บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 386
เรื่องการรื้อฟื้นคดีนั้นถึงแม้จะมีเบาะแสและมีความหวังแล้ว แต่ถาวจวินหลันก็ไม่ถือว่าร้อนใจอะไรนัก ถึงอย่างไรคนก็ตายไปแล้ว อีกทั้งยังรอมานานหลายปีเช่นนี้ แล้วยังจะใส่ใจเรื่องที่จะต้องรออีกหน่อยทำไมกัน?
กลับเป็นหลี่เย่ที่นางสนใจมากกว่า สำหรับนางแล้ว ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือลูกสาวลูกชายของนางทั้งสองคนกับหลี่เย่ ส่วนเรื่องรื้อฟืนคดีกลับอยู่ในลำดับหลังๆ
พูดไปแล้ว นางเองก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ…ตอนแรกที่เพิ่งเกิดเรื่องขึ้นกับบ้านตระกูลถาว แม้แต่เวลาที่นางฝันนางก็ยังคงคิดถึงเรื่องนี้ แต่ในตอนนี้พอใกล้จะเป็นความจริงเข้าทุกที นางกลับไม่เห็นร้อนอกร้อนใจ ทว่ากลับรู้สึกนิ่งสงบ นางรู้ดีแก่ใจว่า ไม่ช้าก็เร็วชื่อขุนนางนักโทษของบ้านตระกูลถาวต้องถูกลบล้างออกไป
กลับถึงเรือนเฉินเซียงแล้ว ถาวจวินหลันก็ให้สาวใช้ทั้งหมดออกไป เพื่อที่นางจะได้สะดวกคุยกับหลี่เย่ ทั้งสองคนนั่งตรงข้ามกัน บนโต๊ะมีกาดินเผาต้มชาวางไว้ ตอนยังเป็นเด็ก นางเรียนเรื่องวิธีชงชามาโดยเฉพาะ พอวันนี้ต้องมาทำจริงๆ กลับรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินนัก หลี่เย่จึงต้องคอยเตือนนางอยู่ตลอดว่าทำอย่างไร
จนกระทั่งชงชากานี้เสร็จแล้ว ถาวจวินหลันถึงเอ่ยปากถาม “ท่านเกลียดเฝินหยางโหวมากเลยรึ? ข้าเห็นวันนี้ท่าทีของท่านดูไม่ดีนัก”
หลี่เย่ที่กำลังยกชาขึ้นมาพลันชะงักกึก จากนั้นก็ดื่มชาเงียบๆ พอวางแก้วชาลงแล้ว ก็ดูใจลอยไปเล็กน้อย แล้วถึงค่อยๆ พูดว่า “ตอนที่ข้าถูกวางยาพิษ เสด็จปู่สั่งให้คนไปสืบ สุดท้ายสืบพบว่า จวนเฝินหยางโหวเป็นคนลงมือทำ เฝินหยางโหวยังยอมรับว่า ด้วยเห็นข้าได้รับความรักความโปรดปราน จึงกลัวว่าข้าจะส่งผลกระทบต่อฐานะของคังอ๋อง ถึงได้ลงมืออย่างโหดเ**้ยมเช่นนี้”
ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็ชะงักไปทันที ด้วยนางตกใจอย่างมาก จึงอ้าปากจะเอ่ยอะไร แต่กลับไม่ได้พูดออกมา หรืออาจจะพูดว่า นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ถึงแม้ว่าหลี่เย่จะเคยพูดถึงเรื่องถูกวางยาพิษมาก่อนบ้าง แต่กลับไม่เคยเอ่ยถึงจวนเฝินหยางโหวมาก่อน นางคิดมาโดยตลอดว่าฮองเฮาเป็นคนทำ อีกทั้งหลี่เย่ยังเกลียดฮองเฮามาโดยตลอดมิใช่หรือ? หรือว่า จริงๆ แล้วนางดูผิดไป?
