บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 410 แนะนำ
ตอนที่คังอ๋องดีอกดีใจเพราะคำพูดประโยคนั้นของฮ่องเต้ หลี่เย่กลับใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ทุกวันเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป นอกจากทุกวันตอนเช้าจะไปช่วยฮ่องเต้จัดการเรื่องในราชสำนักบางอย่างแล้ว เขาก็กลับจวนมาใช้เวลาอยู่กับถาวจวินหลัน คนหนึ่งช่วยสอนหนังสือให้ซวนเอ๋อร์ อีกคนหนึ่งทำงานเย็บปักถักร้อย
ภาพเช่นนี้กลับเข้าตาฮ่องเต้เป็นพิเศษ และยิ่งเห็นเขาสำคัญมากขึ้น
ฝนตกหลายวันติดต่อกัน และก็ตกไม่เบาเลยทีเดียว เหมือนกับว่าเอาน้ำฝนจากช่วงเวลาก่อนหน้านี้มาตกทีเดียวพร้อมกัน เช่นนี้ก็สร้างความลำบากให้กับทุกคน แม้จะบอกว่าไม่ร้อนอบอ้าวอีกแล้ว แค่ก็ต้องเพิ่มชุดอีกตัวหนึ่งอย่างจำใจ อีกทั้งฝนตกนานเกินไปห้องก็มักจะอับชื้น ไม่ว่าจะเป็นผ้าห่มหรือว่าผ้าม่าน ก็เริ่มชื้นขึ้นมาบ้างแล้ว
ด้วยสภาพภูมิประเทศ จึงมีเรือนจำนวนไม่น้อยที่น้ำขัง วันนี้กู่อวี้จือก็จำต้องย้ายเรือนเช่นกัน
ถาวจวินหลันคิดไม่ตกเล็กน้อย “ซวนเอ๋อร์ดื้อเกินไปแล้ว ทุกวันจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหลายชุดนัก ตอนนี้ฝนตกตากผ้าก็ไม่ค่อยแห้ง เกรงว่าถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาจะไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่แล้ว” ความเป็นจริงตอนนี้นางสั่งให้คนทำเสื้อผ้าแบบหามรุ่งหามค่ำแล้ว ไม่เพียงแค่ซวนเอ๋อร์ แล้วยังมีของหมิงจูและหลี่เย่อีก ไม่ขอให้สวยงาม ขอแค่เพียงเอาไว้เปลี่ยนซักได้เท่านั้น รูปแบบของการปักเย็บก็ไม่ต้องมากพิธีนัก
ต่อให้เป็นเช่นนี้นางก็ยังคงเป็นกังวล อย่างไรซะผ้าก็มีจำกัด แต่ฝนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหยุดตกเมื่อไร
ถาวจวินหลันจึงทำได้แค่ติดวิธีหนึ่ง ให้คนไปขนถ่านมาจากเมืองหลวงสักสองสามคันรถ เหมือนกับที่โรงซักล้าง ด้วยตากผ้าไม่แห้ง จึงทำได้แค่ค่อยๆ อบจนแห้งเท่านั้น
แต่เพราะว่าฝนตกหนักเกินไป ต่อให้ใช้กระดาษมันมาอุดบังรูเอาไว้อย่างละเอียด ก็ยังคงเปียกชื้นไปกว่าครึ่งอยู่ดี ยังดีที่ไม่ได้ให้คนใช้ เพียงแค่นำมาอบเสื้อผ้าเท่านั้น แม้ว่าจะมีกลิ่นควัน แต่หลังจากนั้นมาอบหอมก็จะดีขึ้น
ฝนหนักเช่นนี้ อาการประชวรของของไทเฮาเพิ่งจะดีขึ้น อาการปวดเมื่อยตามข้อเข่าก็ตามมาติดๆ ถาวจวินหลันเลือกถ่านที่ดีหน่อยส่งไปให้ ให้คนจัดการอบเครื่องนอนและเสื้อผ้าของไทเฮาทั้งหมด และเตรียมเตาผิงมืออันเล็ก เอาไว้ลดความเจ็บป่วยจากอาการป่วยเมื่อยข้อกระดูก
