บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 383
เลวร้ายที่สุด
ตกดึก หลี่เย่ทำท่าทางราวกับว่าจะช่วยทายาให้ถาวจวินหลัน
ถาวจวินหลันไม่ยอม ทำหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดว่า “ท่านเองก็บาดเจ็บถึงเพียงนี้ ยังไม่ยอมหยุดพักเสียหน่อย”
หลี่เย่เพียงแต่ยิ้ม “แค่มือเดียวก็ใช้ทายาได้ จะไปเหมือนกับสาวใช้พวกนั้นที่ไหนกันเล่า? ให้ข้าทาให้เจ้าเถิด เจ้าเองก็ช่วยทายาให้ข้าดีรึไม่? พวกเราช่วยกันทายาให้กัน”
ถาวจวินหลันเพียงแต่จับเสื้อไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “ข้ารู้สึกไม่สบายใจ”
รอยยิ้มของหลี่เย่ยิ่งกว้างขึ้นไปอีก “เป็นสามีภรรยาอยู่กินกันมานานแล้ว ยังจะอายอะไรอีกรึ?”
พูดไปพูดมาสักพัก สุดท้ายถาวจวินหลันก็เถียงหลี่เย่ไม่ชนะ จึงได้แต่ค่อยๆ ปล่อยมือออกจากเสื้อผ้า เนื่องจากนางหันหลังให้หลี่เย่ ดังนั้นนางจึงไม่เห็นสีหน้าของหลี่เย่ตอนที่มองสีเขียวช้ำตรงไหล่ของนาง
หลี่เย่ทำหน้าเคร่งขรึมและเม้มปากในขณะที่ค่อยๆ ทายาให้ถาวจวินหลัน ถึงแม้ว่าจะทำหน้าเคร่งขรึม แต่น้ำหนักมือของเขาที่ทายาให้ถาวจวินหลันกลับนุ่มนวลเป็นอย่างมาก ด้วยกลัวว่าจะทำให้ถาวจวินหลันเจ็บ
เพียงแต่แผลที่บาดเจ็บเช่นนี้ ไม่ว่าน้ำหนักมือจะเบาอย่างไรก็ยังทำให้เจ็บได้อยู่ดี แต่ถาวจวินหลันกัดฟันไม่กล้าส่งเสียงออกมาก็เท่านั้น…นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าบาดแผลนั้นเป็นเช่นไร แล้วก็รู้ดีว่าหลี่เย่เห็นแล้วจะรู้สึกไม่สบายใจแน่นอน นางไม่อยากให้เขาต้องไม่สบายใจ จึงได้อดทนเอาไว้
จนกระทั่งทายาเสร็จ สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถาวจวินหลันก็หันไปมองหลี่เย่ พอเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ดีนัก จึงยิ้มแล้วพูดว่า “สถานการณ์ในตอนนั้น หากไม่ใช่เป็นเพราะท่านปกป้องข้าเอาไว้ ข้าจะได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านี้รึ? อีกทั้ง คนเร่งม้าผู้นั้นก็ได้ถูกท่านลงโทษจนตาย ก็ถือว่าท่านแก้แค้นแทนข้าแล้ว”
กลับเป็นเขาที่บาดเจ็บหนักกว่า น่าเป็นห่วงมากกว่านาง เพียงแต่ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เวลาที่สมควรจะพูด ดังนั้นนางจึงไม่ได้เอ่ยออกไป
หลี่เย่ถอนใจ “บาดเจ็บถึงเพียงนี้แล้ว ยังจะเรียกว่าดีอยู่ได้อย่างไร? เพียงแต่น่าโมโหที่ยามนี้ยังไม่สามารถหาวิธีแก้แค้นตัวคนบงการได้”
“จะต้องมีสักวันที่ทำได้” พอเก็บกระปุกยาเอาไว้ที่ตู้ตรงหัวนอนแล้ว นางก็เข้าไปในอ้อมกอดของหลี่เย่ แล้วปลอบเขาเสียงเบา “ตอนนี้ก็เพียงแค่ต้องอดทนก็เท่านั้น อีกทั้งเมื่อพวกเรารู้ตัวผู้บงการแล้ว ยังจะกลัวว่าไม่มีหนทางแก้แค้นได้รึ?”
