บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 401 โง่เขลา
ทิวทัศน์ของวังฤดูร้อนใช้ได้เลยทีเดียว พวกนางเดินเล่นกันช้าๆ โดยที่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
องค์หญิงแปดตาไว “นั่นไม่ใช่อี๋เฟยรึ?”
ถาวจวินหลันหันไปมองตามทางที่องค์หญิงแปดชี้ไป พิจารณามองคนที่นั่งอยู่ในศาลาริมน้ำคนเดียวอย่างดี จากนั้นก็พยักหน้า “น่าจะเป็นอี๋เฟยจริงๆ” เกรงว่าในวังฤดูร้อนแห่งนี้ คนที่ตั้งครรภ์คงจะมีแค่อี๋เฟยเพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงมองออกอย่างง่ายดาย
“เหตุใดถึงไม่มีคนติดตามเล่า?” องค์หญิงเก้ามองไปแล้วก็รู้สึกงุนงง
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้างกายของอี๋เฟยไม่มีสาวใช้คอยถวายการดูแลเลยแม้แต่คนเดียว อี๋เฟยนั่งอยู่คนเดียว ไม่รู้ว่ากำลังนั่งเหม่อหรือกำลังทำอะไร
ถาวจวินหลันมองไปทางองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้า แล้วถามว่า “เข้าไปทักทายหน่อยดีหรือไม่?” ถึงอย่างไรหากเป็นนาง นางก็ไม่อยากเข้าไป
องค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็ส่ายหัวปฏิเสธ ถึงอย่างไรก็ไม่สนิทกัน ไปแล้วก็แค่ทักทายธรรมดาทั่วไปไม่กี่คำ ไม่รู้ว่าจะไปทำไมกัน
ถาวจวินหลันมองดูเส้นทางสักพัก “เช่นนั้นพวกเราก็เดินอ้อมไปทางป่ากันเถิด”
พวกนางยังไม่ทันได้เดินไปไกล ก็ได้ยินอี๋เฟยร้องเสียงแหลมขึ้น
พวกนางรีบหันไปมองทางอี๋เฟย กลับเห็นว่าอี๋เฟยล้มลงไปกองกับพื้นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ มือของนางยังกุมท้องเอาไว้
เห็นเช่นนี้แล้ว พวกนางต่างก็ไม่กล้าเดินไปไหน รีบเดินเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ถาวจวินหลันเดินไปหัวใจก็เต้นแรง แล้วคิดไปว่า หากเกิดอะไรกับอี๋เฟย ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกนาง แต่ถึงอย่างไรพวกนางก็โชคร้ายจริงๆ ไม่แน่ว่าก็อาจต้องโดนหางเลขไปด้วย
พอเดินเข้ามาใกล้ เสียงร้องโอ๊ยๆ ของอี๋เฟยก็ทำให้ทุกคนหนักใจทันที เพียงแต่ตอนนี้มองไม่เห็นนางกำนัลจากวังของอี๋เฟยเลยแม้แต่คนเดียว ถาวจวินหลันจึงทำได้แค่หันหน้าไปบอกให้องค์หญิงเก้าสั่งคนไปตามหมอหลวงมา แล้วก็สั่งให้หงหลัวรีบไปตามคนมา ส่วนนางและองค์หญิงแปดก็ก้าวไปข้างหน้า และประคองอี๋เฟยขึ้นมานั่งบนเก้าอี้
อี๋เฟยจับท้องของตัวเองอยู่ตลอด สีหน้าดูเจ็บปวดจนซีดเผือด
“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?” ถาวจวินหลันรู้สึกกังวลใจ รีบถามออกไป นางกลัวว่าอี๋เฟยจะแท้งลูก จากอายุครรภ์ของอี๋เฟยแล้ว หากแท้งคงเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ
อี๋เฟยเห็นว่าองค์หญิงเก้าสั่งคนไปตามหมอหลวง จึงรีบตะโกนออกไปว่า “เชิญหมอหลวงซู! เขาเป็นคนตรวจชีพจรของข้ามาโดยตลอด!”
