บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 405 เสนอแนะ
ตอนที่คังอ๋องเดินทางไปถึงพระราชวังฤดูร้อน โหราจารย์ก็ส่งผลลัพธ์ที่คำนวณออกมาทางม้าเร็วเช่นกัน
การคำนวณครั้งนี้ของโหราจารย์มีจุดประสงค์เรื่องฤดูแล้งของเมือเหอเป่ย ผลลัพธ์ที่คำนวณออกมาคือลมแล้งได้รวมตัวกัน เกรงว่าจะเกิดเหตุแล้งครั้งใหญ่ หากวางแผนให้เร็วและสวดมนต์ขอพร แม้ว่าจะช่วยผ่อนผันได้ แต่ว่าสถานการณ์ที่ลุล่วงไปแล้วกลับไม่มีจุดให้เปลี่ยนแปลง พืชพันธ์ในฤดูกาลนี้ยังคงไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ เกรงว่าจะต้องไร้ซึ่งผลเก็บเกี่ยวเสียแล้ว
การวิเคราะห์ของโหราจารย์ค่อนข้างตรง อย่างน้อยภายในสิบครั้งก็มีเก้าครั้งที่ถูกต้อง ดังนั้นพูดได้ว่า ถึงแม้ผลลัพธ์จากการคำนวณครั้งนี้จะเชื่อไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็เชื่อได้มากกว่าครึ่ง
จากความหมายของโหราจารย์ การขอฝนถือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถล่าช้าได้ เพื่อแสดงถึงความจริงใจ ฮ่องเต้ที่ถือว่าตนเองเป็นโอรสสวรรค์ก็ควรต้องรีบกลับเมืองหลวงไปขอฝนด้วยตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะทำให้สวรรค์เห็นใจและบรรลุจุดประสงค์ของการขอฝน
ฮ่องเต้ที่อ่านสาสน์ม้าเร็วก็นิ่งคิดไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็โยนฎีกานี้ให้หลี่เย่ “เจ้ารอง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
หลี่เย่เปิดฎีกาดูครั้งหนึ่ง นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ลูกคิดว่าข้อเสนอของโหราจารย์ดีมากพ่ะย่ะค่ะ เมื่อเป็นเช่นนี้หากว่าขอฝนสำเร็จ บารมีของเสด็จพ่อก็จะเพิ่มมากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ไทเฮาป่วยเช่นนั้น ข้าไม่วางใจ” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเอนหลังพิงเก้าอี้ แล้วออกแรงนวดหว่างคิ้ว ในใจคิดว่า อาการของอี๋เฟยยามนี้ไม่เหมาะให้มาทนทรมานอีก คงไม่ดีหากทิ้งให้นางอยู่ที่นี่คนเดียว
แน่นอนว่าหลี่เย่ไม่รู้ความคิดของฮ่องเต้ นึกแค่ว่าฮ่องเต้เป็นห่วงไทเฮาจริงๆ จึงถอนใจออกมา “พระอาการของไทเฮาช่างน่ากังวลจริงพ่ะย่ะค่ะ แต่อย่างไรแล้วแคว้นก็สำคัญที่สุด จากสถาการณ์เวลานี้ การขอฝนเป็นเรื่องจำเป็น แม้แต่ในเมืองหลวงก็ไม่มีฝนตกมาเกือบสองเดือนแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าเรื่องน้ำเพื่อการบริโภคก็คงจะเป็นปัญหาเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”
แต่เดิมที่ตั้งของเมืองหลวงก็ค่อนไปทางเหนือ ไม่ใช่ด้านใต้ที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ หากแห้งแล้งแล้วก็ยากที่จะจัดการ
ฮ่องเต้นิ่งเงียบไม่พูดจา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลี่เย่เห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าฮ่องเต้ไม่ยินยอมกลับไป คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากพูดว่า “อากาศร้อนถึงเพียงนี้ เสด็จพ่อกลับไปทนทรมานก็ถือว่าไม่เหมาะ แต่การขอฝนก็เป็นเรื่องจำเป็น ไม่สู้หาวิธีได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้นิ่งเงียบด้วยประหลาดใจ มองดูหลี่เย่ด้วยความคาดหวังหลายส่วน “วิธีได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายอย่างไรกัน? เจ้าบอกให้ข้าให้ฟังหน่อยซี”
“ไม่สู้ให้พี่ใหญ่ไปขอฝนแทนเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่ยิ้มอย่างอบอุ่น แล้วพูดวิธีนี้ด้วยความขัดเขินเล็กน้อย “พี่ใหญ่เป็นลูกคนโตของชายาเอก ฐานะสูงส่งเพียงใดไม่ต้องพูดถึง ไปทำพิธีขอฝนแทนเสด็จพ่อก็ถือว่าสมเหตุสมผลพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กลับขมวดคิ้วแน่น จ้องหลี่เย่อยู่พักใหญ่ “เจ้าคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดีจริงๆ อย่างนั้นหรือ?”