หลี่เย่ได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมาทันที “เจ้าพูดถูก” เพียงแต่รอยยิ้มกลับดูเย็นชา แววตาแฝงด้วยความร้ายกาจ “ข้าได้ยินมาว่าเหิงกั๋วกงเลี้ยงภรรยานอกสมรสเอาไว้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ไม่กี่วันก่อนข้าให้คนไปสืบดูแล้ว เหิงกั๋วกงฮูหยินเป็นคนขี้อิจฉาริษยา ถึงแม้จะแก้แค้นไม่ได้ แต่ก็สร้างเรื่องวุ่นให้พวกเขาได้”
ที่สำคัญก็คือ เหิงกั๋วกงฮูหยินมีลูกชายเพียงคนเดียว ทั้งยังเป็นคนขี้โรค แต่ภรรยานอกสมรสผู้นั้นเพิ่งคลอดลูกชายฝาแฝดที่แข็งแรงให้เหิงกั๋วกง หงกั๋วกงได้ลูกชายเพิ่มอีกก็ดีอกดีใจและภูมิใจอย่างมาก
หากว่าเหิงกั๋วกงฮูหยินรู้ว่ายาของลูกชายตัวเองถูกคนใส่อะไรลงไป จะคิดเช่นไร?
อีกอย่างก็คือ ผู้ว่าการเมืองหลวงที่เหิงกั๋วกงเป็นคนแนะนำนั้น ไม่เพียงแต่ทำงานไม่ดี ทั้งยังน่าสงสัยว่าทุจริต แล้วเหิงกั๋วกงจะทำเช่นไร? ในใจค่อยๆ ครุ่นคิดเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดีแล้ว อารมณ์หงุดหงิดในใจของหลี่เย่ก็ดีขึ้นไม่น้อย
ถาวจวินหลันพิงอยู่ที่ไหล่เขาพลันรู้สึกสบายใจขึ้น…นางยังรู้สึกกลัวจริงๆ ว่าเขาจะรู้สึกผิดเพราะเรื่องนี้อีก
“พวกเราพักเรื่องไปหลบร้อนที่นอกเมืองไว้ก่อนจะดีกว่า” ถาวจวินหลันพิงอยู่ที่อกของหลี่เย่ แล้วเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา “ตอนแรกคิดว่าหลังจากซินหลันแต่งงานแล้วพวกเราก็ค่อยออกเดินทาง แต่ว่าดูจากสถานการณ์แล้ว ไม่สู้พวกเราอยู่ในเมืองหลวง ไปอยู่นอกเมือง ถึงอย่างไรก็ไม่ปลอดภัยเท่าอยู่ในจวนอ๋อง”
หากว่าถูกทำร้ายหรือเกิด “อุบัติเหตุ” ใดๆ ขึ้นอีก นางก็คงจะรับไม่ไหวอีกแล้ว
หลี่เย่เองก็เข้าใจว่านี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ว่าก็ยังรู้สึกเสียดาย “พลาดครั้งนี้ไป ไม่รู้ว่าต้องรออีกเมื่อไรถึงจะมีเวลาและโอกาสเช่นนี้” รอจนกระทั่งอาการบาดเจ็บของเขาหายแล้ว เกรงว่าจะยิ่งยุ่งขึ้นอีก ยิ่งไม่มีเวลาดูแลถาวจวินหลันและจวนอ๋อง
ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ แล้วพูดออกมาจากใจ “เพียงแค่ได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะอยู่นอกเมืองหรือที่ใด ข้าก็รู้สึกดีทั้งนั้น”
หลี่เย่ได้ยินแล้วก็รู้สึกหวานซึ้งในใจ อดก้มหน้าลงมาจูบถาวจวินหลันไม่ได้ จากนั้นก็สูดหายใจเข้าเบาๆ “ข้าก็เช่นกัน”
หลี่เย่เดินเหินไม่สะดวก ดังนั้นจึงไม่ค่อยออกไปห้องหนังสือด้านนอกนัก มีอะไรก็จะให้คนเอามาที่ห้องหนังสือเล็กของเรือนเฉินเซียง แม้แต่เรื่องความเคลื่อนไหวใดๆ ข้างนอก เขาก็เรียกหวังหรูมาพูดกับเขาที่นี่
เวลาถาวจวินหลันคอยถวายการดูแลอยู่ข้างๆ ก็พอจะได้ยินมาบ้าง
