บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 390
วันต่อมา ถาวจวินหลันก็ได้ยินว่าจวนเพ่ยหยางโหวปลดปล่อยทาสออกไปจำนวนหนึ่งเนื่องจากเป็นการทำบุญให้คุณชายน้อยที่ไม่สบาย ไม่เพียงแต่ปลดปล่อยจากการเป็นทาส อีกทั้งยังได้ให้เงินไปจำนวนหนึ่ง
ได้ยินเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันยังจะต้องเดาอะไรอีก? นางเข้าใจได้ทันทีว่า เพ่ยหยางโหวฮูหยินได้ลงมือจัดการเรื่องต่างๆ แล้ว แต่ว่าจากมุมมองของนางนั้น ที่ทำเช่นนี้ถือว่าอ่อนโยนเป็นอย่างมาก หากว่าเป็นนางล่ะก็ ไม่แน่ว่าจะหาข้ออ้างเช่นนี้ ที่ทำเช่นนี้นั้น ข้อดีเพียงข้อเดียวก็คือถึงแม้ว่าจะตัดความสัมพันธ์กับจวนเหิงกั๋วกงแล้ว แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการทำอย่างน่าเกลียดจนเกินไป แล้วยังถือเป็นการเพิ่มชื่อเสียงด้านความมีเมตตาให้แก่จวนเพ่ยหยางโหวอีกด้วย
ถาวจวินหลันพูดกับหลี่เย่เรื่องพวกนี้ หลี่เย่ก็เดาสาเหตุได้ทันที “เกรงว่าเรื่องนี้เจ้าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง”
แต่ว่าจวนเพ่ยหยางโหวทำเช่นนี้ หลี่เย่ก็ถือว่ารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก…ก่อนหน้านี้ที่เขายังต้องปกปิดตัวเองไว้ ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับท่าทีที่ไม่แสดงตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นพวกไหนของจวนเพ่ยหยางโหว แต่ในตอนนี้ ท่าทีเช่นนั้นคงไม่พอแล้ว หากว่าจวนเพ่ยหยางโหวต้องการลงเรือลำเดียวกับเขาจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องแสดงท่าทีที่ชัดเจนออกมา อย่างน้อยก็จะประจบและทำดีกับทั้งสองฝ่ายไม่ได้
ดังนั้นเรื่องที่จวนเพ่ยหยางโหวเลือกอยู่ข้างเขา แน่นอนว่าเขาย่อมรู้สึกดีใจอย่างมาก จวนเพ่ยหยางโหวถือเป็นมิตรที่มีกำลังมาก ไม่อย่างนั้น ฮองเฮาก็ไม่มีทางจับไว้ไม่ยอมปล่อยมาตลอดมิใช่หรือ?
โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงความไม่พอใจของฮองเฮาแล้ว หลี่เย่ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมากทันที ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อคุณชายน้อยป่วย ข้าจำได้ว่าในจวนของเรามียาดีอยู่ไม่น้อย เจ้าเอาไปมอบให้เพื่อแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเสียหน่อย”
ถาวจวินหลันยิ้มแล้วรับคำ วันต่อมาก็หายาที่ใช้ได้ออกมาหลายชนิด แล้วก็เดินทางไปจวนเพ่ยหยางโหว
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเช่นนั้น ตอนที่นางไปถึงก็พบกับเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่พอดี
เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ยังคงมีท่าทีหยิ่งยโสไม่เปลี่ยน พอมองเห็นถาวจวินหลันแล้วก็พิจารณาเงียบๆ แล้วก็ไม่เอ่ยปากพูดอะไร
ถาวจวินหลันยังจำสายตาที่เหิงกั๋วหงฮูหยินใหญ่มองนางได้ ดังนั้นนางจึงไม่ชอบฮูหยินคนนี้ อีกทั้งนางยังรู้ดีแก่ใจ เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่รอให้นางเอ่ยปากทักทายก่อน
ตามหลักแล้วหญิงสาวอายุน้อยอย่างนางควรเอ่ยปากขึ้นก่อน เกรงว่าหากเห็นแก่ฮองเฮา นางก็ควรเอ่ยปากทักทายขึ้นก่อนเพื่อให้เกียรติ
ถาวจวินหลันไม่มองไปที่ท่าทีชวนให้รังเกียจของเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ เพียงแต่เอ่ยปากอย่างเนิบๆ ว่า “วันนี้ฮูหยินใหญ่เข้ามาเยี่ยมหลานชายหรือเจ้าคะ? ช่างบังเอิญเหลือเกิน อากาศร้อนเช่นนี้ท่านยังมา แสดงว่ารักและเอ็นดูหลายชายคนนี้อย่างมากจริงๆ”
เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ขมวดคิ้ว อาจด้วยรู้สึกว่าถาวจวินหลันไม่มีมารยาท ท่าทีจึงดูเย็นชามากขึ้นไปอีก “ที่แท้ชายารองถาวก็ว่างถึงเพียงนี้ ทำไมไม่คอยดูแลตวนอ๋องอยู่ในจวนเล่า?”
