บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 402
ตอนนี้พอมาคิดถึงช่วงที่ยังอยู่วังเต๋ออัน ถาวจวินหลันก็รู้สึกราวกับอยู่คนละโลกอย่างไรอย่างนั้น
ถึงแม้ฮ่องเต้ในตอนนั้นจะไม่ถือว่ายังหนุ่ม แต่ก็ไม่ถือว่าแก่ อีกทั้งความน่าเกรงขามที่มีนั้น ทำให้คนไม่กล้าสบตา แต่ถึงแม้ฮ่องเต้ในตอนนี้จะยังน่าเกรงขาม ทว่าไม่เท่ากับในตอนนั้นอีกต่อไปแล้ว กลับกลายเป็นความหม่นหมองและอมทุกข์เพิ่มขึ้นมา
สักพัก ถาวจวินหลันก็พูดเสริมว่า “มีลูกตอนแก่ จะให้ความสำคัญมากหน่อยก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา”
หลี่เย่กลับไม่พูดอะไรออกมาอีก
ถาวจวินหลันพูดเรื่องทั่วไปต่ออีกสักพัก แล้วก็คิดถึงเรื่องระหว่างหลี่เย่กับจวงอ๋องและอู่อ๋องเมื่อตอนกลางวันได้ จึงถามออกไปว่า “ท่านแสดงท่าทีกับจวงอ๋องและอู่อ๋องเช่นนี้ พวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจหรือไม่?”
“หากว่าพวกเรารักใคร่กลมเกลียวกันจริง เช่นนั้นแหละถึงจะถือว่าเป็นปัญหา” หลี่เย่หัวเราะ แล้วก็ไม่อธิบายใดๆ เพียงแต่พูดว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป ข้ารู้ขอบเขตดี”
ในเมื่อหลี่เย่พูดเช่นนี้แล้ว ถาวจวินหลันก็เชื่อใจเขา
วันต่อมาหลี่เย่ออกไปตามเสด็จฮ่องเต้ ตอนกลับมานั้น สีหน้าดูไม่ดีอย่างมาก
แน่นอนว่าถาวจวินหลันรู้สึกงุนงงไปหมด จึงถามออกไปอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไรไปรึ? มีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นเช่นนั้นรึ?”
“ซินพานถูกลอบฆ่าระหว่างเดินทาง เป็นตายเช่นไรก็ยังไม่รู้” หลี่เย่โพล่งออกมา และตบโต๊ะดังๆ และพูดอย่างโกรธแค้น “จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนเหิงกั๋วกงเป็นแน่!”
ถาวจวินหลันตกใจ จากนั้นก็ถลึงตาใส่เขา “ไม่กลัวเจ็บมือรึ!” นางไม่รู้ว่าจะปลอบหลี่เย่อย่างไร…ซินพานเป็นนักรบที่หลี่เย่ปั้นเองกับมือ นางเข้าใจดีว่าหลี่เย่ตั้งใจจะให้ซินพานเป็นคนคุมทหาร อีกทั้งความสำเร็จของซินพานในครั้งนี้ เขาเองก็ได้รับความดีความชอบไปด้วย ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับซินพาน ไม่เพียงแต่เป็นการตัดอนาคตของเขาเท่านั้น อีกทั้งยังจงใจจะหักหน้าเขาอีกด้วย
นักรบที่ป้องกันตัวเองจากการถูกลอบฆ่ายังทำไม่ได้ เช่นนั้นยังถือว่าเป็นนักรบได้หรือ?