วันนี้หวังหรูพูดถึงเรื่องเช้านี้ราชสำนักพูดคุยกันเรื่องผู้ว่าการเมืองหลวง
ถาวจวินหลันเองก็รู้สึกสนใจ…หลี่เย่เคยพูดว่า อยากให้ลูกศิษย์ของใต้เท้าเฉินเข้ามารับตำแหน่งนี้แทน ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่มีทางทำเสร็จได้ภายในวันสองวัน หวังหรูพูดว่า ถึงแม้จะมีคนไปฟ้องร้องไม่น้อย แต่เนื่องจากคนของฝั่งเหิงกั๋วกงต่างช่วยกันพูดแก้ต่าง เรื่องนี้จึงทำได้เพียงแต่หยุดเอาไว้ก่อน
ส่วนฮ่องเต้นั้น ยังไม่มีท่าทีใดๆ
หลี่เย่คิดแล้ว ก็สั่งหวังหรู “เอาหลักฐานการทุจริตของผู้ว่าการส่งไปให้ตระกูลของภรรยาเอกเขา ข้าจำได้ว่าภรรยาเอกของผู้ว่าการคนนี้ถูกอนุฆ่าตายมิใช่รึ? ตั้งแต่นั้นมา เครือญาติก็กลายเป็นศัตรูกันไปแล้ว”
ถาวจวินหลันรู้สึกแปลกใจทันที แล้วถามอย่างประหลาดใจว่า “ผู้ว่าการเมืองหลวงผู้นี้ใจกล้าถึงเพียงนั้นเชียวรึ? ถึงได้กล้าหลงใหลอนุจนฆ่าภรรยาเอก?”
หลี่เย่หัวเราะอย่างเย้ยหยัน “ไม่เพียงเท่านั้น เขายังบังคับให้เด็กผู้ชายหน้าตาดีเป็นทาสบำเรอกามให้เขา จนเกือบจะทำให้เด็กตาย แต่ว่าเรื่องนี้เขาได้ปกปิดเอาไว้ ไม่มีใครกล้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องหลงอนุจนฆ่าภรรยาเอกนั้นเป็นเรื่องเล็ก…เจ้าไม่รู้ว่า ตอนนี้ภรรยาเอกคนที่สองของเขาเป็นลูกสาวที่เกิดจากอนุของเหิงกั๋วกง”
สักพัก ก็พูดอย่างมีลับลมคมในว่า “ได้ยินว่า ก่อนหน้านี้ลูกชายของภรรยาเอกไม่ได้เป็นที่โปรดปราน เทียบกับลูกชายของอนุแล้ว เขายิ่งโปรดปรานลูกชายของอนุมากกว่า”
ถาวจวินหลันได้ยินแล้ว ก็อดโกรธขึ้นมาไม่ได้ “คนแบบนี้ช่างไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว เป็นผู้ชายเป็นสามีได้อย่างไร? ช่างน่าไม่อายเสียจริง”
หลี่เย่เหมือนยังพูดไม่หมด จึงพูดต่ออีกว่า “คนนอกถึงขั้นลือกันว่า จริงๆ แล้วเรื่องที่ภรรยาเอกของผู้ว่าการถูกอนุฆ่าตายนั้น แท้จริงแล้วถูกผู้ว่าการวางยาพิษด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเหิงกั๋วกง”
ถาวจวินหลันรู้สึกประหลาดใจมาก เพียงแต่ก็ยังรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่านี่อาจจะไม่ใช่เรื่องจริง “ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือ เพียงแต่…หากว่าเป็นเรื่องจริง ก็ดูน่ากลัวเกินไปหน่อย”
คนทั่วไปต่างรู้ว่า จิตใจของผู้หญิงร้ายกาจที่สุด แต่ในวันนี้พอดูไปแล้ว พอจิตใจของผู้ชายเลวร้าย ถึงจะเรียกว่าไร้หัวใจจริงๆ อย่างน้อยในโลกนี้ ภรรยาทำร้ายสามีก็มีไม่มาก ผู้หญิงที่ไม่รักลูกก็ยิ่งหาไม่ได้ แต่ผู้ชายคนนี้…
