บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 404 แก้แค้น
องค์หญิงแปดถอนหายใจออกมา พูดว่า “สรุปแล้วว่าทางด้านอี๋เฟยพูดอะไรก็ไม่มีใครรู้ แต่เสด็จพ่อบอกว่าพี่รองไม่ให้เขาโปรดปรานแต่เพียงคนเดียว และให้พี่รองบังคับคนที่อยู่ในเรือน ไม่อนุญาตให้คนในเรือนเย่อหยิ่งลำพองใจเพียงเพราะว่าได้รับการแต่งตั้งเป็นชินอ๋อง”
ที่จริงแล้วจากคำพูดที่ฮ่องเต้ว่ากล่าวหลี่เย่ ก็พอคาดเดาได้ว่าแท้จริงแล้วอี๋เฟยพูดอะไร
หลังจากที่ถาวจวินหลันได้ยินแล้ว ก็หัวเราะเสียงเย็นทันที “ข้ากลับไม่รู้เลยว่าข้าเย่อหยิ่งลำพองตนตั้งแต่เมื่อใดกัน”
องค์หญิงเก้าเองก็มีท่าทีแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม
องค์หญิงแปดกลับถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อเชื่อได้อย่างไร ท่าทีของไทเฮาตอนนี้ก็ไม่ค่อยดีนักและยังไม่รู้เรื่องนี้ หากรู้เรื่องเข้าคงจะต้องโกรธเคืองเป็นแน่”
ในใจของถาวจวินหลันคิดว่าต่อให้ไทเฮาโกรธแล้วจะเป็นอย่างไร? สุดท้ายแล้วในตอนนี้อี๋เฟยก็ตั้งครรภ์อยู่ถือว่ามียันต์คุ้มครองตนอย่างดี ไม่สามารถทำอะไรได้ อีกทั้งไทเฮาก็ไม่ได้โกรธแทนนาง แต่เป็นหลี่เย่ต่างหาก
“ตอนที่ฮ่องเต้ตรัส ยังมีคนอื่นอยู่อีกหรือไม่?” ตอนนี้ถาวจวินหลันกังวลเรื่องนี้มากที่สุด หากพูดต่อหน้าคนจำนวนมากก็ถือว่าหักหน้ากัน เกรงว่าต่อจากนี้อำนาจของหลี่เย่คงจะได้รับผลกระทบเป็นแน่
ถาวจวินหลันรู้สึกโกรธเคืองการกระทำเช่นนี้ของอี๋เฟยเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็เริ่มสับสน นางไปทำอะไรไม่ดีกับอี๋เฟยกันแน่? ถึงกับทำให้อี๋เฟยตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อนางอย่างไม่เหลือที่ให้ยืนเช่นนี้?
องค์หญิงแปดส่ายหน้า “ไม่มีใครอยู่หรอก เห็นได้ชัดว่าเสด็จพ่อก็ไว้หน้าพี่รองอยู่บ้าง”
ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น นิ่งคิดอยู่ในใจไม่ได้พูดอะไรออกมา หากไว้หน้าหลี่เย่จริง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดต่อหน้าคนอื่น ตักเตือนกันเป็นการส่วนตัวจะไม่เหมาะสมกว่าหรืออย่างไร? เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้เองก็มีความคิดอื่นแอบแฝงเช่นกัน
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็คิดได้ว่าหลี่เย่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับตน นางยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้น แน่นอนว่านางเข้าใจว่าที่หลี่เย่ไม่ยอมบอกนางก็ด้วยกลัวนางโทษตนเองและโมโหเคือง แต่เมื่อคิดว่าหลี่เย่ต้องแบกรับเรื่องนี้คนเดียวเงียบๆ นางก็รู้สึกขอโทษและเจ็บปวดหัวใจ
“พี่สะใภ้รองไม่จำเป็นต้องแค้นเคืองไป” องค์หญิงแปดปลอบประโลมต่อไป “พูดไปแล้วก็เพราะว่าเสด็จพ่อไม่เข้าใจท่าน อีกทั้งมีคนตั้งใจหาเรื่องถึงได้เป็นเช่นนี้”
