บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 394 แม่ลูก
คำตอบเช่นนี้ของขันทีเป่าฉวน ก็ถือว่าเป็นการใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อย ไม่ถือเป็นการแสดงความคิดของตัวเองให้ชัดเจนแล้ว อีกทั้งยังถือว่าได้เตือนฮ่องเต้ หลังจากเกิดเรื่องขึ้นแล้วไม่ว่าใครจะสืบสาวหาความเช่นไร เขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้มากนัก
แน่นอนว่าฮ่องเต้เข้าใจดี จึงส่วยหัวมองเป่าฉวนและยิ้มบางๆ ขันทีพวกนี้ทุกคนต่างมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวกันทั้งนั้น
แต่จำต้องยอมรับว่า คำพูดของขันทีเป่าฉวนทิ่มแทงเข้าไปในใจของเขาพอดี ในราชสำนักมีคนไม่น้อยที่รู้สึกว่าเรื่องการแต่งตั้งชินอ๋องเป็นเรื่องใหญ่ในราชสำนัก นั่นก็ไม่ดีเช่นนี้ก็ไม่ได้ พูดไปพูดมาแล้วก็สรุปได้สั้นๆ ว่า ไม่เหมาะสม
สำหรับคนเป็นพ่อแล้ว อยากจะให้รางวัลและให้กำลังใจลูกชายของตัวเอง อยากจะชดเชยให้ลูกชายของตัวเองบ้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปอย่างที่สุด
พวกขุนนางที่ขัดค้านนั้น ก็แค่กลัวว่าหากแต่งตั้งเป็นชินอ๋องแล้ว จะส่งผลกระทบที่ตามมาอย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดกับคังอ๋องก็เท่านั้น ฮ่องเต้ทรงรู้เรื่องนี้ดีแก่ใจอย่างที่สุด แล้วก็ด้วยเข้าใจเป็นอย่างดี เขาถึงรู้สึกไม่พอใจ…ตัวเขาเองยังแข็งแรงดี แต่บรรดาขุนนางพวกนี้ต่างร้อนอกร้อนใจหาเจ้านายคนใหม่แล้ว เช่นนี้จะทำให้เขาสบายใจอยู่ได้อย่างไร?
โดยเฉพาะพวกเหิงกั๋วกง ที่เสนอความเห็นว่าสู้แต่งตั้งองค์รัชทายาทเสียก่อน แล้วค่อยแต่งตั้งชินอ๋องจะดีกว่า
ดูท่าทีแล้ว กำลังบีบบังคับเขาอย่างไรอย่างนั้น…ราวกับว่าหากเขาไม่ยอมแต่งตั้งคังอ๋องเป็นองค์รัชทายาท เช่นนั้นก็ไม่มีทางยอมให้แต่งตั้งชินอ๋อง
คิดเรื่องพวกนี้แล้ว สีหน้าของฮ่องเต้ก็เคร่งขรึมลงไปเล็กน้อย
ขันทีเป่าฉวนเห็นแล้ว ก็รีบพูดขึ้นว่า “ฮ่องเต้ พระพลานามัยทรงสำคัญที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็อย่าให้มีผลต่อการเสวยอาหารของพระองค์เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้มองไปที่อาหารอันโอชะที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่เขากลับรู้สึกไม่อยากอาหาร จึงได้ทิ้งตะเกียบลง “ไม่กินแล้ว ข้าจะไปเข้าพบไทเฮา”
ขันทีเป่าฉวนแอบดูสีหน้าที่ไม่ดีนักของฮ่องเต้ รีบรับคำแล้วโค้งตัวออกไปเตรียมเกี้ยว แน่นอนว่า เขารู้แก่ใจดี…ฮ่องเต้เสด็จไปวังของไทเฮาในตอนนี้ ก็ด้วยอยากจะถามความเห็นของไทเฮาเท่านั้น