ไม่ หากว่าเป็นฝีมือของเฝินหยางโหว จากอำนาจของจวนเฝินหยางโหวในตอนนี้แล้ว หลี่เย่คิดจะแก้แค้นก็ง่ายดายราวกับปอกกล้วย ไม่จำเป็นต้องปล่อยจวนเฝินหยางโหวมาจนถึงทุกวันนี้ นอกเสียจากว่า จวนเฝินหยางโหวเป็นเพียงแค่แพะรับบาป
“จวนเฝินหยางโหวรับผิดแทนฮองเฮาหรือ?” ถาวจวินหลันถามออกไปตรงๆ
หลี่เย่พยักหน้า แล้วยิ้มอย่างเย้ยหยัน “เกรงว่าหากตอนนั้นผู้ชายในจวนเฝินหยางโหวต้องถูกตัดหัวเพราะเรื่องนี้ พวกเขาก็ยอมทำเพื่อตำแหน่งฮองเฮาและองค์รัชทายาท จากนั้นก็รออีกไม่กี่ปี เพื่อที่พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้”
“จวนเฝินหยางโหวทำเรื่องโง่เขลาถึงเพียงนี้เชียวรึ? ถึงได้ยอมพนันกับเรื่องเช่นนี้?” ถาวจวินหลันรู้สึกสงสัย “อาจจะถูกฮองเฮาเอาเรื่องอะไรมาบีบบังคับก็เป็นไปได้? ไม่อย่างนั้น จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ถึงอย่างไรก็ต้องแลกด้วยผู้ชายทั้งตระกูล และชีวิตคนมากมายถึงเพียงนั้น…”
“เรื่องนั้นก็ไม่อาจรู้ได้แล้ว” หลี่เย่หรี่ตาลง “แต่ว่าในตอนนั้นวังเหิงกั๋วกงทูลขออยู่หลายต่อหลายครั้ง ถึงได้รักษาตำแหน่งของจวนเฝินหยางโหวเอาไว้ได้ ช่วงไม่กี่ปีมานี้ ฮองเฮาก็ดูแลจวนเฝินหยางโหวเป็นพิเศษ”
“หากว่าท่านไม่ชอบจวนเฝินหยางโหวจริงๆ ท่านก็หาข้ออ้างมาถอนรากถอนโคนพวกเขาให้ได้ก็พอ” ถาวจวินหลันเห็นท่าทีของหลี่เย่แล้ว ก็ค่อยๆ ถอนใจเบาๆ “แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ภายในครั้งเดียว แต่ก็ยังดีที่พอจะทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้าง”
หลี่เย่กลับยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่ต้องรีบร้อน พวกเขาอยากจะได้ตำแหน่งที่ใหญ่กว่านี้ แต่ข้าก็ทำให้พวกเขาต้องรอจนแทบจะไม่เหลือความหวัง รอจนกระทั่งเสียใจที่ได้ทำเรื่องในตอนนั้นลงไป แล้วถึงจะค่อยๆ กำจัดพวกเขาออกไปให้สิ้นซาก ทำให้พวกเขาผิดหวังเร็วเกินไป ถือว่าเป็นการมีเมตตาต่อพวกเขา ต้องรู้ด้วยว่า หากยิ่งหวังมาก ความผิดหวังก็จะยิ่งมาก”
ถาวจวินหลันเข้าใจถึงข้อนี้ เพียงแต่ก็ยังขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วยื่นมือไปกุมมือของหลี่เย่เอาไว้ “ความแค้นนี้ต้องชำระให้ได้สักวัน เหตุใดท่านจะต้องฝังใจและทำให้ตัวเองไม่สบายใจอยู่เช่นนี้? ท่านเป็นเช่นนี้ จะทำให้คนอื่นสังเกตเห็นได้ หากท่านจะต้องลำบากมาหลายปีเช่นนี้ แค่เพียงความพินาศเล็กน้อยของพวกเขาก็ไม่ชดเชยให้ท่านรู้สึกดีขึ้นมาได้”
ไม่ใช่แค่นางรู้สึกไม่คุ้มค่า เพียงแค่เห็นหลี่เย่ต้องไม่สบายใจด้วยเรื่องนี้ นางก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมนัก
“ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็อยู่ของพวกเราไป อยู่ดีๆ จะเอาเรื่องพวกนี้มากระทบจิตใจเพื่ออะไรกัน?” ถาวจวินหลันพูดขอร้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