“ลูกคิดได้แค่วิธีนี้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่ถอนใจออกมา แล้วพูดด้วยความรู้สึกผิด “ลูกโง่เง่านัก ไม่สามารถผ่อนความกังวลให้เสด็จพ่อได้”
ฮ่องเต้สะบัดมือไปมา ท่าทีดูผ่อนคลายลง “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ใครจะคิดว่าปีนี้ข้าจะเกิดอยากมาตากอากาศหลบร้อน แล้วอากาศก็ดันแห้งแล้งเอาตอนนี้! นี่ถือว่าเป็นเรื่องจนปัญญาจริงๆ”
หลี่เย่ยืนอยู่ฝั่งหนึ่งไม่พูดไม่จา เรื่องนี้เขาทำได้เพียงพูดเสนอเท่านั้น หากเกลี่ยกล่อมต่อไปก็ถือว่าไม่เหมาะสมแล้ว
สามีองค์หญิงแปดและถาวจิ้งผิงที่ยืนอยู่ข้างหลี่เย่ก็ก้มหน้าก้มตาไม่พูดจาเช่นกัน
กลายเป็นฮ่องเต้ที่นึกถึงสองคนนี้ได้ ยิ้มและถามว่า “สามีองค์หญิงแปด จิ้งผิง พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
สามีองค์หญิงแปดมองหลี่เย่วูบหนึ่ง ก่อนพยักหน้า “กระหม่อมคิดว่านี่เป็นวิธีที่ดีพ่ะย่ะค่ะ”
ถาวจิ้งผิงเองก็แทรกขึ้นมา “ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นคังอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นตวนชินอ๋อง อู่อ๋องและจวงอ๋องก็ได้ทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้เป็นองค์ชายเจ็ดก็รับหน้าที่นี้ได้พ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้เป็นมังกรสวรรค์ที่แท้จริง ลูกชายของฮ่องเต้ย่อมต้องเป็นมังกร ในเมื่อเป็นมังกรก็สูงส่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ที่จริงถาวจิ้งผิงพูดเช่นนี้ก็ถือว่าพูดแทนหลี่เย่แล้ว นี่เป็นการเตือนฮ่องเต้ ท่านดู ตวนอ๋องเองก็ไม่เลว เลือกเขาเถิด
ฮ่องเต้อมยิ้มมองถาวจิ้งผิง ในใจคิดว่า สมแล้วที่เป็นน้องชายของภรรยา คำพูดคำจาล้วนเอนเอียงไปที่ตวนชินอ๋องทั้งหมด ทว่านิสัยนี้ของเขาก็ดีมาก ไม่ได้มีการหลบๆ ซ่อนๆ อ้อมไปอ้อมมา กลับจริงใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งพอพูดไปแล้ว เขาก็เป็นน้องชายของภรรยาตวนชินอ๋อง จะพูดแทนตวนชินอ๋องก็ถือเป็นเรื่องสมควร คนครอบครัวเดียวกันจะตีให้กระดูกหักอย่างไรก็ยังมีเส้นเอ็นที่เชื่อมต่อกันอยู่
ถาวจิ้งผิงเห็นท่าทางจับสังเกตของฮ่องเต้ก็ทำตัวนิ่งสงบ ไม่ได้แสดงท่าทีกักเก็บอารมณ์เลยแม้แต่น้อย นี่ยิ่งทำให้ฮ่องเต้คิดว่าเขาใช้ได้เลยทีเดียว
แต่เห็นได้ชัดว่าอย่างไรตวนชินอ๋องก็ไม่เหมาะสม ในใจของฮ่องเต้คิดขึ้นมา พอคิดไปคิดมาแล้วก็นึกถึงคำพูดเหล่านั้นของอี๋เฟย แล้วใจก็อ่อนลงพูดว่า “ให้คังอ๋องนำองค์ชายเจ็ดไปทำพิธีขอฝนด้วยกันเถิด”
หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดเสริมอีกว่า “ให้อู่อ๋องและจวงอ๋องตามไปด้วยกัน นี่ก็เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจของข้า แต่ตวนชินอ๋องเจ้าไม่จำเป็นต้องไป ร่างกายของเจ้ายังไม่หายดี ไม่เหมาะเดินทางไปมา”
หลี่เย่นิ่งไป จากนั้นก็ยิ้มอย่างชมเชย “เสด็จพ่อช่างรอบคอบเสียเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ ลูกรอบคอบได้ไม่เท่ากับเสด็จพ่อแม้แต่เสี้ยวเดียว”
ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนี้ก็ใจกระตุก ใช่แล้ว เจ้ารองเพิ่งได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับราชสำนักก็เมื่อสองปีนี้ ตนเองกลับเข้าใจเขาผิด เกรงว่าเขาคงไม่ได้คิดถึงทางนั้นแม้แต่น้อย
เมื่อคิดเช่นนี้ท่าทีของฮ่องเต้ก็ดูเป็นมิตรขึ้นมาหลายเท่า ยิ้มพลางเอ่ยชมขึ้นมา “เจ้าคิดได้ว่าให้คนไปแทนข้าก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อย่างอื่นก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป พอประสบการณ์เยอะ เรียนจนรู้แน่นอนว่าก็ต้องค่อยๆ คิดไปเดี๋ยวก็รอบคอบเอง”
หลี่เย่เอ่ยออกมาอย่างเคารพ “พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องที่คังอ๋องต้องพาบรรดาน้องชายกลับไปเมืองหลวงเพื่อประกอบพิธีขอฝนก็จบลง แต่น่าเสียดายที่คังอ๋องเพิ่งจะเดินทางมาถึงพระราชฐาน แม้แต่**บข้าวของยังไม่ทันได้เปิดออกมาก็ถูกฮ่องเต้เรียกพบ จากนั้นถึงได้รู้ว่าเขาจะต้องกลับไปยังเมืองหลวง
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ คังอ๋องก็เกิดอาการงุนงง แต่อย่างไรแล้วเขาไม่กล้าแสดงท่าทีไม่ยินยอมออกมา เพียงแค่รับเรื่องนี้อย่างนบนอบ “น้อมรับความเชื่อใจจากเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกจะต้องทำเรื่องนี้ให้ดีเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และกำชับอีกว่า “เวลาที่ขอฝนจะต้องแสดงความจริงใจออกมา อย่าได้ท่องมั่วซั่วเด็ดขาด”
คังอ๋องได้ยินเช่นนี้ก็คิดว่าฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับตนเอง ตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา รับปากเสียงหลง