จริงๆ แล้วนี่เป็นความเคยชินมาแต่ตั้งแต่เมื่อก่อน…ในตอนนั้นฮ่องเต้ยังเป็นองค์รัชทายาท เวลาที่ทรงพบเจอกับเรื่องอะไรที่ทรงคิดไม่ตก ก็จะเสด็จไปทูลถามความคิดของไทเฮา ทว่าตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์ ความเคยชินนี้ก็หายไปนานมากแล้ว
ขันทีเป่าฉวนคิดได้ว่าเมื่อครู่ฮ่องเต้ทรงเสวยพระกระยาหารไปเพียงไม่กี่คำ จึงแอบสั่งกับขันทีเล็กๆ ที่จะไปทูลที่วังของไทเฮา “ทูลไทเฮาว่า ฮ่องเต้ยังไม่ได้เสวยพระกระยาหารกลางวัน”
ขันทีเล็กๆ รับคำสั่งแล้วออกไป ขันทีเป่าฉวนจึงทูลเชิญฮ่องเต้ให้ขึ้นเกี้ยว
ตอนนี้อากาศร้อนขึ้นทุกวัน ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ในเกี้ยว จิตใจก็รู้สึกหงุดหงิดร้อนรุ่ม บวกกบเรื่องในราชสำนักพวกนั้น ยิ่งทำให้อารมณ์ของฮ่องเต้ไม่ดีเข้าไปใหญ่
ดังนั้นพอเข้าไปในวังของไทเฮาแล้ว ไม่ว่าใครต่างก็ดูออกว่าอารมณ์ของฮ่องเต้ไม่ดีนัก
ไทเฮาไม่ทรงถาม เพียงแต่ยิ้มแล้วสั่งให้คนไปจัดอาหาร “เจ้ามาได้เวลาพอดี จะได้มาทานอาหารเป็นเพื่อนข้า”
ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็แสดงความเป็นห่วง “เหตุใดเวลานี้แล้วเสด็จแม่เพิ่งจะเสวยอาหารพ่ะย่ะค่ะ?”
“อากาศร้อน ข้าไม่ค่อยอยากอาหารนัก” ไทเฮาถอนใจ “อีกทั้งทานคนเดียวก็ไม่อร่อย ก่อนหน้านี้มีซวนเอ๋อร์ก็ยังดีหน่อย ตอนนี้เหลือแต่ข้าเพียงคนเดียว ก็เลยรู้สึกไม่คุ้นชิน”
“เช่นนั้นก็ให้ตวนอ๋องส่งซวนเอ๋อร์กลับเข้ามาอยู่ในวังหลวงเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ตรัส คิดอยู่สักพักก็พูดอีกว่า “มิเช่นนั้นก็ให้ส่งหมิงจูเข้ามาก็ได้ หรือว่าลูกๆ ของคังอ๋องก็ไม่เลว”
ไทเฮาหัวเราะ “ลูกสาวของคังอ๋องสุขภาพไม่แข็งแรงนัก หากคลอดคนใหม่ออกมาเป็นชาย แล้วข้ารับเข้ามาเลี้ยงดู เกรงว่าฮองเฮาจะไม่พอใจ ตอนนี้ซวนเอ๋อร์นับวันยิ่งโตขึ้น ให้ตวนอ๋องคอยสั่งสอนเขาก็ดีแล้ว จะรับเข้ามาก็ไม่เหมาะ ส่วนหมิงจูก็ยังเล็กมาก คงไม่เหมาะสมนัก”
ฮ่องเต้คิดอยู่สักพัก “เช่นนั้นหลังจากอี๋เฟยคลอดแล้ว ก็เอาลูกของอี๋เฟยมาให้เสด็จแม่คอยเลี้ยงดูเถิด อี๋เฟย…”
ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ว่าอี๋เฟยมีอะไรไม่เหมาะสม แต่ความหมายจากคำพูดนั้นก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่า ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าอี๋เฟยไม่เหมาะเลี้ยงลูกเอง
ไทเฮาคิดแล้ว ก็พยักหน้าเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ได้” จากนิสัยของอี๋เฟย ไม่มีทางเลี้ยงดูลูกให้เป็นคนดีได้ อีกทั้งหากว่าอี๋เฟยเลี้ยงดูด้วยตัวเอง ต่อไปก็จะเพิ่มอำนาจให้ฮองเฮาอีก ตอนนี้บรรดาองค์ชายในวังหลวงก็มีเพียงไม่กี่คน หากถูกฮองเฮาลากไปเป็นพวกอีก ก็คงไม่ใช่เรื่องดีนัก
ทั้งสองคนทานอาหารเสร็จแล้ว ไทเฮาก็ยิ้มถามว่า “เหตุใดถึงมาเวลานี้หรือ?”