ถาวจวินหลันกดความไม่พอใจลงไป แล้วยิ้มอย่างฝืดเคืองพลางพยักหน้า เรื่องนี้แม้ว่านางจะเคืองแค้นแล้วจะเป็นอย่างไรกัน? อย่างไรก็คงไม่สามารถไปหาฮ่องเต้เพื่ออธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนได้
ด้วยอากาศที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ของไทเฮาก็ยิ่งไม่ดีมาก แม้ว่าจะเสวยโอสถไปแล้วก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้ทุกคนต่างก็เริ่มเป็นกังวล อายุของไทเฮาก็มากแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปร่างกายคงจะรับไม่ไหวเป็นแน่ อีกทั้งนี่ก็เป็นเหมือนกับสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง เตือนให้ทุกคนรู้ว่าไทเฮามีร่างกายโรยราไปตามกาลเวลา
นอกจากถาวจวินหลัน องค์หญิงแปด และองค์หญิงเก้าแล้ว พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องก็ต้องเข้าไปดูแลรับใช้ทุกวันเช่นเดียวกัน โดยที่ตามบรรดาพระสนมทั้งหลายไป ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรก็จำจะต้องมาทุกวันสักครั้งหนึ่ง
ฮ่องเต้เองก็ต้องพาบรรดาลูกชายสองสามคนมาด้วยทุกวัน
กลับเป็นซวนเอ๋อร์และหมิงจูที่อายุน้อยเกินไป ไทเฮากลัวว่าทั้งสองพี่น้องจะติดโรคจึงไม่อนุญาตให้เข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว
ในที่สุดวันนี้จางหมัวหมัวก็ทนไม่ไหว ฉวยโอกาสยามฮ่องเต้เสด็จมา แอบขอร้องกับฮ่องเต้ว่า “เสวยโอสถก็ไม่เห็นผลเพคะ ไม่สู้เชิญคนมีฝีมือมาดูเสียหน่อยเล่าเพคะ? ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนทำของใส่อยู่ก็เป็นได้”
แต่ไหนแต่ไรมาฮ่องเต้ก็ไม่ชอบเรื่องมนต์ดำอะไรอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นไทเฮาที่นอนอยู่กับเตียงผ่ายผอม อิดโรย และสมาธิสั้นลงทุกวัน ฮ่องเต้ก็นิ่งไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ตอบตกลง
เรื่องนี้มอบให้กับจิ้งเฟยเป็นคนจัดการ ซูเฟยและจิ้งเฟย คนหนึ่งนั่งประจำการอยู่ที่วังหลวง อีกคนหนึ่งตามฮ่องเต้มาที่พระราชวังฤดูร้อนเพื่อหลบร้อน
เรื่องนี้ถาวจวินหลันก็รู้เรื่อง จึงอดพูดกับหลี่เย่ไม่ได้ ใครจะรู้ว่าหลี่เย่กลับถามอย่างสนใจ ถาวจวินหลันจึงพูดให้ฟังอย่างละเอียด
หลี่เย่ฟังจบก็เหมือนว่าคิดอะไรอยู่บางอย่าง “พูดเช่นนี้ดูมีเหตุผลอยู่บ้าง ขอแค่เกิดผลดีก็คงจะดี”
ถาวจวินหลันเองก็หวังว่าไทเฮาจะหายดีในเร็ววัน แล้วก็ถอนหายใจออกมา “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” หยุดไปครู่หนึ่งก็ฉุกคิดขึ้นได้ แล้วมองหลี่เย่ด้วยสายตาเป็นประกาย
หลี่เย่สัมผัสได้ จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมหรือ?”
ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ที่จริงข้ารู้แล้ว ว่าอี๋เฟยพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับข้า ทำให้ฮ่องเต้ว่ากล่าวตักเตือนท่าน”
หลี่เย่นิ่งไป จากนั้นก็พูดว่า “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่าคิดมากไปเลย”
ถาวจวินหลันคาดเดาถึงปฏิกิริยาของเขาได้ก่อนแล้ว ก็รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย เพียงพูดออกมาอย่างโมโหว่า “ข้ากลับไม่ได้ใจกว้างถึงเพียงนั้น เรื่องนี้ข้าจะต้องหาวิธีแก้แค้นเป็นแน่”
หลี่เย่กลับคิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะพูดเช่นนี้ ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ก็รู้สึกแปลกใจจนพูดไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงถามว่า “เจ้าตั้งใจจะแก้แค้นเช่นไร?” แต่เดิมนั้นเขายังไม่คิดจะสนใจอี๋เฟย แต่ในเมื่อถาวจวินหลันคิดมากเช่นนี้จะลงมือก่อนก็ไม่ถือว่าผิดอะไร
ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม มองดูท่าทีเช่นนี้ของหลี่เย่ก็รู้ว่าเขาวางแผนจะคล้อยตามนางสักครั้งหนึ่ง จึงยิ้มและพูดออกมาว่า “ท่านว่าไทเฮาเป็นเช่นนี้ด้วยมีคนคิดทำร้าย ฮ่องเต้จะทำเช่นไรเล่า? ด้านหนึ่งเป็นไทเฮา อีกด้านหนึ่งก็เป็นอี๋เฟยที่ตั้งครรภ์อยู่…”
หลี่เย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองถาวจวินหลันอย่างตกใจ พูดตามจริงแล้วเขาไม่เคยคิดถึงวิธีเช่นนี้มาก่อน ที่จริงมานั่งคิดอย่างละเอียดแล้ว ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีทีเดียว อย่างน้อยยังไม่ทันออกศึกก็ได้ชัยชนะมาครอบครองแล้ว และทำให้คนอื่นสืบหาร่องรอยได้ยาก ที่สำคัญกว่านั้นก็คือไม่ได้ทำร้ายอี๋เฟย แต่ทำให้อี๋เฟยไม่สามารถดิ้นรนไปที่ไหนได้อีก
“อี๋เฟยยิ่งไม่เข้าท่ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” หลี่เย่พยักหน้า พูดออกมาอย่างช้าๆ “เรื่องนี้เจ้าไม่อาจไปลงมือเองได้ ข้าจะจัดการให้”
ถาวจวินหลันรู้นัยแฝงในคำพูดของเขา เหมือนว่าอี๋เฟยไม่ได้ทำเพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น จึงรีบถามว่า “อี๋เฟยยังทำอะไรอีกหรือ?”
“เดี๋ยวคังอ๋องเองก็จะตามมาที่พระราชวังฤดูร้อน” หลี่เย่พูดกระชับได้ใจความ “ข้าคิดว่าอาจจะเป็นเพราะว่ามีคนไปพูดอะไรดีๆ ต่อหน้าเสด็จพ่อ” สำหรับคนที่พูดคำพูดเหล่านี้นั้น ในตอนนี้คิดมาคิดไปก็มีเพียงแค่อี๋เฟยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีความสามารถทำเช่นนี้ได้
ถาวจวินหลันได้ยินก็ขมวดคิ้วในทันใด ถ้วยชาที่ยกขึ้นมาก็ต้องวางลงไปใหม่ “เพื่อเรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาท ฮ่องเต้จะต้องไม่ชอบใจคังอ๋องซี ทำไมถึง…หากมีคนขอร้อง แต่ก็ไม่รู้ว่าไปพูดว่าอะไรถึงได้มีผลเช่นนี้”
คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อถือ หรือว่าฮ่องเต้จะเลอะเลือนเสียแล้ว? เพิ่งจะกดฮองเฮาลงไปได้ จากนั้นก็ยังมีหน้าตายิ้มแย้ม พูดจาอ่อนโยนกับคังอ๋อง นี่ไม่ใช่ว่าทำให้เรื่องที่ทำไปก่อนหน้านี้กลายเรื่องไร้ประโยชน์หรือ?