องค์หญิงเก้าพยักหน้า “ไปเชิญหมอหลวงซูมา” ตอนนี้เชิญหมอหลวงที่รู้อาการของอี๋เฟยมา เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องดีที่สุด
ถาวจวินหลันเห็นว่าอี๋เฟยยังมีแรงเช่นนี้ นางจึงค่อยๆ โล่งใจได้…ดูท่าแล้วน่าจะกระทบถึงครรภ์เพียงเล็กน้อย การแท้งน่าจะเป็นไปได้ยาก
“เหตุใดอี๋เฟยถึงมาเดินอยู่คนเดียวเพคะ? นางกำนัลของท่านเล่า?” ถาวจวินหลันคิดถึงสถานการณ์น่าตกใจเมื่อครู่ จึงอดพูดมากไม่ได้ “ตอนนี้อี๋เฟยทรงตั้งครรภ์อยู่ ต้องระวังให้มากนะเพคะ อย่างน้อยก็ควรมีคนอยู่ด้วยสักสองคนถึงจะถูก”
อี๋เฟยกุมท้องไว้ เวลานี้ไม่ร้องโอดโอยแล้ว เพียงแต่ค่อยๆ ชักมือกลับจากมือของถาวจวินหลัน แล้วจ้องถาวจวินหลันด้วยดวงตาลุกวาว “ชายารองถาวอย่าจุ้นจ้านให้มากนัก”
ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าอี๋เฟยจะพูดเช่นนั้น จึงชะงักไปสักพักถึงค่อยๆ รู้สึกตัว หลังจากหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วนางก็ถอยออกไปหนึ่งก้าว และจัดกระโปรงของตัวเองที่ยับยู่ยี่ให้ดีและพูดว่า “หม่อมฉันจุ้นจ้านเกินไปจริงๆ ขออี๋เฟยทรงอภัยด้วยเพคะ!”
สักพักก็พูดต่ออีกว่า “ในเมื่ออี๋เฟยไม่อยากให้หม่อมฉันจุ้นจ้าน เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”
อี๋เฟยเม้มปากไม่พูดอะไร ดูท่าทางแล้วไม่พอใจนัก
องค์หญิงแปดกับองค์หญิงเก้ามองหน้ากัน ไม่รู้ว่าอี๋เฟยเป็นอะไรไป ฉับพลันถึงได้พูดกับถาวจวินหลันเช่นนี้ ถึงแม้จะบอกว่าอี๋เฟยตั้งครรภ์อยู่ จะทำอะไรเกินไปไม่ได้ แต่องค์หญิงแปดกับองค์หญิงเก้าเองก็รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก เป็นคนอย่างไรกันถึงได้ทำเช่นนี้ หากรู้แต่แรก พวกนางควรเดินหนีไปเสียตั้งแต่แรก ไม่สนว่านางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
องค์หญิงเก้าทำหน้าขรึม แล้วพูดว่า “พี่หญิงรอข้าด้วย ข้าจะไปกับท่าน”
องค์หญิงแปดจะไปก็ไม่ได้ จะอยู่ก็ไม่ดี คิดแล้วก็ยืนอยู่ที่นี่…จะออกไปหมดทุกคนก็คงไม่ดีนัก มิเช่นนั้นหากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ก็คงลำบากแล้ว
เพียงแต่พอได้ยินคำพูดของอี๋เฟยเมื่อครู่ องค์หญิงแปดก็ไม่ไปเข้าใกล้อีก ได้แต่ยืนรอให้คนมาอยู่ข้างๆ …แน่นอนว่า พอมีคนมา นางก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงนี้แล้ว
แน่นอนว่าถาวจวินหลันเองก็ไม่กล้าเดินไปไกล แค่เดินออกมาแล้วเลี้ยวไปรออยู่อีกมุมหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อออกมาด้วยกัน ถึงแม้ในตอนนี้องค์หญิงแปดจะยังอยู่ตรงนั้น แต่นางจะเดินกลับไปโดยไม่รอก็ไม่ได้มิใช่หรือ?
องค์หญิงเก้าขมวดคิ้วแล้วบ่น “อี๋เฟยเป็นอะไรกันแน่?”
ถาวจวินหลันไม่รู้สึกโกรธ กลับยิ้มและปลอบองค์หญิงเก้า “เหตุใดจะต้องรู้สึกไม่พอใจเพราะคนเช่นนางด้วยเล่า? ไม่เห็นต้องเก็บมาใส่ใจ นางอยากทำเช่นนั้นก็ปล่อยให้นางลำบากไปเถิด ต่อไปพวกเราไม่ต้องไปยุ่งเรื่องนี้อีกก็พอ”
องค์หญิงเก้าพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
ถาวจวินหลันกลับคิดในใจว่า อี๋เฟยเป็นเช่นนี้ ไม่แปลกที่นางไม่ได้รับความโปรดปรานนัก เพียงแต่ไม่รู้ว่าเวลานางอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้จะเป็นเช่นนี้หรือไม่
“แต่พูดไปแล้วก็แปลก อยู่ๆ จะล้มลงไปได้อย่างไรกัน” องค์หญิงเก้าพูดอย่างไม่เข้าใจ “หรือว่าตอนลุกขึ้นแล้วทรงตัวไม่อยู่?”