“ท่านส่งคนไปสืบแล้วหรือไม่” สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ได้แต่พูดเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ดูไร้ประโยชน์เกินไปหน่อย นางถกแขนเสื้อของหลี่เย่ขึ้น แล้วตรวจสอบบาดแผลบนแขนของเขาอย่างละเอียด จากนั้นก็พูดว่า “ท่านร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว หากว่าโกรธจนทำลายสุขภาพของตัวเอง ก็จะยิ่งทำให้คนอื่นสะใจมากขึ้น ตอนนี้ท่านควบคุมอารมณ์โกรธ แล้วคิดหาทางเอาคืนเช่นไรดีกว่า”
“ตอนนี้ขุนนางหนุ่มในราชสำนักก็มีน้อยนัก อำนาจของเหิงกั๋วกงก็ครอบครองไปมากกว่าครึ่ง เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ซินพานเป็นหนึ่งในนั้นที่โดดเด่นมากที่สุด เพียงแต่ฐานะชาติตระกูลไม่สูงส่งเท่าไรนัก ถึงไม่ได้รับความสำคัญมาโดยตลอด” หลี่เย่ค่อยๆ ถอนใจ ท่าทางดูเคร่งขรึม “หากว่าเกิดเรื่องกับซินพาน ต่อไปเกรงว่าขุนนางหนุ่มผู้อื่นจะทำอะไรก็คงพะวงหน้าพะวงหลังเพิ่มมากขึ้น”
หากแม้แต่คนใต้อำนาจของเขายังปกป้องไม่ได้ ต่อไปใครจะกล้าเข้าร่วมกับเขา? หลี่เย่สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามกดความรู้สึกโกรธที่ทะลักออกมาจากในใจ
ถึงแม้ว่าถาวจวินหลันจะรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่ความรู้สึกที่มากกว่านั้นก็คือไม่รู้จะทำเช่นไร “ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการตัดโอกาสของท่าน แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้”
คิดแล้ว นางก็รู้สึกว่าตัวเองช่วยเหลืออะไรไม่ได้จริงๆ นางจึงไม่พูดอะไรต่อ ลุกขึ้นแล้วสั่งให้สาวใช้ยกน้ำบ๊วยใส่น้ำแข็งเข้ามา แล้วยังกำชับอีกว่าให้ใส่น้ำแข็งมากหน่อย
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือให้หลี่เย่สงบจิตสงบใจ มีเพียงแค่การสงบสติอารมณ์เท่านั้น ถึงจะทำให้คิดหาวิธีรับมือออกมาได้ และนี่ก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางทำเพื่อหลี่เย่ได้ตอนนี้
หลี่เย่ดื่มน้ำบ๊วยเย็นเข้าไปสองแก้ว อารมณ์ก็ค่อยๆ สงบลง พอส่งถ้วยให้ถาวจวินหลันเอาไปเก็บ เขาก็พูดขึ้นว่า “เจ้าสั่งให้คนไปตามจิ้งผิงมาคุยกับข้าหน่อย”
ถาวจวินหลันรู้ว่าหลี่เย่ต้องการจะปรึกษากับถาวจิ้งผิง จึงคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี อย่างน้อยก็มีคนให้ปรึกษาหารือ ดีกว่ามืดบอดอยู่คนเดียวเช่นนี้ จากนั้นนางก็รีบสั่งให้คนไปตามจิ้งผิงและภรรยามาทั้งคู่
เพื่อเป็นการปกปิดคนอื่น จึงบอกไปว่าเรือนของพวกนางมีผลไม้สดๆ ส่งมาใหม่ อยากให้พวกเขามาลองชิม
ทว่าที่เรือนของพวกนางก็มีผลไม้สดส่งมาจริงๆ ทั้งองุ่นและลูกท้อ
ถาวจวินหลันสั่งให้คนเอาผลไม้ไปล้าง จานหนึ่งส่งไปที่ห้องหนังสือ อีกจานก็เหลือไว้ให้ตัวเองและองค์หญิงเก้ากิน
ไม่นานถาวจิ้งผิงและองค์หญิงเก้าก็เดินทางมาถึง ถาวจิ้งผิงได้แค่ทักทาย จากนั้นก็ถูกหลี่เย่ลากเข้าไปในห้องหนังสือ
องค์หญิงเก้าสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงมองไปทางถาวจวินหลัน “พี่หญิง เกิดอะไรขึ้นรึ?”