ฮ่องเต้ก็พอใจกับท่าทางของคังอ๋อง คิดว่าอย่างไรแล้วก็เป็นลูกชายของตน จึงถอนใจออกมา “เจ้าเป็นพี่ใหญ่ จะต้องทำตัวเป็นแบบอย่างให้บรรดาน้องชายเห็นซี” จากนั้นก็พูดเรื่องอื่นอีก ความหมายของคำพูดเหล่านั้นล้วนเป็นการเอ่ยเตือนคังอ๋องให้อยู่ห่างจากจวนเหิงกั๋วกงให้มาก
คังอ๋องรู้ความหมายฝง ในใจคิดว่าเหมือนกับที่เสด็จแม่คาดการณ์เอาไว้ จึงรีบฉวยโอกาสนี้คุกเข่าลงบนพื้นแสดงความในใจของตนเองออกมา ไม่จำเป็นต้องพูด แน่นอนว่าต้องผลักเอาความรับผิดชอบทั้งหมดไว้ที่เหิงกั๋วกง พูดแค่ว่าตนเองไม่รู้เรื่องและสารภาพผิดด้วยตนเอง โขกหัวขอความเห็นใจให้ฮ่องเต้ให้อภัย
ไม่ว่าฮ่องเต้จะเชื่อหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วท่าทีของฮ่องเต้ก็ยินดีเบิกบาน แล้วรั้งตัวคังอ๋องให้ร่วมโต๊ะอาหารกับตน
ข่าวแพร่กระจายไปถึงทางด้านไทเฮา ไทเฮาก็หัวเราะออกมา “เป็นเช่นนี้ก็ดี อย่างไรก็เป็นพ่อลูก จะเอะอะโวยวายเช่นนั้นก็ไม่ได้น่าดูนัก พูดไปสุดท้ายก็เป็นเรื่องที่เกิดจากญาติสายนอกทั้งนั้น”
ถาวจวินหลันยืนฟังอยู่ข้างๆ ก็หัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน เอาถ้วยชาที่เย็นลงแล้วส่งขึ้นไป “มิใช่อย่างนั้นหรือเพคะ? ตอนนี้ทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้ว ไทเฮาจะต้องมีพระอาการดีขึ้นเร็ววันนะเพคะ ดูบรรดาลูกหลานสมัครสมานสามัคคีกัน ให้พวกเขาแสดงความกตัญญูต่อท่านถึงจะถูก”
ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มให้จางหมัวหมัว “เจ้าฟังคำพูดของนางเข้า ฟังแล้วเหมือนคนกินน้ำตาลเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น ข้าก็คิดว่าซวนเอ๋อร์เหมือนใคร ที่แท้ก็เหมือนนางนี่เอง”
แม้ว่าซวนเอ๋อร์จะยังอายุน้อย แต่ก็เป็นคนปากหวาน และด้วยเรื่องนี้จึงทำให้ได้รับความรักความเอ็นดูจากคนส่วนใหญ่
“เมื่อวานนี้ซวนเอ๋อร์ยังโวยวายจะมากับข้าอยู่เลยเพคะ ยังดีที่เกลี่ยกล่อมได้ ไทเฮาต้องแข็งแรงขึ้น ข้าจะได้พาซวนเอ๋อร์เข้ามาทำความเคารพพระองค์มิใช่หรืออย่างไรเพคะ?” เมื่อมีคนเอ่ยชมลูกชายของตนเอง คนเป็นแม่จะไม่ดีใจได้อย่างไร? นางเม้มปากคลี่ยิ้ม และยกถ้วยยาขึ้นสูงอีกเล็กน้อย ไทเฮาเสวยโอสถยาก กว่าจะเสวยโอสถได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่
อย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ไทเฮาคิดว่ายาขมและพูดว่า “ดื่มยากเย็นเช่นนี้ กินเข้าไปแล้วก็ไม่เห็นผล ปล่อยไปเถิด”