ท่าทีหยิ่งยโสและน้ำเสียงเชิงตำหนิเช่นนี้ แสดงออกว่าไม่เห็นถาวจวินหลันอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
ถาวจวินหลันไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด จึงได้แต่ยิ้มบางๆ “ฮูหยินใหญ่ยังมาแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะยุ่งถึงแค่ไหนก็ต้องหาเวลามาให้ได้”
ในที่สุดเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ก็ทนความเรียบเฉยในน้ำเสียงของถาวจวินหลันไม่ไหว ส่งเสียงคำรามอย่างเย็นชาและแล้วพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ถึงอย่างไรก็ยังไม่สมกับเป็นคนชั้นสูง” จากนั้นก็สะบัดตัวออกไป ท่าทางเช่นนี้ ยังดูสูงส่งมากกว่าฮองเฮาเสียอีก
ถาวจวินหลันถอนใจ แล้วก็ส่ายหน้า ดูท่าทางเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่จะแสดงท่าทีหยิ่งยโสเช่นนี้จนเคยตัว ไม่มีท่าทีว่าจะเก็บอาการเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ทว่าท่าทีสูงส่งยโสของนางเช่นนี้ คิดว่าคงทำให้ใครหลายคนไม่พอใจอยู่บ้างกระมัง?
แล้วก็ด้วยยังมีฮองเฮาอยู่ นางถึงได้ทำเช่นนี้ได้ หากสักวันหนึ่งฮองเฮาหมดอำนาจหรือไม่มีฮองเฮาแล้ว เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่จะต้องตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน คิดว่าคนที่นางทำให้ไม่พอใจนั้น จะต้องไม่ไว้หน้านางอย่างแน่นอน
แค่คิดถึงตอนนั้น ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าอดใจรอไม่ไหวแล้ว ในขณะเดียวกันนางก็หวังจากใจจริงว่า ฮูหยินใหญ่ท่านนี้จะอายุยืนยาวเสียหน่อย ไม่อย่างนั้นนางจะมีละครที่น่าสนุกให้ดูได้อย่างไรกัน?