พอหลี่เย่ถูกเตือนเช่นนี้ ฉับพลัน เขาก็รู้สึกตัวว่าช่วงนี้เขาร้อนอกร้อนใจมากเกินไปหน่อย อาจด้วยนับวันก็ยิ่งเข้าใกล้ชัยชนะมากยิ่งขึ้น เขาก็ยิ่งร้อนใจเรื่องการแก้แค้นมากยิ่งขึ้น ถึงขั้นว่าเรื่องพวกนี้มีผลกระทบต่อจิตใจแล้วเขาก็ยังไม่รู้ตัว
หลี่เย่ได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น “เป็นเพราะข้าควบคุมตัวเองไม่ดีเอง” หากวันนี้ถาวจวินหลันไม่เตือน เขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรเขาถึงจะรู้ตัว
ถาวจวินหลันเห็นเขาเข้าใจความหมายของนางแล้ว ก็ค่อยๆ โล่งใจได้ ท่าทางจึงดูอ่อนโยนลง ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ท่านจะต้องพักรักษาบาดแผลอยู่ในจวน ก็พอดีที่จะได้ผักผ่อนฝึกสติ หากร้อนใจจนเกินไป จะผิดพลาดได้ง่าย” ไม่ว่าจะเรื่องแก้แค้น หรือเรื่องในราชสำนัก
หลี่เย่พยักหน้า “เจ้าพูดถูก”
คิดแล้วหลี่เย่ก็พูดต่ออีกว่า “จะว่าไป ต้องให้ซวนเอ๋อร์เข้าเรียนแล้ว เวลานี้ก็ค่อยๆ เริ่มได้แล้ว พอดีตอนนี้ข้ายังมีเวลา ไม่จำเป็นต้องไปไหว้วานคนอื่น”
ถาวจวินหลันครุ่นคิด พลางเติมชาให้หลี่เย่ “เพียงแต่ซวนเอ๋อร์ยังเล็กเกินไป ท่านสอนเขา เขาก็อาจจะยังไม่เข้าใจ”
“ไม่เป็นไร แค่ท่องกลอนทั่วไป ก็ถือว่าน่าสนุกอย่างมาก” หลี่เย่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก คิดแล้วก็ยิ้ม “ต่อไปเรื่องการเรียนของหมิงจู ก็มอบให้ข้าเป็นคนดูแล ต่อไปหมิงจูไม่จำเป็นต้องเรียนเรื่องการบ้านการเรือนมากนัก ถึงอย่างไรด้วยตระกูลของพวกเรา ลูกสาวไม่มีทางต้องแต่งกับคนธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว”
ถาวจวินหลันได้ยินก็อดหัวเราะไม่ได้ “พอเถิด หากว่าให้ท่านสั่งสอนหมิงจู เกรงว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องเป็นแม่บ้านแม่เรือน จะกลายเป็นม้าดีดกะโหลกก็คงไม่ผิดนัก”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ เจียงอวี้เหลียนกลับอุ้มลูกเข้ามา เหตุผลก็คือ อากาศร้อน พอดีเดินมาถึงตรงนี้ จึงได้เข้ามาขอชาดื่มสักแก้ว
พูดออกมาเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันย่อมไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร ไม่อย่างนั้น จะดูเหมือนแม้แต่ชาแก้วเดียวก็ไม่มีน้ำใจ เช่นนี้ไม่เท่ากับใจแคบเกินไปหรอกหรือ? ดังนั้นถาวจวินหลันจึงได้แต่มองไปที่ชาที่นางชงไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “เพิ่งชงชาเอาไว้พอดี รีบเข้ามาเถิด ข้างนอกอากาศร้อน เดี๋ยวเซิ่นเอ๋อร์จะไม่สบายเอา”
พูดว่าอุ้มลูกออกมาเดินเล่น ถาวจวินหลันกลับไม่เชื่อนัก คำนวณดูจากเวลาที่หลี่เย่ไปเรือนชิวอี๋ นางก็เข้าใจทุกอย่างทันที เกรงว่าจะกลัวหลี่เย่ลืมเซิ่นเอ๋อร์ ดังนั้นจึงรีบอุ้มมากระชับความสัมพันธ์เสียหน่อยกระมัง?