“เจ้ารู้จักซินพานใช่หรือไม่? ซินพานถูกลอบฆ่าระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวง เป็นตายเช่นไรก็ยังไม่รู้” ถาวจวินหลันถอนใจ แล้วเล่าเรื่องนี้ให้องค์หญิงเก้าฟัง
ถึงแม้ว่าองค์หญิงเก้าจะเป็นผู้หญิง แต่ก็เติบโตจากในวังหลวง พอได้ยินแล้วก็รู้ใจความสำคัญได้ทันที “เช่นนั้นจะมีผลกระทบต่อพี่รองหรือไม่?”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “ซินพานเป็นคนที่พี่รองของเจ้าปั้นเองกับมือ ตอนนี้เกิดเรื่องกับเขา จะต้องมีผลกระทบต่อพี่รองของเจ้าอย่างแน่นอน อีกทั้งนี่ถือเป็นการหักหน้ากันเกินไปหน่อย”
องค์หญิงเก้าพยักหน้า ขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่สักพัก “เรื่องนี้ใครเป็นคนทำกันแน่? ซินพานเป็นคนที่ทำประโยชน์ให้แก่ราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นทหารที่เป็นที่รักของประชาชน นี่ไม่ได้เป็นเพียงการลอบฆ่าคนสำคัญของราชสำนักเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นการทำให้ประชาชนโกรธแค้นอีกด้วย แม้แต่เสด็จพ่อเอง คิดว่าก็คงทรงกริ้วไม่น้อย”
หลี่เย่ยิ้มแหยๆ “ถึงแม้จะไม่มีหลักฐาน แต่คนที่ลงมือทำเช่นนั้นได้จะเป็นผู้ใด? เพียงแค่คิดก็รู้แล้ว”
องค์หญิงเก้านิ่งขรึมไปทันที สักพักถึงได้พูดว่า “คนเลวทรามน่ารังเกียจ”
ถาวจวินหลันหยิบองุ่นส่งให้องค์หญิงเก้า “พอเถิดๆ ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว ปล่อยให้พวกผู้ชายเขากังวลใจกันไปเถิด พวกเรากินผลไม้ดื่มชาก็พอ”
องค์หญิงเก้าเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้นางช่วยอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงสลัดเรื่องนี้ออกจากหัวไป หยิบลูกท้อขึ้นมาแล้วกัดลงไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที “ทำไมถึงเปรี้ยวเช่นนี้!”
ถาวจวินหลันหัวเราะแล้วพูดว่า “รสชาติก็เป็นเช่นนี้แหละ ของในวังหลวงเป็นผลไม้ที่ปลูกเป็นพิเศษ ย่อมต้องมีรสชาติดี ถึงแม้ของพวกนี้จะไม่ได้หวานมาก แต่ก็ใช้ได้ ถือว่ามีรสชาติไปอีกแบบ”
องค์หญิงเก้ากัดไปอีกสองคำ เพื่อให้รู้รสชาติ แต่ว่าหลังจากกินหมดไปหนึ่งลูกก็ไม่กล้ากินต่ออีก ถ้ากินของพวกนี้มากไปจะไม่ดีต่อสุขภาพ
“เจ้าลองชิมองุ่นนี้ดูซี” ถาวจวินหลันส่งจานองุ่นสีขาวให้ “ได้ยินว่าเป็นของใหม่ที่นำมาจากเมืองทางตะวันตก”
องค์หญิงเก้าชิมไปหนึ่งเม็ด ก็รู้สึกราวกับว่าความหวานจะละลายเข้าไปถึงในหัวใจ จากนั้นก็พยักหน้า “ไม่เหมือนกับองุ่นพันธุ์ของพวกเราจริงๆ เพียงแต่หวานเกินไปหน่อย”
ทั้งสองคนพูดคุยกันเรื่องทั่วไปสักพัก เพียงแต่รู้สึกไม่ค่อยมีอารมณ์คุยนัก สุดท้ายแล้วก็ค่อยๆ เงียบไป ทั้งคู่ต่างไม่อยากหาเรื่องคุยต่อไปอีก ดังนั้นจึงได้แต่ต่างคนต่างเงียบ
หงหลัวที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกแปลกๆ จึงเรียกให้คนยกของว่างมา ยิ้มแล้วเสนอความเห็นว่า “เช่นนั้นเรียกจิ้งหลิงอี๋เหนียงมาเล่นไพ่ด้วยกันดีหรือไม่เจ้าคะ? ไม่อย่างนั้นเล่นหมากก็ไม่เลว หรือจะปักผ้าปักดอกไม้ นั่งอยู่เฉยๆ เช่นนี้ แม้แต่บ่าวเองก็ยังรู้สึกเบื่อเลยเจ้าค่ะ!”
