บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 423 กลัว
สำหรับการลองหยั่งเชิงของชิงกูกูนั้น สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ได้แต่หัวเราะโดยไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุย
รอจนหัวค่ำพอหลี่เย่พาซวนเอ๋อร์กลับมาแล้ว ถาวจวินหลันก็ได้เตรียมของไหว้บรรพบุรุษเอาไว้เรียบร้อย
หลี่เย่นำทุกคนในเรือนไหว้บรรพบุรุษ จากนั้นก็ร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน วันพิเศษเช่นนี้ อย่างไรก็จะต้องร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน
หลังจากหาโอกาสได้ หลี่เย่ก็กระซิบข้างหูของถาวจวินหลัน “กินข้าวเสร็จแล้ว ข้าจะไปไหว้พ่อแม่เจ้าเป็นเพื่อนเจ้า และเราก็ไปลอยกระทงด้วยกัน”
ถาวจวินหลันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ แล้วก็อดหันไปยิ้มให้หลี่เย่ไม่ได้ เขาให้ความใส่ใจเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกห้ามใจไว้ไม่ได้
ตอนกินข้าวนั้น เจียงอวี้เหลียนก็เอ่ยถึงเจียงสือเหนียน ด้วยดวงตาแดงก่ำ “ในตอนนั้นเมื่อถึงเทศกาลสารทจีนทีไร ท่านพ่อจะพาข้าไปลอยกระทงด้วยตลอด แต่ในตอนนี้กลับไม่มีโอกาสเสียแล้ว”
เมื่อพูดถึงบรรยากาศที่น่าโศกเศร้าขึ้นมา ทุกคนต่างรู้สึกเศร้าและเสียใจ แม้แต่ถาวจวินหลันเอง ก็อดคิดถึงเวลาที่บ้านตระกูลถาวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเพื่อไหว้บรรพบุรุษไม่ได้ อารมณ์ของนางก็รู้สึกโศกเศร้าขึ้นมาเช่นกัน
หลี่เย่เองก็เหมือนกับจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ท่าทางของเขาจึงดูเสียใจเช่นกัน
อาหารมื้อนี้ ทุกคนต่างกินอย่างไร้รสชาติอะไร
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เจียงอวี้เหลียนก็พูดกับหลี่เย่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้ท่านอ๋องทรงยุ่ง หม่อมฉันไม่ขอให้ท่านอ๋องเสด็จมาบ่อยๆ เพียงแต่ตอนนี้เซิ่นเอ๋อร์เริ่มจำหน้าคนได้แล้ว หากว่าท่านอ๋องหาเวลามาดูเซิ่นเอ๋อร์ได้บ่อยๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเพคะ”
“อืม ข้ารู้แล้ว” เจียงอวี้เหลียนไม่ได้เรียกร้องความโปรดปราน อีกทั้งนางยังพูดอย่างเป็นธรรมชาติ แน่นอนว่าหลี่เย่ไม่มีทางปฏิเสธ…อีกทั้งถึงอย่างไรเซิ่นเอ๋อร์ก็เป็นลูกชายของเขา เขาก็ควรจะหาเวลาไปดูบ่อยๆ หลังจากเงียบไปสักพัก เขาก็พูดต่อว่า “ข้าจะหาเวลาพาซวนเอ๋อร์ไป ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนพี่น้องควรสั่งสมไว้ตั้งแต่ยังเด็ก จะต้องให้พวกเขารักใคร่กลมเกลียวกัน”
ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็ยิ้ม หันไปพูดกับเจียงอวี้เหลียน “รอให้เซิ่นเอ๋อร์เดินได้แล้ว ข้าจะให้ซวนเอ๋อร์พาเขาไปเล่นด้วยกัน เจ้าเองหากไม่มีธุระอะไรก็พาเซิ่นเอ๋อร์ไปเล่นกับกั่วเจี่ยเอ๋อร์และหมิงจูบ้าง ทุกวันเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน นิสัยของเซิ่นเอ๋อร์จึงเรียบร้อยกว่าซวนเอ๋อร์ พวกเขาอายุต่างกันไม่มาก หากมีเพื่อนเล่นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีมาก”
เจียงอวี้เหลียนพูดให้เซิ่นเอ๋อร์ดูน่าสงสาร หากว่าเป็นเมื่อก่อนนางก็คงแค่ยิ้มแล้วไม่พูดอะไร แต่ในตอนนี้นางอารมณ์ไม่ดี เจียงอวี้เหลียนยังทำเช่นนี้ นางจึงอดพูดตักเตือนไม่ได้
ถึงอย่างไร คนที่ไม่ยอมให้เซิ่นเอ๋อร์มาสนิทสนมกับพี่น้องก็คือเจียงอวี้เหลียนเอง เรื่องนี้หลี่เย่เองก็รู้…ตอนนี้จะพากั่วเจี่ยเอ๋อร์มาเล่นกับหมิงจูบ่อยๆ แน่นอนว่าจิ้งหลิงกับหลี่เย่ก็ต้องได้พบหน้ากัน แต่ต่างคนต่างก็ทำตัวเป็นธรรมชาติ
แต่เจียงอวี้เหลียนกลับพูดเช่นนี้ จะทำให้คนอดใจไม่พูดอะไรได้เช่นไร?