“เวลานี้ลูกชายจากภรรยาเอกของผู้ว่าการอายุสิบสี่ปี สอบติดราชการแล้ว แต่กลับไปล่วงเกินสาวใช้ในจวนจนสาวใช้คนนั้นทนความอับอายไม่ไหวฆ่าตัวตาย เขาถึงได้ถูกตัดชื่อออกไป” หลี่เย่เปิดเอกสารที่หวังหรูส่งมา แล้วก็ค่อยๆ พูดออกมาว่า “จริงๆ หลังจากที่เขาสอบราชการได้แล้ว ลูกชายของภรรยาเอกคนนี้ก็แอบสืบเรื่องการตายของแม่เขาอย่างเงียบๆ ปรากฏว่าไม่เพียงแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้น แม้แต่คู่หมั้นที่เขาหมั้นหมายเอาไว้แต่เด็กก็ถอนหมั้นเขา”
ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว แล้วก็อดเห็นใจไม่ได้ “เช่นนั้นต่อไปเขาจะทำอย่างไรได้? ไม่มีชื่อในราชการแล้ว อีกทั้งยังถูกถอนหมั้นด้วยเรื่องนี้ เกรงว่าต่อไปจะหาคู่แต่งงานด้วยยาก” เท่ากับว่าชีวิตนี้พังทลายไปแล้ว ไม่มีหวังอีกต่อไป
สักพัก นางก็อดพูดอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “สาเหตุที่สาวใช้คนนั้นฆ่าตัวตายเป็นเพราะเขาจริงๆ หรือ?” ต้องรู้ด้วยว่า บ้านตระกูลใหญ่ทั่วไป เรื่องการเตรียมสาวใช้อุ่นเตียงให้คุณชายไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร กลับถือเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมาก แม้ว่าคุณชายจะชื่นชอบตัวสาวใช้ผู้นั้นมากเพียงใด ก็ไม่จำเป็นต้องบีบบังคับ อีกทั้งพูดอย่างไม่น่าฟังล่ะก็ จะมีสาวใช้สักกี่คนฆ่าตัวตายเพราะได้รับความโปรดปรานจากเจ้านายกัน? ถึงแม้ว่าจะไม่ชอบ แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องทำเช่นนี้มิใช่หรือ?
หลี่เย่หัวเราะ “ที่น่าขันก็คือ สาวใช้ผู้นั้นกลับเป็นสาวใช้ที่ดูแลพ่อของเขาในห้องหนังสือ”
ถาวจวินหลันอ้าปาก แต่พูดอะไรไม่ออก สำหรับลูกชายแล้ว ไม่ว่าจะไม่เอาไหนเพียงใด ก็ไม่ถึงขั้นไปล่วงเกินผู้หญิงของพ่อมิใช่หรือ?
“พูดไปแล้ว เกรงว่ามีเงื่อนงำอยู่ไม่น้อย” สำหรับถาวจวินหลันแล้ว นางรู้สึกว่าคุณชายผู้นั้นดูเหมือนจะถูกใส่ร้าย “จะมีเรื่องน่าบังเอิญเช่นนั้นได้อย่างไร เพิ่งจะสอบราชการได้ไม่เท่าไหร่ ต่อมาก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
สักพักหัวใจของนางก็เต้นแรง แล้วก็ยิ้มออกมา “ท่านว่า หากว่าท่านช่วยคุณชายผู้นั้นสืบหาความจริงเสียหน่อยจะเป็นเช่นไร?”
หลี่เย่ยิ้มออกมาทันที “ข้าก็กำลังคิดเช่นนั้น”
เขาวางแผนกำจัดแขนขาของเหิงกั๋วกงคนหนึ่งให้ราบคาบ ในเมื่อลงมือแล้ว จะไม่มีทางปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายรอดกลับมาได้อีก อีกทั้งผู้ว่าการกับเหิงกั๋วกงสนิทสนมกันมากเช่นนี้ ถึงตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรเหิงกั๋วกงก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยมิใช่หรือ?