ถาวจวินหลันได้ยินก็อดหัวเราะไม่ได้ “สาวใช้คนนี้ จุ้นจ้านเรื่องของข้าจริงๆ แต่ว่าที่เจ้าเสนอความคิดมานั้นก็ไม่เลว แต่ไม่ต้องไปเรียกคนอื่นมาหรอก ยกกระดานหมากมา ข้ากับองค์หญิงเก้าจะวางหมากกัน”
จากนั้นพวกนางก็นั่งเล่นหมากกันฆ่าเวลาตลอดทั้งบ่าย แล้วก็ให้ทั้งสองสามีภรรยาอยู่รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน แล้วถึงได้ให้พวกเขากลับไป
รอจนกระทั่งส่งสองสามีภรรยากลับไปแล้ว ถาวจวินหลันถึงพิจารณาดูหลี่เย่อย่างดี เห็นว่าเขายังคงหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ก็ไม่ได้ดูกังวลเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว นางจึงได้รู้ว่าหลังจากการปรึกษาหารือกันตลอดทั้งบ่าย ไม่ถือว่าทำไปโดยเปล่าประโยชน์
ตกดึกตอนเข้านอน หลี่เย่กับถาวจวินหลันนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน หลี่เย่เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้สามารถถวายฎีกาขึ้นไปได้ เรื่องเช่นนี้ ช่างทำให้คนรู้สึกกลัวจริงๆ ”
“จะถวายฎีกาได้อย่างไร?” ถาวจวินหลันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก
“มีคนคิดทำการกบฏ” น้ำเสียงของหลี่เย่เคร่งขรึมอยู่ในความมืด ดูเหมือนกับว่าทุกคำมีน้ำหนักและหนักแน่น แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เขาพูดยากลำบากจริงๆ
ถาวจวินหลันพูดซ้ำ “มีคนคิดทำการกบฏรึ?” มีคนคิดทำการกบฏ…ถึงแม้ว่าซินพานจะมีความดีความชอบอยู่มาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นนั้นมิใช่รึ? อีกอย่าง ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงต้องการจะใช้คน จะไม่มีทางทำเช่นนี้เป็นแน่
“เพียงแค่ทำให้ทุกคนให้ความสนใจในเรื่องนี้ก็เท่านั้น ข้ากลัวว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะไม่ได้รับความยุติธรรม ข้าจึงโหมเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ เพื่อลากทุกคนเข้ามาในเรื่องนี้ ถึงจะได้สืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง และจะได้แก้แค้นแทนซินพานได้” น้ำเสียงของหลี่เย่ยังคงเคร่งขรึมดังเดิม แต่ฟังแล้วดีกว่าก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก
ถาวจวินหลันครุ่นคิดเรื่องแผนการนี้โดยละเอียดแล้ว สุดท้ายก็พบว่า หากจัดการเรื่องนี้เช่นนี้ ถือว่าเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว หลี่เย่เพียงคนเดียวไม่สามารถสืบทุกอย่างให้กระจ่างได้ ดังนั้นจึงต้องยืมอำนาจของฮ่องเต้ ส่วนฮ่องเต้นั้น อาจด้วยแรงกดดันและการถูกบีบบังคับ สุดท้ายแล้วจึงทำให้ไม่มีทางจัดการกับเรื่องนี้ได้