จิ้งหลิงได้ยินแล้วก็เม้มปากยิ้ม “ใช่แล้ว เด็กๆ ต้องมีเพื่อนเล่นด้วยกันถึงจะดี กั่วเจี่ยเอ๋อร์กับหมิงจูสนิมสนมกันอย่างมาก ทั้งสองคนเล่นด้วยกัน ต่างก็ไม่ซุกซนและเรียบร้อยมากขึ้น อีกทั้งเวลาเรียนรู้อะไรก็จะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว”
เวลาที่จิ้งหลิงว่างๆ ไม่มีธุระอะไร นางก็จะคอยสอนกั่วเจี่ยเอ๋อร์ให้พูด ทุกครั้งหมิงจูก็จะเรียนไปด้วย เด็กทั้งสองคนพูดกันอ้อแอ้ ก็ทำให้คนที่เห็นรู้สึกขบขันจนต้องหัวเราะออกมา
แต่หากว่าสอนให้ทำท่าอะไร อย่างเช่นขยับนิ้วมือทำท่าทางใดๆ นั้น เวลาที่ทั้งสองคนเรียนด้วยกัน ก็จะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
อยู่ๆ ถาวจวินหลันก็คิดขึ้นมาได้ว่า “ต่อไปก็ให้เด็กๆ เรียนหนังสือด้วยกัน เชิญอาจารย์มาสักคนก็พอแล้ว พวกเขาอายุไล่เลี่ยกัน ก็ถือว่าเหมาะสมดี”
หลี่เย่กลับส่ายหัว “ซวนเอ๋อร์โตเกินไปหน่อย จะเรียนกับคนอื่นไม่ได้” อีกทั้ง ซวนเอ๋อร์เป็นลูกชายคนโต เขากับลูกคนอื่นไม่เหมือนกัน แม้แต่หากต่อไป…องค์รัชทายาทกับองค์ชายทั่วไปก็จะเรียนด้วยกันไม่ได้ แน่นอนว่า คำพูดพวกนี้เขาไม่ได้พูดออกไป
แต่ถึงแม้เขาจะไม่ได้พูดออกมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่คิด…ดูเหมือนว่าเจียงอวี้เหลียนจะคิดได้ว่าเป็นเพราะหลี่เย่คิดว่าเซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกชายคนรองถึงได้พูดเช่นนี้ นางจึงโกรธอย่างมาก แต่ว่านางกลับไม่ได้แสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เม้มปากแล้วพูดว่า “ก็ไม่เหมาะสมจริงๆ กั่วเจี่ยเอ๋อร์กับหมิงจูเป็นผู้หญิง เซิ่นเอ๋อร์เป็นผู้ชาย จะเล่นด้วยกันได้อย่างไร? ต้องให้เขาเล่นกับเด็กผู้ชายด้วยกันจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นจะทำให้เขาอ่อนแอเหมือนเด็กผู้หญิงได้”
หลี่เย่มองไปทางเจียงอวี้เหลียน แล้วพูดเรียบๆ “เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง ยังเหลือเวลาอีกนาน”
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ทุกคนนั่งพูดคุยและดื่มชากันสักพัก จากนั้นก็แยกย้ายกันไป
ทั้งสองคนเดินเคียงคู่กัน ส่วนสาวใช้เดินตามอยู่ข้างหลัง