สุดท้ายวิธีนี้ก็ให้ไทเฮาผ่อนคลายไปเล็กน้อย
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝนหนักเช่นนี้ ไทเฮาเองก็กังวลเป็นอย่างมาก
ถาวจวินหลันทำได้แค่พูดกล่อม “กังวลไปก็ไร้ประโยชน์เพคะ สวรรค์อยากให้ฝนตก ผู้ใดก็ขัดขวางไม่ได้ ถ้าหากว่าท่านเป็นอะไรไปอีก เกรงว่าฮ่องเต้คงจะไม่สบายใจมากขึ้นนะเพคะ”
“เรื่องการแต่งตั้งรัชทายาทได้ข้อสรุปแล้วหรือยัง?” ฉับพลันไทเฮาก็ถามอย่างไม่มีต้นไม่มีปลายเหตุ
ถาวจวินหลันอึ้งไป จากนั้นก็ก้มหน้าส่งเสียง “อืม” ออกมาเบาๆ
“ท้ายสุดแล้วอำนาจของญาติสายนอกก็ยังใหญ่” ไทเฮาหัวเราะเยาะ จากนั้นก็ดึงสายตาที่มองทอดไปยังม่านฝนนอกหน้าต่างมาทางถาวจวินหลัน “ตวนอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง? ได้ยินว่าเขายื่นฎีกาด้วย กล่อมฮ่องเต้ให้แต่งตั้งรัชทายาทอย่างนั้นหรือ?”
ถาวจวินหลันพยักหน้า ไม่ปิดบังไทเฮา “ท่านอ๋องเสนอฎีกาเพคะ อย่างไรแล้วถ้าจะต้องต่อสู้กันเยี่ยงสัตว์ ไม่สู้ไปตามน้ำแล้วค่อยหาโอกาสอีกครั้งเพคะ”
“เขาทำดีมาก” ไทเฮายกยิ้มขึ้นมา ส่งเสียงหัวเราะที่แฝงความชื่นชมออกมา “ท้ายสุดแล้วคนที่เป็นพ่อคน ก็ทำเรื่องอะไรหนักแน่นกว่านัก”
ถาวจวินหลันยิ้มในทันใด “หากท่านอ๋องได้ยินคำพูดนี้คงจะต้องดีใจแน่นอนเพคะ”
“เจ้าเองก็ต้องเตือนเขาบ่อยๆ อย่าได้หมดอาลัยตายยากเพราะความตกต่ำเพียงชั่วครู่” ตอนที่ไทเฮาพูดนั้นได้แฝงนัยที่ลึกซึ้งเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด
“เพคะ หม่อมฉันจะจดจำไว้ให้แม่น” ถาวจวินหลันรับคำอย่างหนักแน่น ในใจอดคิดไม่ได้ว่า ไทเฮาปฏิบัติเช่นนี้ต่อหลี่เย่แทบไม่มีอะไรจะให้พูด ด้วยเป็นย่าของทุกคน บางทีอาจจะทำได้ไม่ดีนัก อย่างไรก็ลำเอียงมากเกินไปเสียหน่อย แต่สำหรับหลี่เย่กลับดีจนไม่สามารถดีไปได้มากกว่านี้แล้ว
“ใจของเจ้าต้องคิดแน่ว่าข้าลำเอียง” ไทเฮาเหมือนมีวิชาอ่านใจอย่างไรอย่างนั้น
ถาวจวินหลันยิ้ม “ใจคนเรานั้นเอียงมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยมีคนที่อยู่ตรงกลางมาตลอดไม่ใช่หรืออย่างไร? ต่อให้เป็นท่านอ๋องก็ต้องรักและเอ็นดูซวนเอ๋อร์และหมิงจูมากกว่าเสียหน่อย คนอื่นคิดว่าท่านอ๋องลำเอียง แต่สำหรับซวนเอ๋อร์และหมิงจูแล้วกลับถือเป็นเรื่องดี”
“ที่จริงแล้วแม่ของเย่เอ๋อร์ก็เติบโตมาจากในวังหลวง พูดได้ว่านางและฮ่องเต้เป็นเหมือนเพื่อนสมัยเด็ก แต่เดิมข้าคิดเอาไว้ว่าจะเลี้ยงดูนางดั่งองค์หญิง โตขึ้นก็ให้ออกเรือนไป แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะอยากแต่งงานกับนางให้ได้ แต่ว่าตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนได้เลือกพระชายาองค์รัชทายาทเอาไว้แล้ว สุดท้ายจึงเป็นได้แค่ชายารองเท่านั้น” ย้อนกลับไปคิดเรื่องในอดีต สีหน้าของไทเฮาก็เหม่อลอย จากนั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ ถึงได้มีท่าทีเยาะเย้ยอยู่บางส่วน