ฮ่องเต้ครุ่นคิดเงียบๆ สักพัก สุดท้ายแล้วก็เอ่ยปากถามไทเฮาถึงเรื่องที่เพิ่งถามขันทีเป่าฉวนเมื่อครู่
แน่นอนว่าไทเฮาไม่ต้องคิดมากอย่างเป่าฉวน ดังนั้นหลังจากนิ่งเงียบไปสักพักก็เอ่ยาว่า “ข้าเองก็เห็นนิสัยและความดีของตวนอ๋อง เจ้าเองก็รู้จักนิสัยเขาเป็นอย่างดี ต้องถูกเอาเปรียบต้องถูกทำร้าย จนเขาไม่สามารถพูดได้ ตั้งแต่นั้นมา เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับเขา นิสัยของเขาก็ยิ่งเงียบขรึมมากขึ้น เพียงแต่มีเรื่องเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็คือความกตัญญู ครั้งก่อนที่เขาไปรบ เจ้าเองก็น่าจะเคยได้ยินเรื่องข่าวลือในเมืองหลวง แต่หลังจากตวนอ๋องกลับมาแล้ว เขาก็ไม่เคยบ่นเลยสักคำ อีกทั้งครั้งนี้…เขาเพิ่งจะกลับมาพูดได้ ยังไม่ทันพูดได้คล่องแคล่วนัก ก็มีคนนั่งไม่ติดเสียแล้ว แต่เขาเคยบ่นหรือไม่? ก็ไม่เคย”
สักพัก หลังจากมองดูท่าทีของฮ่องเต้แล้ว ไทเฮาก็พูดต่อว่า “ถึงขั้นว่าหลังจากสืบเรื่องทุกอย่างจนรู้ผลแล้ว เขายังไม่เคยเอ่ยปากถามเจ้า เขายอมให้เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ต้องลำบากใจ”
ฮ่องเต้ถอนใจ ท่าทางดูรู้สึกผิด “ตวนอ๋องรู้ความ เป็นเพราะลูกไร้ความสามารถพ่ะย่ะค่ะ” สำหรับคนที่เป็นฮ่องเต้ จะต้องมายอมรับว่าตัวเองไร้ความสามารถนั้นถือว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ตอนที่ฮ่องเต้พูดเช่นนี้ออกมานั้น น้ำเสียงฟังดูสลดใจ
ไทเฮามองฮ่องเต้อย่างเมตตา “ถึงอย่างไรเจ้าก็เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ยังไม่มั่นคงนัก แต่เรื่องนี้ก็เป็นความผิดของเจ้าเองจริงๆ ตอนแรกเสด็จพ่อของเจ้าก็เตือนเจ้าแล้วว่า เอาญาติของฝั่งภรรยาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราชสำนักไม่ใช่เรื่องดี ตอนนั้นที่เสด็จพ่อของเจ้ากดอำนาจของตระกูลกู้ลงไปก็ด้วยเหตุนี้”
แน่นอนว่า การที่ตระกูลกู้หมดอำนาจลงไปนั้น นอกเหนือจากที่ฮ่องเต้องค์ก่อนกดอำนาจลงแล้ว ก็มีสาเหตุมาจากการที่บ้านตระกูลกู้มีบุตรและผู้สืบทอดสกุลยาก จนถึงรุ่นของกุ้ยเฟยแล้ว ก็เหลือเพียงแค่บุตรชายที่เกิดจากอนุเพียงคนเดียว ในบรรดาอนุที่มากมาย กลับมีลูกชายที่เกิดจากอนุเพียงคนเดียว ถึงแม้จะพูดได้ว่ายังมีคนสืบสกุล แต่ถึงอย่างไรลูกที่เกิดจาดอนุกับลูกที่เกิดจากภรรยาเอกก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงค่อยๆ ห่างเหินกันไป
สำหรับไทเฮาแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เป็นสายเลือดโดยตรงของตัวเอง ห่างกันอยู่หลายชั้น ก็อดยื่นมีไปช่วยเหลือไม่ได้ จนกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้อื่นเอามาพูดกันว่า นางตั้งใจยึดอำนาจเอาไว้
ฮ่องเต้พยักหน้า… “เป็นความผิดของลูกเองพ่ะย่ะค่ะ” เพียงแต่สถานการณ์ในตอนนั้น เขาเองก็ต้องพึ่งพาอำนาจทางฝั่งแม่ของไทเฮา ดังนั้นจะพูดว่าเสียใจคงเป็นไปไม่ได้ หรือหากมีความเสียใจ ก็คงไม่มากนัก
“ทหารในมือของจวนเหิงกั๋วกงมีอยู่ไม่น้อย แล้วผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน” ไทเฮาพูดกับฮ่องเต้อย่างแฝงนัย