พอนึกถึงผลสำเร็จของเรื่องนี้แล้ว รอยยิ้มของหลี่เย่ก็ยิ่งกว้างขึ้นอีก
พอเห็นรอยยิ้มของหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็รู้ว่าคุณชายผู้นั้นเป็นแสงสว่างส่องทาง นางจึงรู้สึกดีใจ แต่ว่าก็ยังคงพูดอย่างโกรธแค้นว่า “แต่ถึงอย่างไรผู้ว่าการคนนั้นก็เลวร้ายเกินไป เห็นได้ว่าผู้ชายไร้หัวใจ ไม่มีความเป็นคนเลยเสียจริง”
หลี่เย่กระแอมออกมา ท่าทางทำตัวไม่ถูก
ถาวจวินหลันหันไปหาเขาแล้วหัวเราะ “ข้าไม่ได้ว่าท่าน ท่านจะกระแอมทำไมกัน?”
หลี่เย่ยิ้มแหยๆ คิดในใจว่า จริงๆ แล้วเขาก็เป็นคนไร้หัวใจเช่นกัน หลิวซื่อ เจียงอวี้เหลียน และผู้หญิงคนอื่นในจวนตวนอ๋องก็เป็นเช่นนั้น เพียงแต่เขาไม่รู้สึกเสียใจ เขารู้ดีแก่ใจว่า ให้ความรักกับทุกคนถึงจะเรียกว่าทำร้ายคนอื่นอย่างร้ายกาจที่สุด หากหลิวซื่อไม่เป็นเช่นนั้นแต่แรก เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ส่วนเจียงอวี้เหลียนและผู้หญิงคนอื่นในจวนตวนอ๋อง หากไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องรับผิดชอบ ก็เป็นเพราะเขาปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือก
อีกทั้งเขาไร้หัวใจเช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีข้อดีมิใช่หรือ? อย่างน้อย พวกนางก็จะได้เข้าใจว่า แม้ว่าจะแก่งแย่งชิงดีกันไป พวกนางก็ไม่มีโอกาส นี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีให้ภายในเรือนอยู่กันอย่างสงบ
ถาวจวินหลันกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้…ถึงอย่างไรสำหรับนางแล้ว หลี่เย่ก็เป็นสามีที่ดีจนหาจากที่ใดไม่ได้อีก โดยเฉพาะหลังจากได้ยินเรื่องสกปรกภายในจวนของผู้ว่าการเมืองหลวงแล้ว นางยิ่งรู้สึกว่าหลี่เย่เป็นผู้ชายที่หาได้ยากในโลกนี้ อย่างน้อยสำหรับนางแล้วก็เป็นเช่นนั้น
ส่วนคนอื่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง ถึงขั้นว่าถ้าพูดจากใจจริง นางก็ยังหวังว่าหลี่เย่จะไม่ทำดีกับผู้หญิงคนไหน ในสายตาของเขามีแต่นางเพียงคนเดียวเท่านั้น
ผ่านไปอีกไม่กี่วัน งานแต่งงานของถาวซินหลันเข้ามาแล้ว แน่นอนว่าถาวจวินหลันต้องยุ่งวุ่นวายมากขึ้น อีกทั้งตอนนี้ ยังมีข่าวดีมาจากชายแดน ซินพานนำทหารเข้ารบกับข้าศึกจนได้รับชัยชนะ ถึงขั้นว่าตีเข้าไปภายในดินแดนแห่งทุ่งหญ้า จนสามารถจับผู้นำของพวกศัตรูมาได้
พอข่าวนี้แพร่ออกไปแล้ว เมืองหลวงก็คึกคักขึ้นมาทันที ต้องรู้ด้วยว่า กี่ปีมาแล้ว ที่ได้ทำการสู้รบกับดินแดนแทบทุ่งหญ้ามานาน แต่ไหนแต่ไรราชวงศ์นี้ก็ถูกโจมตีเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์มาโดยตลอด และไม่เคยได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่เช่นนี้! ถึงอย่างไร ฝ่ายศัตรูก็ไม่ได้อยู่กับที่ คนแถบนั้นต่างท่องตระเวนไปเรื่อย ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักเป็นแหล่ง!