“เพื่อเรื่องนี้ ฮ่องเต้องค์ก่อนและข้าเคยทะเลาะกันครั้งหนึ่ง และเป็นในตอนนั้นที่ตระกูลกู่เริ่มกดหัวฮ่องเต้องค์ก่อน จุดประสงค์ก็เพราะไม่อยากให้ญาติฝ่ายหญิงเข้ามาเกี่ยวข้องกับราชสำนัก” ร่องรอยเยาะเย้ยบนริมฝีปากของไทเฮายิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ “ยังดีที่คนในตระกูลกู่มีน้อย ข้าเองก็ไม่ยอมให้พวกเขาไปแก่งแย่งชิงดีทรัพย์สมบัติคะคานกันเรื่องอำนาจ จึงได้ผลักเรือไปตามน้ำ แต่คิดไม่ถึงว่ากลายเป็นการทำร้ายแม่ของเย่เอ๋อร์”
ได้ยินไทเฮาพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็พอคาดเดาอะไรบางอย่างออก เห็นได้ชัดว่า ในตอนนั้นเพราะว่าตระกูลกู่ล่มสลาย ฮองเฮาถึงได้กล้าลงมือกับหลี่เย่และแม่ของหลี่เย่อย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่เช่นนั้น นี่ก็เป็นเหตุผลที่ไทเฮามีกำลังแต่ไม่มีแรง
“เพราะว่าตอนแรกตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทเกือบจะหลุดลอยไป ฮองเฮาถึงได้คิดแค้นเรื่องนี้มาโดยตลอด” ไทเฮาหัวเราะเยาะ “เห็นได้ว่าผู้หญิงที่ฉลาดเฉลียวแข็งแกร่งต่างก็หนีไม่พ้นคำว่าริษยา แต่น่าเสียดายของที่ไม่ได้เป็นของนางจะแย่งไปอย่างไรก็ไร้ประโยชน์”
ดังนั้นฮ่องเต้จึงปฏิบัติต่อฮองเฮาเหมือนมีอะไรกั้นกลางอยู่ตลอดเวลา ถาวจวินหลันเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
“แม่ของเย่เอ๋อร์เป็นลูกสาวคนโตของชายาเอกคนเดียวของพี่ข้า และพี่สะใภ้ของข้าก็เป็นเพื่อนผู้หญิงที่สนิทชิดเชื้อเพียงคนเดียวของข้าสมัยยังเป็นสาว” ไทเฮารำลึกความหลัง “นางเป็นคนรู้ความตั้งแต่เด็ก และรู้ว่าต้องกล่อมรัชทายาทให้พัฒนา แต่สิ่งเดียวเลยคือใจอ่อนเกินไป ไม่โหดเ**้ยมพอ ไม่มีแผนการ มิเช่นนั้นก็คงไม่มีจุดจบเช่นนั้นเป็นแน่”
ด้วยไม่มีแผนการ ดังนั้นหลี่เย่ถึงได้ถูกพิษโดยง่าย และถูกกลั่นแกล้งจนถึงขั้นนั้น
“เย่เอ๋อร์ไม่ใช่แค่เพียงหลานแท้ๆ ของข้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนลูกของลูกสาวข้าด้วย เจ้าว่าเช่นนี้ข้าจะไม่ลำเอียงเอ็นดูเขามากกว่าได้อย่างไร? ร่างกายของนางมีสายเลือดตระกูลกู่ของข้า เขาและข้าก็มีสายเลือดที่เหนียวแน่นกันมากกว่าอยู่แล้ว ข้าทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพราะว่าตระกูลกู่หรืออย่างไรกัน?”