ดังนั้น มีเพียงแค่ต้องลากฮ่องเต้เข้ามาเกี่ยวด้วยเท่านั้น ถึงจะทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้น
แต่ว่า…ถาวจวินหลันก็คิดบางอย่างขึ้นได้ “ช่วงนี้มีเรื่องการลอบสังหารบ่อยขึ้น ดูเหมือนว่าจะเป็นฝีมือของคนคนเดียวกันที่บงการ”
หลี่เย่ชะงักจนหยุดหายใจไป จากนั้นก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ เพียงแค่เอ่ยปากออกมาน้ำเสียงก็ฟังดูสนุกขึ้นมา “เจ้าพูดไปแล้ว ข้าก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องการลอบสังหารนั้น ช่วงนี้ดูออกจะมีบ่อยครั้งเกินไปหน่อย ครั้งแรกยังพอว่า ยังไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่ครั้งที่ลอบสังหารข้าและครั้งนี้ที่ลอบสังหารซินพาน กลับดูชัดเจนเป็นอย่างมาก นักฆ่าก็ยังถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี”
ถาวจวินหลันพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ คิดไปแล้ว พวกเขาจะต้องเป็นพวกเดียวกันอย่างแน่นอน”
“ที่สำคัญที่สุดก็คือ การฝึกฝนนักฆ่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย คำนวณเวลาดูแล้ว นักฆ่าที่ลอบสังหารข้ากับที่ลอบสังหารซินพานคงเป็นคนละกลุ่มกัน เจ้าว่า พวกเขาฝึกฝนนักฆ่าเอาไว้มากมายเช่นนี้เพื่ออะไรกัน?” น้ำเสียงของหลี่เย่ฟังดูหนักแน่น “พวกเขาวางแผนจะทำอะไรกันแน่?”
คำพูดของหลี่เย่ทำให้ถาวจวินหลันอดรู้สึกหนาวสะท้านไม่ได้ รู้สึกเพียงแค่ตรงคอของนางมีลมเย็นวาบเข้ามาปะทะ แล้วก็อดซุกตัวลงไปในอกของหลี่เย่ไม่ได้ จากนั้นนางถึงได้เอ่ยปากขึ้นว่า “เกรงว่าพวกเขาคงคิดจะใช้วิธีนี้กวาดล้างฝ่ายตรงข้ามไปให้หมดสิ้น อย่างเช่นท่าน ที่ไม่สามารถหาข้อผิดพลาดหรือจุดอ่อนใดๆ ได้ จึงมีเพียงแค่วิธีนี้”
“มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อๆ ไป” วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่มีผลสำเร็จมากที่สุด ไม่ว่าจะกดลงไปเท่าไร อีกฝ่ายก็ยังมีทางพลิกกลับมาตั้งตัวได้ แต่หากใช้วิธีถอนรากถอนโคนเช่นนี้ ทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้…ถึงจะเป็นวิธีที่ทำให้วางใจได้มากที่สุด
“ท่านขวางทางของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงต้องกำจัดท่าน หากว่ามีสักวัน ที่ฮ่องเต้ขวางทางของพวกเขา…” ถาวจวินหลันรู้สึกหนาวสะท้าน แล้วพูดไม่ออก ถึงแม้เรื่องนี้จะดูเกินความเป็นจริง แต่นางกลับรู้สึกมีลางสังหรณ์แปลกๆ ว่าเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้มากที่สุด
หลี่เย่นิ่งขรึมไปพักใหญ่ สุดท้ายแล้วก็ถอนใจออกมา “นอนเถิด เรื่องนี้มีข้าอยู่ เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”