แต่ว่า วันนี้ที่เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่มา เกรงว่าจะมาเพื่อเอาความจวนเพ่ยหยางโหวกระมัง? แต่ไม่รู้ว่าเพ่ยหยางโหวฮูหยินจัดการกับเรื่องนี้เช่นไร? เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ไม่ใช่คนรับมือได้ง่ายๆ
คิดมาตลอดทางเดิน สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ค่อยๆ เดินตามหลังเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่เข้าไปในเรือนด้านใน
กลับเป็นหงหลัวที่อดใจไม่ไหวแล้วเอ่ยปากถามขึ้นมา “ชายารองไปทำอะไรให้หรือเจ้าคะ? ถึงได้ทำท่าทีน่ารังเกียจเช่นนั้น”
สาวใช้ที่มาเดินนำทางจากจวนเพ่ยหยางโหวทำหน้าเห็นด้วย ถาวจวินหลันจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “มีอะไรน่ารังเกียจกัน? ข้าไม่มีความจำเป็นต้องประจบนาง กลับทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ นางอยากไม่พอใจเองมิใช่รึ? อีกทั้งสำหรับผู้น้อยแล้ว ก็ควรจะแสดงท่าทีที่เหมาะสมของผู้น้อย” เพียงแต่น่าเสียดายที่ฮูหยินใหญ่คนนี้ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ที่เหมาะสม นางก็ไม่จำเป็นต้องไปทำความสัมพันธ์อะไรกับอีกฝ่าย
ตลอดทางเดินมาจนถึงเรือนด้านใน แต่กลับไม่เห็นเพ่ยหยางโหวฮูหยิน คนที่มาต้อนรับนาง ก็คือฮูหยินสี่
ถาวจวินหลันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “พี่สะใภ้สี่ ทำไมถึงไม่เห็นท่านแม่ล่ะเจ้าคะ?”
ฮูหยินสี่กระซิบเสียงเบา “ไม่ต้องถามแล้ว ท่านยายยังอยู่ ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นที่อื่นก่อน เพื่อเป็นการหลบท่านยายใหญ่ ท่านแม่จึงแกล้งไม่สบาย”
ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว อดหัวเราะไม่ได้ เพ่ยหยางโหวฮูหยินถูกบีบบังคับจนถึงขั้นต้องทำเช่นนี้แล้วหรือ?
เหมือนกับจะดูออกถึงความคิดของถาวจวินหลัน ฮูหยินสี่จึงถอนใจแล้วกระซิบเบาๆ “ถึงอย่างไรนางก็เป็นท่านแม่ใหญ่ของท่านแม่ ท่านแม่ของเราจะไม่เคารพนางไม่ได้ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้หลบหน้าจากนางได้ ไม่อย่างนั้น จะไม่ถูกด่าว่าไม่กตัญญูหรือ?”
ไม่กตัญญู ถือเป็นความผิดที่ร้ายแรง เกรงว่าเพ่ยหยางโหวฮูหยินที่ในตอนนี้อายุมากจนเป็นย่าคนแล้ว ก็ยังคงทนรับคำด่านี้ไม่ไหว
“เช่นนั้นในเมื่อท่านแม่ป่วยแล้ว ตอนนี้ใครเป็นคนต้อนรับ?” ถาวจวินหลันคิด เกรงว่าเป็นใครไปต้อนรับก็คงไม่มีทางรับมือได้
ฮูหยินสี่ยิ้ม มีความเห็นอกเห็นใจอยู่ในนั้น “ยังจะมีใครอีก ก็พี่สะใภ้ใหญ่น่ะสิ พี่สะใภ้รองพี่สะใภ้สามก็คอยเตรียมช่วยเหลืออยู่ข้างๆ พวกนางยอมปล่อยข้า ข้าถึงได้มาหลบได้”
ถาวจวินหลันใจเต้น แล้วรู้สึกอยากรู้อยากเห็น จึงลากตัวฮูหยินสี่ไป “ไป พวกเราไปดูด้วยกันเถิด”
แน่นอนว่าฮูหยินสี่ไม่ยินดีไป จึงไม่ยอมขยับ แล้วอ้อนวอนว่า “โอ๊ย น้องสะใภ้ที่รักของข้า เจ้าอย่าบังคับข้าเลย ท่านยายใหญ่รับมือยากจะตายไป”
“กลัวอะไรรึ? ข้าเองก็เป็นแขก นางยังจะกล้าเล่นงานข้ารึ? อีกทั้งข้าเองก็ไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครมาทำอะไรได้ง่ายๆ ” ถึงแม้ว่าเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่จะเป็นแม้แท้ๆ ของฮองเฮา ก็ควรจะต้องแสดงความเคารพ แต่นางก็เป็นชายารองของท่านอ๋อง ตามลำดับฐานะแล้ว ก็ไม่ได้ต่างกันนัก เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่จะเก่งกาจถึงเพียงใด ก็ไม่มีทางมาทำอะไรนางได้ หากนางมีเหตุผล เช่นนั้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ถึงแม้ว่าผู้น้อยต้องให้ความเคารพผู้อาวุโส แต่ผู้อาวุโสก็ควรจะรักษาท่าทีที่ดีของผู้อาวุโสมิใช่หรือ?