คำพูดนี้ของไทเฮาตรงไปตรงมา และยิ่งกระตุ้นจิตใจคน
ถาวจวินหลันคิดในใจ ถ้าหากว่าเป็นตนเองก็ย่อมต้องเอ็นดูหลี่เย่มากกว่า ยิ่งหวังให้หลี่เย่ได้ครอบครองสมบัติใหญ่
“แต่น่าเสียดายที่ข้าแก่แล้ว สิ่งที่ทำให้เขาได้ก็มีจำกัด” ไทเฮาถอนหายใจออกมา
ถาวจวินหลันรีบพูดว่า “เหตุใดไทเฮาต้องตรัสเช่นนี้ด้วยเล่าเพคะ? ขอเพียงแค่ไทเฮาสบายดี ท่านอ๋องและข้าก็พอใจแล้ว” อีกทั้งเรื่องเหล่านั้นที่ไทเฮาช่วยหลี่เย่ มีอะไรบ้างที่ไม่เกิดผลขึ้นในเวลาที่สำคัญ?
คังอ๋องไม่ได้เป็นคนหลักแหลมมากนัก ใจก็ไม่โหดเ**้ยมพอ ที่ผ่านมานี้เชื่อฟังฮองเฮาจนเคยชิน ไทเฮาเหลือบมองถาวจวินหลันอย่างแฝงนัย หลุบตาพูดว่า “เรื่องนี้ อาจจะนำไปใช้ได้บ้าง”
ถาวจวินหลันรู้อยู่แก่ใจว่าไทเฮากำลังแนะนำตนเองอยู่ หรืออาจจะเป็นการแนะนำหลี่เย่ จึงรีบแสดงออกว่าตนเองจำได้แล้ว
ไทเฮาพูดเยอะเช่นนี้ก็เริ่มเหนื่อย จึงให้ถาวจวินหลันออกไป
พอถาวจวินหลันกลับไปแล้ว นางก็เล่าเรื่องที่ไทเฮาพูดวันนี้ให้หลี่เย่ฟัง
หลังจากหลี่เย่ได้ยินแล้ว นานทีเดียวถึงได้สติ ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดอย่างตะลึง “ข้าต้องไม่ให้น้ำใจของไทเฮาครั้งนี้เสียเปล่าเป็นแน่”
ถาวจวินหลันให้กำลังใจเขาอีกครั้ง ในใจกลับครุ่นคิดคำพูดสุดท้ายของไทเฮา ไทเฮาบอกว่านำไปใช้ได้บ้าง ถ้าเช่นนั้นต้องนำไปใช้อย่างไร?
