัวไปให้อยู่กับซวนเอ๋อร์ และเข้าไปในวังหลวงด้วย ถาวจวินหลันเห็นชิวจื่อพลันวางใจขึ้นมา ชิวจื่อกลับมาอย่างปลอดภัย คิดว่าซวนเอ๋อร์และหมิงจูก็คงกลับมาอย่างปลอดภัยไร้กังวลเป็นแน่
ชิวจื่อไม่ทันทำความเคารพ เพียงสำรวจถาวจวินหลันอย่างละเอียด เห็นว่านางไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็สบายใจทันที จากนั้นก็กดเสียงต่ำรายงานว่า “ข้าให้คนจับคนบังคับรถคนนั้นเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ ข้อศอกที่ล้มจนบาดเจ็บนั้นข้าก็ให้คนเชิญหมอมาดูอาการแล้ว ยังไม่ได้ให้กลับไปวังหลวงเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันมองชิวจื่ออย่างชื่นชม “ทำได้ดี” สมแล้วที่เป็นคนรอบรู้ของวังเต๋ออันในอดีต กระทำเรื่องใดๆ ก็รอบคอบอย่างที่คาดไว้
“จะต้องเชิญหมอหลวงมาดูอาการชายารองหรือไม่เจ้าคะ?” ชิวจื่ออมยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็ถามอีก
ถาวจวินหลันยิ้มเย็น พูดว่า “จำเป็น ไม่เพียงแค่เชิญหมอหลวง แล้วยังต้องกระพือเรื่องนี้ให้ใหญ่โตอีกด้วย ยิ่งต้องตรวจดูท่านอ๋องให้ละเอียด อย่างไรก่อนหน้านี้ก็ได้รับบาดเจ็บมาด้วย”
หากเรื่องนี้มีคนวางแผนเอาไว้จริง จวนตวนอ๋องไม่ใช่ลูกพลับแก่ที่จะให้คนมาบีบปั้นไปไหนก็ได้!
ชิวจื่อเข้าใจความหมายของถาวจวินหลัน จึงรีบไปจัดการเรื่องนี้นทันที
ถาวจวินหลันกลับไปยังเรือนเฉินเซียง เปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดการกับผมเผ้าเสียใหม่ ตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะว่าไหล่เจ็บมาก จึงให้หงหลัวสังเกตดูอย่างละเอียด
หงหลัวมองเพียงแค่ครั้งเดียวก็ขมวดคิ้วแน่นทันที พลางกัดริมฝีปากอย่างรู้สึกเจ็บปวด ยามนี้ไหล่และหลังที่ขาวใสของถาวจวินหลันมีรอยบวมแดงตั้งมากมายเพียงใด มองดูจากสี เกรงว่าพรุ่งนี้คงช้ำม่วงเป็นวงกว้างแน่
พอหงหลัวช่วยทายาให้และใช้ผ้านุ่มสะอาดจัดการห่อนิ้วให้แล้ว ถาวจวินหลันถึงได้สังเกตเห็นดวงตาแดงก่ำของหงหลัว ทันใดนั้นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “เด็กโง่ นี่เจ้าเป็นอะไรไปเล่า”
หงหลัวกัดริมฝีปากว่ากล่าวอย่างขลาดกลัว “คนบังคับรถม้าน่าฆ่าให้ตายคนนั้น ไม่รู้ว่าบังคับรถอย่างไรกัน!”
“ได้รับบาดเจ็บเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นผลดีที่สุดแล้ว” ถาวจวินหลันยิ้มออกมา แล้วพูดด้วยเสียงเรียบ แต่แม้ว่าใบหน้าจะยิ้ม แต่ในดวงตากลับเย็นเยียบ
ยังดีที่หลี่เย่ไม่เป็นอะไร หากเป็นอะไรไป…
พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ถาวจวินหลันก็พาคนออกเดินไปข้างนอก คนผู้นั้นช่วยเหลือนางและหลี่เย่ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรแล้วนางก็ควรไปขอบคุณ อีกทั้งหมอหลวงมาตรวจอาการให้หลี่เย่ นางเองก็อยากจะรู้ผลในทันที โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บที่ข้อศอกของหลี่เย่ ยิ่งทำให้นางรู้สึกเป็นกังวลใจ ในตอนนั้นเลือดที่ไหลออกมาได้ย้อมแขนเสื้อไปกว่าครึ่ง