หลี่เย่คิดแล้วก็สั่งสาวใช้ “ให้คนไปอุ้มหมิงจูกับซวนเอ๋อร์มา แล้วก็ไปอุ้มกั่วเจี่ยเอ๋อร์มาด้วย”
ถาวจวินหลันกลัวว่าเดี๋ยวสาวใช้จะไปอุ้มกั่วเจี่ยเอ๋อร์มาเพียงคนเดียวจริงๆ จึงรีบพูดเสริมไปว่า “เชิญจิ้งหลิงอี๋เหนียงมาด้วยเถิด”
เพิ่งพูดไม่ทันขาดคำ เจียงอวี้เหลียนก็อุ้มเซิ่นเอ๋อร์เข้ามา ถาวจวินหลันอดคิดไม่ได้ว่า เจียงอวี้เหลียนได้ยินที่นางพูดแล้วหรือไม่? หากได้ยินแล้ว จะคิดมากหรือไม่?
นางคิดเช่นนี้เพียงแค่วูบเดียวเท่านั้น…เจียงอวี้เหลียนจะคิดเช่นไร จริงๆ แล้วก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนางทั้งนั้น หากเจียงอวี้เหลียนจะคิดมาก ก็ทำได้เพียงแต่ปล่อยให้นางคิดมากต่อไป จะให้นางไปอธิบายก็คงจะไม่ใช่เรื่องมิใช่หรือ?
ถาวจวินหลันหันไปยิ้มให้เจียงอวี้เหลียน แล้วพูดว่า “ไม่ได้เจอกันพักหนึ่ง เซิ่นเอ๋อร์ตัวโตขึ้นไม่น้อยเลย”
เจียงอวี้เหลียนเองก็คลี่ยิ้ม แต่ว่ากลับหันไปทางหลี่เย่ “ตอนนี้เซิ่นเอ๋อร์รู้ว่าใครเป็นใครแล้วเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันจึงตั้งใจอุ้มมาถวายความเคารพท่านอ๋อง จะได้ไม่ทำให้เขาห่างเหินกับท่านอ๋องเพคะ”
เจียงอวี้เหลียนไม่ได้ปกปิดเลยแม้แต่น้อย นางพูดจุดประสงค์ของตัวเองออกมาอย่างชัดเจน ทำให้คนอื่นรู้สึกแปลกๆ และทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย จากนั้นหลี่เย่ก็ยิ้มแล้วพยักหน้า “ต่อไปหากข้าอยู่ที่จวน มีเวลาข้าจะเข้าไปดูเขา ช่วงนี้เจ้าก็ให้คนอุ้มเขามาให้ข้าดูทุกวัน พอดีเซิ่นเอ๋อร์ หมิงจูและกั่วเจี่ยเอ๋อร์รุ่นราวคราวเดียวกัน จะได้เป็นเพื่อนเล่นกันได้”
หลี่เย่คิดเช่นนี้จริงๆ …เด็กสามคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อยู่เป็นเพื่อนเล่นกันก็ไม่มีอะไรเสียหาย ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องกันทั้งนั้น ตอนเด็กๆ อยู่เป็นเพื่อนเล่นด้วยกันบ่อยๆ ต่อไปโตมาแล้วจะได้สนิทสนมกลมเกลียวกัน
เขาไม่อยากให้ต่อไปลูกของเขาต้องห่างเหินกัน ถึงขั้นเห็นกันเองเป็นศัตรู ดังเช่นเขากับพี่ชายน้องชายของเขาในตอนนี้
เจียงอวี้เหลียนยิ้มแล้วรีบรับคำทันที “หม่อมฉันจะอุ้มเซิ่นเอ๋อร์มาทำความเคารพท่านอ๋องทุกวันเพคะ”
หลี่เย่คิดไม่ถึงว่าเจียงอวี้เหลียนจะอุ้มลูกมาด้วยตัวเองทุกวัน พอได้ยินแล้วก็หันไปมองถาวจวินหลันโดยไม่รู้ตัว เขาอ้าปากอยากจะอธิบาย แต่สุดท้ายก็ได้แต่เงียบไป ถึงแม้ว่าในใจของเขาจะไม่อยากเจอเจียงอวี้เหลียนนัก แต่ถึงอย่างไรเจียงอวี้เหลียนก็เป็นแม่ของเซิ่นเอ๋อร์ อีกทั้งให้เอาเซิ่นเอ๋อร์มาคนเดียว บางทีเจียงอวี้เหลียนอาจจะไม่วางใจ