ถาวจวินหลันเงยหน้ามองดวงจันทร์กลมโตที่ลอยอยู่บนฟ้า จากนั้นก็ค่อยๆ พูดว่า “วันนี้แสงจันทร์ดูสวยทีเดียว”
หลี่เย่เองก็เงยหน้ามองเช่นกัน จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “สวยจริงๆ หากว่าเจ้าชอบ อีกเดี๋ยวพวกเราออกไปชมจันทร์กันในสวนก็ได้”
ถาวจวินหลันหัวเราะแล้วหยิกที่มือของเขา “จะมีใครนั่งชมจันทร์กันในวันสารทจีนเล่า? คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ อยู่ในเรือนจะดีกว่า ถึงอย่างไรเดือนหน้าก็เป็นเดือนแปดแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยชมจันทร์ก็ได้เหมือนกัน”
หลี่เย่กลับไม่เจ็บ และกุมมือถาวจวินหลันเอาไว้ มือของเขาใหญ่ จึงกุมมือของถาวจวินหลันเอาไว้ได้พอดี เขากุมมือของนางเอาไว้ เพราะอากาศร้อน ไม่นานเท่าไหร่มือของทั้งคู่ก็มีเหงื่อชุ่มออกมา แต่หลี่เย่กลับไม่ยอมปล่อยมือ ถาวจวินหลันเองก็ไม่อยากปล่อยมือจากเขาเช่นกัน
“วันนี้ข้าคิดถึงเสด็จปู่ขึ้นมา” หลี่เย่หัวเราะ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “วันนี้เสด็จพ่ออุ้มซวนเอ๋อร์ให้จุดธูปไหว้เสด็จปู่ ในตอนนั้น เสด็จปู่ก็อุ้มข้าเพื่อไหว้เสด็จทวดเช่นนี้เหมือนกัน”
ถาวจวินหลันรู้ดีว่าเขาเพียงแค่อยากจะพูดออกมา โดยที่ไม่ต้องการคำตอบ นางจึงได้แต่ฟังเงียบๆ โดยไม่พูดแทรกเขาแม้แต่คำเดียว
“ข้ายืนอยู่ข้างๆ มองดูท่าทีขององค์รัชทายาท ก็เห็นว่าองค์รัชทายาทกลับแสดงความอิจฉาออกมา” น้ำเสียงของหลี่เย่ฟังดูเคร่งขรึมภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมิด อีกทั้งสายลมเย็นๆ ที่พัดมาและแสงจันทร์ จึงทำให้ฟังดูเหมือนเป็นบทกลอนที่แสนเศร้า ทำให้คนค่อยๆ รู้สึกโศกเศร้าออกมาจากหัวใจ
“ตอนนั้นข้าคิดว่า เขาอิจฉาลูกชายของข้า หรือว่าอิจฉาที่เสด็จปู่ทรงรักและเอ็นดูข้าในตอนนั้นกันแน่?” พูดไปพูดมา น้ำเสียงของหลี่เย่ก็แฝงความขบขันเอาไว้ข้างใน “เขาจะต้องเกลียดข้าอย่างมาก จะต้องไม่ชอบข้าอย่างมาก สิ่งที่ข้ามี เขากลับไม่เคยได้รับเลย”
น้ำเสียงของหลี่เย่ฟังดูรู้สึกยินดีกับความพินาศของคนอื่น และยังฟังดูภูมิใจ
ถาวจวินหลันพูดแทรกเบาๆ “นี่เป็นสิ่งที่ฟ้าดินกำหนดมาแล้ว”