ฮ่องเต้พยักหน้า “ลูกเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” อำนาจของจวนเหิงกั๋วกงมีมากจนเกินไป ในตอนนี้ถึงได้กล้าบีบบังคับเขาแล้ว ถึงขั้นเริ่มชักจูงให้เขาทำตามความต้องการ
“คังอ๋องก็ไม่เลว ถึงแม้ว่าจะดูธรรมดาเกินไปหน่อย แต่ก็ถือว่าอยู่ในกฎระเบียบและเหมาะสม ทั้งยังเป็นลูกชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก แล้วก็มีความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ เพียงแต่มีข้อเดียวที่ข้ากลับไม่ชอบ…เขาปฏิบัติต่อน้องชายของเขา ไม่ถือว่ามีความโอบอ้อมอารีนัก” ไทเฮาเอ่ยปากชมก่อน จากนั้นก็พูดถึงข้อเสียของเขาออกมา
ฮ่องเต้นิ่งขรึมไป
“ตอนที่ยังไม่ได้แต่งตั้งเป็นท่านอ๋องยังอยู่ในวังหลวงนั้น ตวนอ๋องถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ แต่กลับไม่เคยคิดจะขัดขวาง เพียงแค่ดูจากข้อนี้ เขาก็ไม่ใช่พี่ชายใหญ่ที่ดีนัก เจ้าเองก็รู้ว่า ตอนนั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงลำเอียงรักตวนอ๋อง เขาเองก็ต้องเสียใจอยู่ไม่น้อย แต่ตวนอ๋องเองก็ต้องได้รับความลำบากจากเรื่องนี้อย่างมหันต์เช่นกัน” พูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้ว แววตาของไทเฮาก็แสดงความโกรธออกมาเล็กน้อย แววตาที่ดูอ่อนโยนเมื่อครู่นั้นก็ดูแข็งกร้าวขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
ฮ่องเต้ยิ่งนิ่งขรึมขึ้นไปอีก เขารู้เรื่องของตวนอ๋องดี ที่ในตอนนั้นเขาไม่สนใจ ข้อแรกก็ด้วยเรื่องพวกนั้นไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนัก ข้อสองก็ด้วยเขาอยากจะสังเกตดูบรรดาลูกชายของเขา ข้อสามก็ด้วยโกรธไปก็ทำอะไรไม่ได้ ข้อสี่ก็ด้วยกลัวว่าหากตัวเองให้ความสนใจหลี่เย่เกินไปแล้วจะยิ่งทำให้หลี่เย่ยิ่งเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่เขาสังเกตลูกชายของเขาแล้ว จึงทำให้เขาไม่โปรดปรานจวงอ๋องและอู่อ๋องขึ้นมา ดังนั้นที่เขาไม่ค่อยสนใจลูกชายทั้งสองคนนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะตระกูลของแม่พวกเขาไม่สำคัญ
ส่วนเรื่องที่จะแต่งตั้งชินอ๋องหรือไม่นั้น ไทเฮาหลุบตาลงแล้วพูดว่า “ในเมื่อปล่อยให้อยู่อย่างเรียบง่ายแล้วก็ยังไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของตวนอ๋องได้ เช่นนั้นคนเป็นย่าอย่างข้าก็ขอเอ่ยปากเรียกร้องเกียรติและศักดิ์ศรีให้แก่เขา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อย่างน้อยหากเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ถือว่ายังให้เกียรติเขาบ้าง”
ฮ่องเต้มองฮองเฮาอย่างแปลกใจ
ไทเฮาถอนใจ แล้วพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็จะได้เป็นการดึงดูดความสนใจให้เจ้าได้อีกด้วย”
ฮ่องเต้กำลูกหินที่ถือเอาไว้ในมือแน่น จากนั้นก็มองไปทางไทเฮาอยู่พักใหญ่โดยไม่พูดอะไรออกมา
ไทเฮาเองก็ไม่พูดอะไรออกมาเช่นกัน
สองแม่ลูกนั่งอยู่ในห้องเงียบๆ เวลานี้ดวงอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยลงมา แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ส่องลงมาตรงพื้น