ดังนั้น ก็เอาตามนี้เถิด ถึงอย่างไรเขาก็เพียงแค่ดูลูกทุกวันเท่านั้น แล้วก็จะไม่ให้เซิ่นเอ๋อร์อยู่นาน แล้วก็จะไม่อยู่ตามลำพังกับเจียงอวี้เหลียน
ถาวจวินหลันไม่ค่อยสบายใจ เพียงแต่นางก็ได้แต่พยายามฝืนเก็บไว้ในใจ นางรู้ดีว่า นี่เป็นเรื่องปกติอย่างมาก อีกทั้งนางยิ่งเข้าใจดีว่า หลี่เย่คิดอยากให้ลูกๆ ของเขาเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก
พูดตามจริงแล้ว หากว่าซวนเอ๋อร์กับเซิ่นเอ๋อร์สนิทสนมกัน ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี
เพียงแต่นางไม่อยากเจอเจียงอวี้เหลียน เพราะนางรู้ดีแก่ใจว่า เจียงอวี้เหลียนจะไม่มีทางปล่อยโอกาสจับหลี่เย่ให้หลุดไปแม้แต่ครั้งเดียว อีกทั้งนางอุ้มเซิ่นเอ๋อร์เข้ามาทุกวัน สำหรับเจียงอวี้เหลียนแล้ว ก็ถือว่านางมีโอกาสนับไม่ถ้วน
หลี่เย่จะไปที่เรือนชิวอี๋ก็ไม่เป็นอะไร นางยังไม่รู้สึกอึดอัดเช่นนี้ ที่สำคัญก็คือเจียงอวี้เหลียนจะต้องเข้ามาที่เรือนของนาง ทำให้นางรู้สึกรังเกียจและขยะแขยง
แต่ว่านางก็ได้แต่กดความรู้สึกพวกนี้ลงไป…ไม่ว่าจะเวลาใด นางกับหลี่เย่ก็ไม่มีทางอยู่ด้วยกันเพียงสองคนได้ ไม่ว่าต่อไปหลี่เย่จะอยู่ในตำแหน่งไหน ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เกรงว่าแม้แต่จะต้องเลี้ยงเอาไว้โดยไร้ประโยชน์ก็ต้องทำ
ถาวจวินหลันคิดอย่างไม่ค่อยพอใจว่า บางทีนางไม่ควรคิดจะหลีกหนีจากเรื่องพวกนี้ แต่นางควรจะพยายามเผชิญหน้าใช่หรือไม่? หรือบางทีจะทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรไป? ไม่อย่างนั้น ต่อไปนางควรจะทำตัวอย่างไรดี?
ด้วยนางใจลอย จึงไม่ได้ยินว่าเจียงอวี้เหลียนพูดอะไรอีก เห็นแต่ว่าหลี่เย่ยิ้มแล้วพยักหน้า ในใจยิ่งรู้สึกสับสน ทว่าเพียงครู่เดียว นางก็รวบรวมสติกลับมา หากนางรู้สึกไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ ก็ยิ่งทำให้เจียงอวี้เหลียนสมหวัง หากนางทะเลาะกับหลี่เย่เพราะเรื่องนี้อีก ก็ยิ่งสมตามความตั้งใจของเจียงอวี้เหลียน ดังนั้นนางจึงไม่เพียงแต่ต้องทำตัวให้เหมือนสบายใจ นางยังต้องยิ้มรับด้วย! เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สุดท้ายคนที่ไม่สบายใจ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นใครกันแน่!