สิ่งที่คังอ๋องมี หลี่เย่กลับไม่มี…เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครทำได้ทุกสิ่งตามที่หวังได้ แต่ว่า นางยังคงยิ้ม “เขากล้าเอาตัวเองมาเปรียบเทียบกับท่านรึ?” สำหรับถาวจวินหลันแล้ว องค์รัชทายาทเทียบกับหลี่เย่ไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ
หลี่เย่กลับพูดว่า “จริงๆ แล้วเรื่องที่เขาสู้ข้าไม่ได้ที่สุดก็คือ ข้ามีเจ้า แต่พวกภรรยาและอนุของเขานั้น…” นี่ถึงเป็นสิ่งที่เขารู้สึกว่าโชคดีที่สุด นั่นก็คือเขาได้อยู่กับคนที่เขาชอบไปตลอดชีวิต เป็นเพราะข้อนี้ เกรงว่าถึงแม้เขาจะไม่มีอะไรเลย เขาก็ยังมีความสุขและพอใจ
แต่องค์รัชทายาทมีอะไรกัน? พระชายาองค์รัชทายาทฐานะไม่เลว แต่จิตใจกลับเลวร้ายและน่ากลัวราวกับงูพิษ อีกทั้ง พระชายาองค์รัชทายาทเมื่อเทียบกับองค์รัชทายาทแล้ว กลับดูกระหายในอำนาจยิ่งกว่า ส่วนอนุคนอื่นๆ นั้น…ต่างก็แก่งแย่งชิงดีและหวังแต่จะตั้งครรภ์ ดูภายนอกเหมือนจะเห็นว่าองค์รัชทายาทสำคัญที่สุด แต่ความจริงเล่า?
หากว่าองค์รัชทายาทไม่ใช่องค์รัชทายาท ไม่สามารถให้ฐานะและความสูงส่งแก่พวกนางได้ พวกนางยังคงเป็นเช่นนี้หรือไม่?
แต่เขามั่นใจว่า ถึงแม้ไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นไร ถาวจวินหลันก็ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“เจ้าว่า ข้าโลภเกินไปหรือไม่?” อยู่ๆ หลี่เย่ก็พูดเช่นนี้ น้ำเสียงเบาลงไปเล็กน้อย ฟังดูราวกับเสียงกระซิบ
ถาวจวินหลันชะงักไป เงยหน้าแล้วมองเขา “ทำไมรึ?”
“ข้าอยากได้ทุกอย่าง อยากครอบครองทุกอย่าง อะไรข้าก็อยากคว้าเอาไว้ หากไม่เรียกว่าโลภจะเรียกว่าอะไร?” หลี่เย่หัวเราะอย่างเย้ยหยัน…ในตอนนั้นหากว่าไม่โลภ แล้วทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อยถาวจวินหลันไป? มีอุปสรรคตั้งหลายครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็เอาถาวจวินหลันมาครอบครองเอาไว้ได้สมดั่งใจเขา
ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ หรี่ตาหยี “นี่จะเรียกว่าโลภได้อย่างไรกัน? ในเมื่อสามารถแย่งชิงมาครอบครองได้ แล้วทำไมจะไม่ทำ? ในเมื่อฟ้าได้กำหนดมาให้แล้ว แล้วทำไมยังต้องผลักไสด้วยเล่า?”