พูดได้แค่เพียงว่าอี๋เฟยมีความกล้าดี
ก่อนหน้านี้ถาวจวินหลันรู้สึกเพียงแค่ว่าฮ่องเต้ไม่ได้เหมือนคนที่หลงมัวเมาในกามารมณ์ แต่ตอนนี้ดูแล้วเหมือนนางจะประเมินฮ่องเต้สูงเกินไป ไม่เพียงแค่ประเมินฮ่องเต้สูงเกินไป และยังประเมินอี๋เฟยต่ำเกินไปอีกด้วย อี๋เฟยช่างมีความสามารถมากจริงๆ
จะต้องรู้ว่าอี๋เฟยเคยถูกฮองเฮาวางแผนเล่นงานมาก่อน จนทำให้ฮ่องเต้ไม่ชอบใจ แต่เพียงแค่พริบตาเดียวไม่เพียงแค่ตามเสด็จมาที่พระราชวังฤดูร้อน แล้วยังพูดจาเป่าหูฮ่องเต้ได้อีกด้วย
“หากเป็นเช่นนั้นจริง คงถึงเวลาต้องจัดการอี๋เฟยให้ดีแล้ว” ถาวจวินหลันพูดอย่างเคร่งเครียด รู้สึกว่าเรื่องนี้ควรต้องให้ความสำคัญแล้ว
หลี่เย่พยักหน้า เก็บความคิดของตนเองที่ว่าจะวางเรื่องนี้ไปก่อน และพิจารณาเรื่องนี้อย่างละเอียดว่าควรจะจัดการเช่นไร
“แต่ไม่อาจให้คนอื่นโยงมาถึงพวกเราได้นะเพคะ” ถาวจวินหลันกดเสียงต่ำลงหลายส่วนตามสันชาตญาณ พูดเรื่องเช่นนี้มักจะรู้สึกใจฝ่ออยู่เสมอ หวาดกลัวว่ามีคนจะรู้ หยุดไปครู่หนึ่งก็เริ่มคิดแผนร้าย ยิ้มและพูดว่า “ตอนนี้จิ้งเฟยเป็นคนจัดการเรื่องนี้ สามารถโยนไปไว้ที่ตัวนางได้” ตอนแรกที่จวงอ๋องและอู่อ๋องปฏิบัติเช่นนั้นต่อหลี่เย่ ในตอนนี้ก็ควรเรียกดอกเบี้ยกลับคืนมาซี แน่นอนว่านางไม่ได้พูดประโยคสุดท้ายออกมา
หลี่เย่เหลือบมองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง แล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “นี่ถือเป็นความคิดที่ดี” ในใจกลับคิดว่า หรืออู่อ๋องและจิ้งเฟยจะเคยทำอะไรให้ถาวจวินหลันไม่พอใจมาก่อนเช่นกัน? หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่ต้องเกรงใจที่จะลงมือให้มากกว่าเดิมเสียหน่อย
ถาวจวินหลันกรอกตามองเขา คิดสวดมนต์อยู่ในใจ “อมิตาพุทธ ข้าทำผิดศีลเสียแล้ว”
หลี่เย่หัวเราะทันที “เจ้าเชื่อพระพุทธเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
ถาวจวินกลันมีท่าทีจริงจัง “หลายวันก่อนหน้านี้ได้ช่วยไทเฮาคัดหนังสือสวดมนต์ จึงเริ่มเชื่อบ้างบางส่วนเพคะ”
พอพูดถึงไทเฮา อารมณ์ของหลี่เย่ที่แต่เดิมไม่ดีอยู่แล้วพลันเศร้าหมอง “ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรก็หวังว่าไทเฮาจะมีพระอาการดีขึ้นก่อน”
ถาวจวินหลันก็คิดเช่นนี้ นอกจากไทเฮาจะช่วยเหลือหลี่เย่ได้แล้ว ก็ยังมีความเอ็นดูต่อซวนเอ๋อร์