เวยทั้งสองแม่ลูกพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่มีคนอื่นๆ คอยถวายการดูแล ทั้งสองคนนั่งอยู่อย่างเงียบๆ เช่นนี้ บรรยากาศในห้องจึงเงียบสนิท
“เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว ฮ่องเต้ยังไม่กลับไปทำงานราชการอีกหรือ?” ในที่สุดไทเฮาก็เอ่ยปากทำลายความเงียบ
ฮ่องเต้รู้สึกตัว แล้วมองไปทางไทเฮาอย่างสับสน สักพักถึงพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “เสด็จแม่ไม่ได้ทรงรักตวนอ๋องมากที่สุดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ไทเฮาหัวเราะออกมา “แต่เจ้าเป็นลูกชายที่ข้าอุ้มท้องมานานถึงสิบเดือน”
ฮ่องเต้นิ่งอึ้งไปสักพัก สุดท้ายก็ยิ้มออกมา “ลูกขอตัวกลับก่อน อากาศนับวันยิ่งร้อนขึ้น หากเสด็จแม่ทนไม่ไหว เช่นนั้นปีนี้ลูกไปหลบร้อนนอกวังเป็นเพื่อนเสด็จแม่ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“หากว่าเจ้าไม่มีเวลาก็ช่างเถิด ถึงอย่างไรเรื่องราชการก็ต้องมาก่อน” ไทเฮาพยักหน้าแล้วหัวเราะ
ฮ่องเต้พูดต่อย่างไม่ลังเลว่า “ไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไรพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้จะไปอยู่บ้านพัก ก็ทำงานราชการได้เช่นกัน เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่เท่านั้น”
ไทเฮาได้ยินก็พยักหน้ารับคำ “เช่นนั้นก็ดี ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ออกไปหลายปีแล้ว ปีนี้ออกไปพักผ่อนหย่อนใจเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน”
ฮ่องเต้เรียกขันทีเป่าฉวนเข้ามา “เจ้าให้คนไปเตรียมการ ฤดูร้อนปีนี้ข้าจะย้ายไปวังฤดูร้อน”
ขันทีเป่าฉวนแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ยิ้มแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ควรออกไปพักผ่อนบ้างพ่ะย่ะค่ะ พวกบ่าวเองก็จะพลอยได้มีวาสนาไปด้วย”
สำหรับคนที่ถวายการดูแลฮ่องเต้อย่างใกล้ชิด จริงๆ แล้วบางครั้งขันทีเป่าฉวนยังเป็นห่วงฮ่องเต้มากกว่าบรรดาพระสนมเสียอีก ถึงอย่างไร หากเกิดอะไรกับฮ่องเต้จริงๆ บรรดาพระสนมต่างก็ยังได้เลื่อนขั้นเป็นไท่เฟยหรืออาจไปถือศีลอยู่วัดได้ แต่คนที่ถวายการดูแลอย่างใกล้ชิดส่วนมากจะต้องตายตามไปด้วย
ดังนั้นหากขันทีเป่าฉวนอยากมีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่านี้ เช่นนั้นก็จะต้องอยากให้ฮ่องเต้มีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้เสียหน่อย จริงๆ แล้วถึงแม้จะไม่ต้องตายตามฮ่องเต้ แต่หากว่าฮ่องเต้สวรรคตแล้ว พวกเขาเองก็หมดอนาคตเช่นกัน ถึงอย่างไรฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็ไม่มีทางใช้คนของฮ่องเต้องค์ก่อนอย่างแน่นอน ผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ก็เปลี่ยนขุนนางใหม่
เรื่องข่าวการเสด็จไปพระราชวังฤดูร้อนในปีนี้ได้แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้คนจำนวนไม่น้อยเตรียมการลงมือทำเรื่องไม่ดีกันแล้ว