ท่าทีของเหิงกั๋วกงฮูหยินเช่นนั้น ดูท่าแล้วไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือนัก ก็เพื่อไว้หน้าเท่านั้น แล้วยังจะต้องกลัวอะไรอีก?
“อีกอย่าง เจ้าไม่กลัวว่าพี่สะใภ้ทั้งสามจะรับมือไม่ไหวรึ มีพวกเราอยู่ ก็ยังดีที่พอจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง” ถาวจวินหลันพูดเสริมไปอีก เพื่อให้ฮูหยินสี่ไม่มีทางปฏิเสธได้
ฮูหยินสี่หวั่นไหวในใจ ถึงอย่างไรนางก็ยังรู้สึกกังวล ทั้งสองคนจึงหันหลังแล้วกลับเข้าไปด้านใน
ยังไม่ทันเข้าประตูไป ก็ได้ยินเสียงโกรธกรุ่นของเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ดังออกมา “หมายความว่าอย่างไร? คนเป็นแม่อย่างข้ามาถึงนี่แล้ว แม้แต่จะพบกับลูกสาวตัวเองเสียหน่อยก็ยังไม่ได้รึ?”
ถาวจวินหลันกับฮูหยินสี่สบตากัน จากนั้นก็ก้าวเข้าไป ยิ้มแล้วพูดเสียงดังว่า “เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ? ทำไมถึงได้ยินเสียงดังมาแต่ไกล?”
เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่นั่งทำหน้าโกรธเกรี้ยวอยู่บนเก้าอี้ พอเห็นถาวจวินหลัน ก็ส่งเสียงคำรามเยือกเย็นอย่างรังเกียจ แล้วก็หันหน้าหนีไป
ถาวจวินหลันทำเหมือนไม่เห็น เพียงแต่มองไปทางพี่สะใภ้ใหญ่ “พี่สะใภ้ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นรึ? อยู่ๆ ทำไมถึงทำให้ฮูหยินใหญ่โกรธถึงเพียงนี้? หากท่านแม่รู้เข้า จะลงโทษท่านได้”
พี่สะใภ้ใหญ่ยิ้มแหยๆ แล้วอธิบายอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ป่วย ฮูหยินใหญ่จึงอยากมาดู แต่ข้ากลัวว่าจะติดโรคไปด้วย จึงไม่กล้าให้ฮูหยินใหญ่เข้าไปจริงๆ”
ถาวจวินหลันพยักหน้า แล้วพูดเห็นด้วยอย่างเสียงดัง “ก็ควรเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฮูหยินใหญ่อายุมากแล้ว ร่างกายก็ไม่แข็งแรงเท่ากับหนุ่มสาวทั่วไป ก็ควรต้องระวังเรื่องนี้จริงๆ” สักพัก พอเห็นว่าเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่อ้าปากจะพูดอะไรออกมา ก็ตั้งใจไม่ให้นางได้มีโอกาสนั้น แล้วก็พูดต่อไปอีกว่า “แต่ว่า ท่านแม่ป่วยหนักขนาดนั้นจริงๆ รึ? ถึงขั้นไม่กล้าพบหน้าใครเลยรึ?”