แม้ว่าในใจของนางจะไม่มั่นใจ แต่นางก็ยังคงยิ้มและปลอบหลี่เย่ “ไทเฮามีบุญบารมีสูงส่ง จะต้องมีเทพคอยปกปักรักษาอยู่เป็นแน่ จะต้องหายดีเป็นปกติแน่เพคะ วันข้างหน้ายังต้องคอยดูซวนเอ๋อร์โตอีก”
คำพูดดีๆ ใครก็ชอบฟัง แม้ว่าในใจหลี่เย่จะยังมีห่วง แต่ริมฝีปากก็ยังยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ
ทางด้านสามีภรรยาทั้งสองคนจะเป็นเช่นไรไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก ทางด้านเมืองหลวงนั้น คังอ๋องกลับเตรียมเก็บสัมภาระเพื่อออกเดินทางไปตากอากาศ
แต่เดิมพระชายาคังอ๋องอยากตามไปเช่นเดียวกัน แต่เพราะลูกสาวคนโตล้มป่วย ดังนั้นจึงรั้งตัวคอยดูแล เมื่อคิดดูแล้วจึงเลือกอนุภรรยาสองคนที่อายุน้อย หน้าตางดงามและยังว่านอนสอนง่ายให้ตามไป “ได้พวกเจ้าไปเป็นเพื่อนท่านอ๋อง ข้าเองก็สบายใจ”
คังอ๋องกลับโบกมือปฏิเสธ “คราวนี้ไปเพื่อไถ่โทษและแสดงความกตัญญู จะเอาอนุภรรยาไปสองคนทำไมกัน? ไม่เอาไป ไม่เอาไปแม้แต่คนเดียว จำเอาไว้ ข้าไม่อยู่ในจวน เจ้ากับทางด้านจวนเหิงกั๋วกงก็อย่าไปมาหาสู่กันให้บ่อยนัก”
พระชายาคังอ๋องครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้า “ยังคงเป็นท่านอ๋องที่คิดรอบคอบนัก ข้าเป็นเพียงผู้หญิงไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่น้อย”
คังอ๋องเหลือบมองพระชายาคังอ๋อง ถูกคำพูดนั้นกระแทกใจจนรู้สึกอบอุ่น อดหัวเราะอย่างเย่อหยิ่งไม่ได้ “เจ้าเพียงแค่จัดการเรื่องราวภายในจวนให้ดีก็พอ เรื่องโลกภายนอกยังมีบรรดาผู้ชายเช่นพวกข้าอยู่”
พระชายาคังอ๋องอมยิ้มมองไปยังคังอ๋องอย่างอบอุ่น และช่วยจัดการเสื้อผ้าให้คังอ๋อง “การไปครั้งนี้ ท่านอ๋องจะต้องลำบากไม่น้อยแล้ว”
เมื่อคิดถึงสถานการณ์เวลานี้ ท่าทีของคังอ๋องก็บิดเบี้ยวกะทันหัน นิ้วมือกุมเข้าหากันแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดอย่างเคียดแค้นว่า “ปกติแล้วบรรดาน้องชายที่แสนดีของข้าก็ดูเหมือนกับแกะ ทว่าเวลานี้กลับกลายเป็นหมาป่ากันไปหมด! เห็นได้ชัดว่าตอนแรกไม่ควรเมตตาต่อพวกเขา แต่ควรถอนรากถอนโคน! เบื้องหลังก็เช่นกัน ตอนแรกก็ควรลงมือ เมื่อได้ลงมือทำแล้วทำไมถึงไม่ทำให้ถึงที่สุด? เหลือเชื้อโรคเอาไว้จนถึงตอนนี้”
พระชายาคังอ๋องได้ยิน พลันหยุดการกระทำตอนนี้ แล้วรู้สึกจนปัญญาขึ้นมาหลายส่วน ดวงตาหลุบลงแอบซ่อนแววดูถูกในสายตาของตนเอาไว้