ไม่รอให้ถาวจวินหลันเข้าใจ ข่าวคราวทางด้านเหอเป่ยที่ฝนตกไม่หยุดก็แพร่กระจายมาถึงเมืองหลวง
ฮ่องเต้ย่อมนั่งไม่ติดที่ สั่งการออกไปติดต่อกัน “กลับเมืองหลวง” ในตอนนี้ฝนตกหนัก ไม่จำเป็นต้องหลบร้อนแล้ว แต่ถ้าหากว่ารั้งอยู่ต่อไปก็จะทำให้ประชาชนคิดว่าเขาฮ่องเต้คนนี้ทำงานไม่สมหน้าที่
ถาวจวินหลันคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว **บทั้งหลายก็จัดการเก็บเอาไว้เรียบร้อย วันรุ่งขึ้นก็ตามขบวนเสด็จของฮ่องเต้กลับเมืองหลวง ด้วยถนนเป็นบ่อเป็นโคลน ดังนั้นคราวนี้อี๋เฟยจึงไม่ได้ตามกลับไปเมืองหลวงด้วย
ไทเฮากลับตามไปด้วยกัน “ข้ากระดูกเหนียวเช่นนี้ ไม่เป็นไรแน่นอน อีกอย่างกลับไปยังที่คุ้นเคยย่อมสบายใจขึ้น”
ฮ่องเต้สั่งให้เดินทางช้าๆ ไม่อาจให้ไทเฮาเหน็ดเหนื่อยได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ แต่เดิมเส้นทางที่ใช้เวลาแค่วันเดียวก็ต้องใช้เวลาไปสามวันเต็มๆ
วันที่สามหลังจากที่เข้าประตูเมืองหลวงไปแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างผ่อนคลายลงเล็กน้อย
รอจนกลับไปยังเรือนเฉินเซียงแล้ว นางก็อดพุ่งเข้าไปในเตียงนุ่มนอนอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้ นั่งรถม้ามาหลายวัน กินนอนอยู่บนรถม้าตลอด ไม่ต้องพูดเลยว่ารู้สึกอย่างไร
หลี่เย่กลับไม่ได้กลับจวนมาพร้อมนาง แต่เข้าไปในวังหลวงพร้อมฮ่องเต้
ถาวจวินหลันพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงสั่งให้ห้องครัวทำน้ำแกงขิงเอาไว้ ทำอาหารร้อนน้ำแกงร้อน ตอนที่อยู่บนรถม้านั้นแม้จะบอกว่าได้กินกับข้าวกับปลา แต่ฝนตกขนาดนั้น เวลายกมาก็เย็นหมดแล้ว ที่สำคัญก็คือเป็นอาหารง่ายๆ ทั้งนั้น รสชาติก็ธรรมดา นางทนรับไม่ไหวจริงๆ
ทางด้านเจียงอวี้เหลียนกลับส่งคนมาถามว่าจะให้คืนสมุดบัญชีเมื่อไร
ถาวจวินหลันเอ่ยปากพูดตามสบาย “ส่งมาตอนนี้เลยเถิด ข้าเองก็มีเวลาดู” ดูสมุดบัญชีนั้นเป็นเรื่องรอง ฟังคำรายงานของบรรดาสะใภ้ที่ดูแลจวนเหล่านั้นถึงเป็นเรื่องจริง
นางอยากรู้ว่าตอนที่นางไม่อยู่ในจวนนั้นเจียงอวี้เหลียนทำอะไรบ้าง มีเล่นตุกติกอะไรหรือไม่
คำพูดนี้ถูกถ่ายทอดไปยังเรือนชิวอี๋ เจียงอวี้เหลียนได้ยินก็แค่นหัวเราะในทันใด “ช่างเป็นถาวซื่อที่ฉลาดเสียเหลือเกิน ข้ารู้อยู่แล้วว่านางไม่ไว้ใจข้า กลัวว่าข้าจะเข้าไปขัดขวาง? หึ มองข้าสูงเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้โง่ถึงเพียงนั้น”
เจียงอวี้เหลียนให้คนนำสมุดบัญชีส่งไปให้อย่างรวดเร็ว
ถาวจวินหลันตรวจสอบอย่างละเอียดก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไร และคำรายงานของบรรดาสะใภ้ที่ดูแลจวนก็ไม่ได้มีความผิดปกติ ฉับพลันนั้นนางก็อึดอัดใจ หรือว่าเจียงอวี้เหลียนจะเป็นคนดีแล้วอย่างนั้นหรือ? ช่างน่าประหลาดเสียจริง
แต่สุดท้ายแล้วก็มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่ดูแลเรือนของหลิวซื่อรายงานข่าวหนึ่งว่า เจียงอวี้เหลียนไปที่เรือนของหลิวซื่อ
เจียงอวี้เหลียนไปที่เรือนของหลิวซื่อทำไม? ถาวจวินหลันขมวดคิ้วทันที บ่าวรับใช้เพียงแค่เฝ้าอยู่นอกประตู ย่อมไม่รู้รายละเอียดเป็นแน่ แต่ก็ได้ยินมาว่าเจียงอวี้เหลียนเหมือนจะพูดคุยกับหลิวซื่ออยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ถาวจวินหลันก็เริ่มสงสัยทันที