พี่สะใภ้ใหญ่ถอนใจ สีหน้าแสดงความเสียใจ “ตอนแรกไม่ใช่ว่าคุณชายน้อยป่วยหรอกหรือ ท่านแม่ไปดูมาสองสามครั้ง ใครจะคิดว่ายังป่วยตามไปด้วย อาการไม่ถือว่าหนักมาก แต่ก็ไม่ถือว่าเบา แล้วก็ด้วยเหตุนี้ ถึงไม่กล้าให้ฮูหยินใหญ่เข้าไปเยี่ยม”
ถาวจวินหลันเองก็ถอนใจตามไปด้วย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่กล้าให้ฮูหยินใหญ่เข้าไปเยี่ยมจริงๆ หากเกิดเรื่องไม่คาดคิด ใครต่างก็รับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ไหวเป็นแน่”
เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่นั่งฟังทั้งสองคนพูดอย่างเต็มปากว่าตัวเองสุขภาพไม่ดี แค่ไม่ระวังก็จะตายเอาได้ ก็ทำให้โกรธไม่น้อย จากนั้นก็ควบคุมเอาไว้ไม่ไหว แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่ใช่คนอ่อนแอเช่นนั้น เพียงแค่ลมพัดก็จะปลิวไปได้อย่างนั้นหรือ? นางตั้งใจจะหลบหน้าข้า หรือว่าป่วยจริงๆ พวกเจ้าเองรู้ดีอยู่แก่ใจ”
ถาวจวินหลันทำหน้าขรึม ขมวดคิ้วทำหน้าไม่เห็นด้วย “ฮูหยินใหญ่พูดอะไรหรือเจ้าคะ? มีใครที่ไหนแช่งตัวเองให้เจ็บป่วยเช่นนี้? ที่ไม่ให้ท่านไป ก็ด้วยเป็นห่วงท่าน เกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ทำไมท่านถึงพูดเช่นนั้นได้เจ้าคะ?”
เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่ไม่ฟังเหตุผล เพียงแต่พูดอย่างแข็งกร้าวว่า “วันนี้ข้าจะนั่งรออยู่ตรงนี้ เมื่อไรข้าได้พบนาง ข้าถึงจะยอมกลับ!”
จำต้องพูดว่า ท่าทีเอาแต่ใจเหมือนเด็กของเหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่นั้นช่างน่าขัน ถาวจวินหลันถอนใจ แล้วโน้มน้าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยินใหญ่อย่าร้อนใจไปเลยเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงท่านแม่ เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านก็พักอยู่ที่นี่ รอจนท่านแม่หายดีแล้วค่อยส่งท่านกลับไปดีหรือไม่เจ้าคะ? ถึงอย่างไรพี่สะใภ้ทั้งสี่ก็เป็นคนมีความสามารจะต้องดูแลท่านได้อย่างแน่นอน”
พี่สะใภ้ใหญ่ไม่รู้เรื่องอะไร แต่ก็ได้พยักหน้าแล้วพูดออกมาว่า “ฮูหยินใหญ่พักอยู่ที่นี่ คิดว่าท่านแม่จะต้องหายป่วยในเร็ววันอย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว คิดว่าท่านพ่อรู้เรื่องนี้เข้า ก็จะรู้สึกดีใจ พี่ชายทั้งสี่ก็จะต้องดีใจอย่างแน่นอน” ถาวจวินหลันยิ้มแล้วพูดว่า “ลูกเขยก็ถือว่าเป็นลูกชายไปครึ่งหนึ่ง พี่ชายทั้งสี่ก็เป็นหลานของท่าน พวกเขาจะต้องดูแลท่านเป็นอย่างดีแน่นอน”
เหิงกั๋วกงฮูหยินใหญ่แทบจะกระอักเลือดออกมา…อย่าคิดว่านางไม่รู้ความหมายของคำพูดพวกนี้ ฟังดูดีแต่ความหมายโดยนัยคือกำลังเตือนนางว่านี่เป็นบ้านของลูกเขยนาง ไม่ใช่จวนเหิงกั๋วกง! อีกทั้งยังเป็นลูกเขยที่เป็นสามีของลูกเลี้ยงนาง!