ถาวจวินหลันมององค์หญิงเก้าแล้วยิ้ม “นางว่าเราไปจุ้นจ้านเรื่องของนางแล้ว แล้วเจ้ายังจะไปคิดเรื่องนี้ทำไมอีก? ไม่ว่าจะล้มลงไปได้อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราต้องกังวลใจ”
องค์หญิงเก้าคิดแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง พอคิดถึงท่าทางของอี๋เฟย นางก็อดส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชาไม่ได้
ครู่เดียวองค์หญิงแปดก็เดินมา พอเห็นพวกนางทั้งสองคนก็บ่นว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนเดินหนีหายไป แล้วปล่อยข้าไว้คนเดียวจนข้าไม่รู้จะทำตัวเช่นไร! ช่างใจร้ายเหลือเกิน!”
ถาวจวินหลันรีบเอ่ยปากขอโทษ “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง”
องค์หญิงแปดโบกๆ มือ “ข้าไม่ได้โทษท่าน แต่ว่าข้าดูแล้ว เหมือนกับว่านางจะไม่ชอบท่านนัก ท่านเคยไปทำอะไรให้นางไม่พอใจหรือ?”
แน่นอนว่าถาวจวินหลันรู้สึกงุนงงไปหมด “จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? นางอยู่ในวังฝ่ายใน ส่วนข้าอยู่นอกวังหลวง ถึงแม้ว่าจะเข้าวังก็แค่ไปเข้าเฝ้าไทเฮากับฮองเฮาเท่านั้น ที่รู้จักก็ด้วยเมื่อก่อนเคยเจอสองสามครั้งเท่านั้น ครั้งนั้นองค์หญิงเก้ายังเป็นคนแนะนำให้ข้ารู้จักอยู่เลย”
องค์หญิงเก้าคิดถึงเรื่องครั้งนั้นได้ “เป็นเช่นนั้นจริงๆ อีกทั้งถึงแม้ว่าจะมีเรื่องไม่พอใจส่วนตัวก็ไม่ควรพูดเช่นนั้น”
ในวังหลวง ต่อให้มีความโกรธแค้นกันมากเพียงใด แต่ภายนอกก็ต้องไม่แสดงออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย ทว่ากลับต้องแสดงออกอย่างสนิทสนม มีที่ไหนเป็นเช่นนี้?
องค์หญิงแปดครุ่นคิดแล้วก็เห็นด้วย ส่ายหัวแล้วยิ้มแหยๆ “เช่นนั้นก็ยิ่งไม่รู้ว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
“บางทีอาจจะไม่ชอบที่ข้าพูดมากก็เป็นได้” ถาวจวินหลันหัวเราะอย่างเย้ยหยัน จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุย “เอาเถิด เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า ใกล้ถึงเวลาที่พวกเราต้องกลับกันแล้ว เดี๋ยวอีกสักครู่ยังต้องถวายการดูแลไทเฮาตอนเสวยอาหารเย็นอีก”
จากนั้นทั้งสามคนจึงได้เดินกลับไป กลับไปเป็นเวลาเหมาะสมพอดี หลังจากปลุกไทเฮาแล้ว ก็ถวายการดูแลไทเฮาล้างหน้าและหวีผม จากนั้นก็เตรียมตัวเสวยอาหารเย็น ส่วนอีกด้านหนึ่งก็มีคนเข้ามาทูลรายงานกับไทเฮาเรื่องอี๋เฟย “ครรภ์ของอี๋เฟยกระทบกระเทือน ตอนนี้ฝ่าบาทเสด็จไปดูแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาตกใจ แล้วก็ถามย้ำอีกรอบ “เหตุใดอยู่ๆ ก็กระทบกระเทือนถึงครรภ์ได้? เป็นเพราะนั่งรถม้ารึ?”
“เป็นเพราะล้มพ่ะย่ะค่ะ” คนที่มาทูลรายงานรีบอธิบายต่ออย่างรวดเร็ว “หมอหลวงตรวจดูอาการแล้วบอกว่าอาการค่อนข้างหนักพ่ะย่ะค่ะ อาจต้องคลอดก่อนกำหนด”
ถาวจวินหลันคิดไม่ถึงว่าจะรุนแรงถึงเพียงนี้ นางจึงเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วสบตากับองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้า
ขันทีคนนั้นพูดต่ออีกว่า “ยังดีที่องค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าเดินผ่านมาให้ความช่วยเหลือไว้ทัน มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร อี๋เฟยรับสั่งให้บ่าวมาขอบพระทัยองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าเป็นพิเศษพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาหันไปมององค์หญิงแปดองค์หญิงเก้าแล้วพยักหน้า “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปเถิด บอกให้อี๋เฟยรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี”
พอขันทีผู้นั้นกลับออกไปแล้ว ไทเฮาก็มองมาทางถาวจวินหลันอย่างแปลกใจ “พวกเจ้าสามคนออกไปด้วยกันมิใช่รึ เหตุใดถึงมีแต่เจ้าแปดเจ้าเก้าที่ได้พบกับอี๋เฟยเล่า?”