ครั้งนี้กลับเป็นหลี่เย่ที่ชะงักไป จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “เจ้าพูดเช่นนี้ก็ทำให้ข้าสบายใจได้แล้ว”
ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกหวั่นไหว…ใช่สิ ในเมื่อแย่งชิงมาได้ แล้วทำไมจะไม่ทำเล่า หากแม้แต่ตัวเองยังไม่กล้าแม้แต่จะแย่งชิงมา เช่นนั้นจะยอมปล่อยไปหรือ? นั่นก็ถือว่าโง่เขลาเต็มที
พอคิดได้เช่นนี้ อารมณ์อึดอัดในใจมาทั้งวันของนางก็บรรเทาไปไม่น้อย ถึงแม้ว่ายังกังวลใจอยู่บ้าง แต่ก็ดีขึ้นไม่น้อยเลย
ทั้งสองคนเดินกลับมาที่เรือนเฉินเซียงช้าๆ หลังจากไหว้บรรพบุรุษบ้านตระกูลถาวแล้วก็ไปลอยกระทง แล้วทั้งสองคนถึงได้กลับเข้ามาในห้องและนั่งดื่มชาพูดคุยกัน
หลี่เย่พูดขึ้นว่า “ราษฎรที่ได้รับความทุกข์ยากจะเดินทางมาถึงในช่วงไม่กี่วันนี้แล้ว กระโจมที่ทางการสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่ของพวกเขา ก็ใกล้เสร็จเต็มทีแล้ว” กระโจมหลบภัยที่ทางการสร้างขึ้นนั้น เป็นกระโจมที่ทำจากหญ้าคา โดยใช้ไม้ไผ่เป็นโครงร่าง ทำอย่างเรียบง่าย เพื่อให้หลบแดดหลบฝนได้ก็เท่านั้น
ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็ถอนใจ “ตอนนี้อากาศร้อนมาก เกรงว่ามาถึงแล้วก็คงต้องอยู่อย่างลำบากมากเช่นกัน”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องรอง สิ่งที่ทำให้ต้องกังวลจริงๆ นั้น ก็คือโรคระบาดต่างหาก” หลี่เย่ถอนใจ ท่าทางดูเคร่งขรึม คิ้วขมวดแน่น “ถึงแม้ว่าข่าวคราวที่ได้รับมาอาจไม่จริงทั้งหมด แต่ที่เหอเป่ยมีโรคระบาดเกิดขึ้นแล้ว ใครต่างก็ไม่รู้ว่าโรคระบาดนั้นจะมาพร้อมกับประชาชนที่อพยพมาหรือไม่”
คำพูดนี้ทำให้ถาวจวินหลันตกใจอย่างมาก นางพูดอะไรไม่ออกไปสักพัก ใช้เวลาอยู่นานกว่านางจะรู้สึกตัว แล้วรีบพูดออกมาว่า “เช่นนั้นจะทำอย่างไร” หากว่าโรคระบาดแพร่มาถึงจริงๆ เช่นนั้นคนในเมืองหลวงจะทำเช่นไร?
หากว่าโรคระบาดแพร่กระจายแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แน่นอน
“หากสถานการณ์ไม่ดี เจ้าก็พาคนหลบออกจากเมืองหลวงไปเสีย” หลี่เย่พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มเปี่ยม “จะต้องทำเช่นนี้ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าและลูกๆ ต้องมาเสี่ยงอันตราย”
ถาวจวินหลันริมฝีปากสั่นระริก แต่ก็พูดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย…นางอยู่ที่นี่กับหลี่เย่ได้โดยไม่กลัวตาย แต่ลูกๆ เล่า เรื่องการลุกฮือของประชาชนนั้นนางไม่กลัว เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีทหารคอยควบคุมสถานการณ์ เรื่องอันตรายใดๆ ที่จะเกิดขึ้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เรื่องโรคระบาดกลับไม่เหมือนกัน
โรคระบาดไม่สามารถควบคุมอะไรได้ หากระบาดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไปหรือฮ่องเต้ ต่างก็เหมือนกัน
พักใหญ่ นางถึงได้กัดฟันและกลั้นใจพยักหน้า “ไม่ ตอนนี้ก็ให้คนเอาลูกๆ ออกไปจากเมืองหลวงก่อน” นางตัดสินใจว่าไม่มีทางต้องให้ลูกๆ มาเสี่ยงอันตราย ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูยังเล็ก จะมีภูมิต้านทานต่อโรคพวกนี้ได้อย่างไร?
“สถานที่ที่ท่านเคยพูดถึงเมื่อครั้งก่อน ใช้เป็นที่หลบภัยก็เหมาะสมดี ให้จิ้งหลิงพาเด็กๆ ไปก่อน…เจียงอวี้เหลียนก็ไปด้วยเช่นกัน ข้าจะอยู่ที่นี่ คนในจวนอ๋องจะไม่เหลืออยู่เลยสักคนไม่ได้” ถาวจวินหลันครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว คิดว่าควรทำอย่างไรถึงจะจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเหมาะสมที่สุด เพียงแต่นางไม่ทันได้สังเกตว่า ความกลัวของนางทำให้น้ำเสียงของนางสั่นเครือ และแสดงความอ่อนแอของนางออกมา