ถาวจวินหลันและจางหมัวหมัวกล่อมอยู่ครู่หนึ่ง ไทเฮาถึงยอมเสวย แล้วนางก็เอาของว่างให้ไทเฮาชิ้นหนึ่งเพื่อล้างปาก กำจัดรสชาติยาที่เหลือ เท่านี้ก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์
ไทเฮากลืนของว่างลงไป ก่อนถามจางหมัวหมัวว่า “รสชาติของว่างวันนี้ใช้ได้เลยทีเดียว เปรี้ยวๆ หวานๆ ชวนให้อยากอาหาร เป็นของว่างอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“เป็นขนมมะขามเพคะ ช่วงนี้อากาศร้อน พระองค์ไม่อยากอาหาร ชายารองตวนชินอ๋องเป็นคนทำและนำมาเองเพคะ” จางหมัวหมัวอมยิ้มมองถาวจวินหลัน แอบพูดเยินยอแทนนางเล็กน้อย
ไทเฮาประหลาดใจ มองไปทางถาวจวินหลัน พยักหน้าพลางชื่นชมว่า “เจ้าถือว่ามีใจแล้ว”
“หม่อมฉันไม่ได้ทำเพื่ออย่างอื่นเลยเพคะ ขอแค่พระองค์มีอาการดีขึ้น ซวนเอ๋อร์และท่านอ๋องก็จะดีใจ หม่อมฉันเองก็พอใจแล้ว” ถาวจวินหลันยิ้มพลางอธิบาย ไม่ได้พูดคำพูดที่เลี่ยนมากเกินไป ในใจของนางเข้าใจดี แม้ไทเฮาจะบอกว่าไม่ได้รังเกียจนางจริง แต่ถ้าบอกว่าไม่มีความรู้สึกห่างเหินหรืออึดอัดเลยก็ถือว่าเป็นเรื่องโกหก
ไทเฮายิ้ม กลับดูจริงใจมากขึ้น “เจ้าช่างจริงใจนัก”
เมื่อใกล้ถึงเวลาทานอาหารกลางวัน ไทเฮาก็ใช้ข้ออ้างเรื่องกลับไปดูแลซวนเอ๋อร์เพื่อไล่นางกลับไป
ถาวจวินหลันเพิ่งก้าวเท้าเดินออกไป ไทเฮาก็พูดกับจางหมัวหมัวว่า “เจ้าไปเชิญฮ่องเต้มาร่วมโต๊ะอาหารเป็นเพื่อนข้าเถิด”
จางหมัวหมัวคิดว่าไทเฮาเริ่มอยากอาหาร จึงยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง พูดระรัวว่า “ดูท่าทางของว่างจะได้ผลจริง พรุ่งนี้ให้ชายารองตวนชินอ๋องเอามามากเสียหน่อย ฮ่องเต้ทราบเรื่องนี้คงจะดีใจอย่างแน่นอนเพคะ”
ไทเฮาไม่อธิบาย เพียงแค่อมยิ้มน้อยๆ พูดเร่งว่า “รีบไปเชิญฮ่องเต้มาเถิด แล้วค่อยไปกำชับห้องเครื่องให้ทำอาหารที่ฮ่องเต้ชอบทาน แล้วพวกอาหารเรียกน้ำย่อยก็ทำบ้างสองสามอย่าง อากาศร้อนใครก็ไม่อยากอาหารทั้งนั้น”
จางหมัวหมัวรีบเร่งจากไป ไทเฮาหลับตาลงเพื่อพักผ่อนชั่วครู่ แต่แม้ว่าดวงตาจะหรี่ลงแต่หัวสมองกลับแจ่มแจ้งชัดเจนอย่างมาก แม้ว่าหลายวันมานี้นางจะป่วย สติไม่ได้ค่อยดีนัก แต่มีเรื่องอะไรบ้างที่นางไม่รู้เรื่อง? แค่นางไม่อยากเข้าไปยุ่งก็เท่านั้น แน่นอนว่านางเองไม่มีแรงไปยุ่งเกี่ยวด้วยเช่นกัน
เมื่อคิดถึงคำพูดของถาวจวินหลัน ไทเฮาก็ยิ้มกว้าง ถือว่าชาญฉลาดมากนัก หากนางเป็นชายาเอกของหลี่เย่ ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว แต่น่าเสียดาย…