ถาวจวินหลันจะพูดความจริงไปก็ไม่เหมาะนัก จึงได้แต่ปกปิดเรื่องนี้ “ข้าเดินตามอยู่ข้างหลัง แล้วเลี้ยวไปผิดทาง จึงแยกกับพวกนางไปเพคะ”
พูดเช่นนี้ก็ถือว่าพอผ่านไปได้ ไทเฮาก็ไม่ได้ซักถามอะไรมาก พยักหน้าแล้วไม่ถามเรื่องนี้อีก จากนั้นก็ถอนใจ “ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ถึงล้มลงไปได้?”
องค์หญิงแปดส่ายหัว “ตอนที่ข้าเห็นก็ล้มลงไปกองกับพื้นแล้วเพคะ แต่ไม่รู้ว่าล้มลงไปได้อย่างไร อี๋เฟยไม่ได้บอก พวกเราเองก็ไม่ได้ถามเพคะ”
เป็นเพราะเรื่องนี้ จึงทำให้ไทเฮาไม่เจริญอาหารนัก เสวยอาหารเข้าไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
พอถวายการดูแลไทเฮาเสร็จแล้ว พวกถาวจวินหลันทั้งสามคนจึงร่วมทานอาหารด้วยกัน จากนั้นต่างคนก็ต่างลากลับเรือนของตัวเอง
พอมาถึงประตูของวังฤดูร้อน พวกหลี่เย่ทั้งสามคนก็รออยู่ตรงหน้าประตูแล้ว
ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ที่แต่งงานกันมานานแล้วไม่รู้สึกอะไร แต่กลับได้แกล้งหยอกล้อองค์หญิงแปดองค์หญิงเก้า “พระสวามีช่างเอาใจใส่ดีเหลือเกิน รีบกลับไปเถิด มิเช่นนั้นพระสวามีจะบ่นเอาได้”
องค์หญิงแปดหัวเราะแล้วส่ายหัว แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ส่วนองค์หญิงเก้าเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน จึงทำท่าเขินอายจนตัวม้วน แต่ว่าก็รู้สึกได้ถึงความหวานซึ้ง
องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าพักอยู่ไกล จึงต้องนั่งรถไป ส่วนเรือนของถาวจวินหลันกับหลี่เย่อยู่ข้างๆ จึงไม่ต้องรีบร้อนนัก ค่อยๆ เดินกลับไปก็ได้…แต่เนื่องจากไม่อยากให้หลี่เย่เหน็ดเหนื่อยมากนัก ดังนั้นถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเดินเหินด้วยตัวเองได้แล้ว แต่ก็ยังคงให้เขานั่งบนเก้าอี้
ถาวจวินหลันให้หวังหรูเดินตามอยู่ข้างหลัง ส่วนนางก็เข็นหลี่เย่อยู่ข้างหน้า
ทั้งสองคนเดินไปพูดคุยกันไป ท่ามกลางบรรยากาศในยามค่ำที่มีดาวเต็มท้องฟ้า ชวนให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
“เรื่องครรภ์ของอี๋เฟยกระทบกระเทือนนั้น เสด็จพ่อทรงกังวลเป็นอย่างมาก” อยู่ๆ หลี่เย่ก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แต่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน “แม้แต่เรื่องงานราชการก็ทรงละทิ้งไปกว่าครึ่งวัน”
โดยหนึ่งในนั้นยังมีเรื่องราชการด่วนอีกหนึ่งฉบับ จำต้องพูดว่า ในสายตาฮ่องเต้แล้ว เด็กในท้องของอี๋เฟยมีความสำคัญอย่างมาก
ถาวจวินหลันก้มลงไปมองหมวกหยกขาวของหลี่เย่ แล้วหัวเราะออกมา “ทำไมรึ หรือว่าท่านรู้สึกอิจฉาแล้ว?”
หลี่เย่ส่ายหัว แล้วพูดเสียงเบา “ก็แค่กังวลเท่านั้น ทำเรื่องเช่นนี้ ดูออกจะ…” เห็นได้ชัดว่าดูโง่เขลาเกินไปหน่อย
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของหลี่เย่ดี แต่กลับไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ถอนใจ “ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะทรงชราภาพขึ้นมาก จากตอนที่ข้าพบกับพระองค์ครั้งแรกที่วังเต๋ออันกับในตอนนี้ เปลี่ยนไปราวกับคนละคน”