บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 432 กาลก่อน
ถาวจวินหลันได้ยินก็หัวเราะออกมา อดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่ว่า “บางทีวันรุ่งขึ้นชายารัชทายาทรู้แล้ว ก็อาจจะวางแผนให้ข้าตายเป็นแน่ มิเช่นนั้นนางก็คงไม่พอใจมิใช่หรือเพคะ?”
หลี่เย่แค่นหัวเราะ “นางจะกล้าได้อย่างไร”
ถาวจวินหลันเบะปาก จงใจเสนอความเห็นแย้ง “ทำไมจะไม่กล้าเล่า? เกรงว่าตอนนี้ฮองเฮาก็คงรังเกียจข้ามากแล้ว หากมีวันนั้นจริง ท่านจะต้องแก้แค้นแทนข้านะเพคะ”
หลี่เย่มองถาวจวินหลันอย่างจนปัญญา กลับพูดรับปากอย่างจริงจัง “ดี ข้าจะต้องแล่เนื้อประหารพวกเขา แก้แค้นแทนเจ้า เสร็จแล้วก็ค่อยหักกระดูกสาดขี้เถ้า!”
หลี่เย่พูดอย่างจริงจัง แต่กลับทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกน่าเวทนาขึ้นมา ขมวดคิ้วถามเขาว่า “แล่เนื้อประหารมีจริงหรือเพคะ?”
“มีแน่นอน แต่ก็ต้องทำผิดขั้นร้ายแรงที่สุด มิเช่นนั้นแล้วจะไม่ลงโทษเช่นนี้ คนที่ลงโทษก็จะต้องมีฝีมือดีมาก แล่ขาดไปหนึ่งดาบตนเองก็จะต้องรับโทษแทนนักโทษคนนั้น ถ้าพูดว่าต้องตัดหนึ่งพันครั้ง ก็จะขาดไปไม่ได้เลยสักดาบ” หลี่เย่อธิบายอย่างละเอียด “รัชกาลก่อนมีขันทีคนหนึ่ง เพราะว่าโยกย้ายสิทธิอำนาจและทำร้ายนางสนม จึงถูกลงโทษด้วยวิธีแล่เนื้อประหาร ใช้เวลาแล่อยู่สามวันเต็มๆ วันแรกจบลงก็ยังกินข้าวต้มได้ วันที่สามตอนลงดาบสุดท้ายจบถึงจะหมดลมหายใจอย่างแท้จริง”
ถาวจวินหลันคิดภาพตาม ก็รู้สึกว่าเนื้อทั้งร่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดาย จึงขนลุกขนพองขึ้นมา รู้สึกว่าหวาดกลัวอย่างมาก รู้อยู่แก่ใจว่าหลี่เย่ตั้งใจแกล้งให้นางตกใจ ดังนั้นจึงถลึงตาใส่หลี่เย่ไปทีหนึ่ง
หลี่เย่เม้มริมฝีปากตั้งใจถามกลับอย่างเคร่งเครียดว่า “เจ้าถามข้าเองมิใช่หรืออย่างไร? ทำไมมาถลึงตาใส่ข้าอีกเล่า?”
ถาวจวินหลันพลันบิดข้อศอกเขา แล้วถลึงตามองอีก “ใครบอกให้ท่านพูดละเอียดขนาดนั้นกัน”
หลี่เย่ยิ้ม พูดอย่างจริงจัง “ข้าพูดเรื่องจริง หากใครกล้าทำร้ายเจ้า ข้าจะต้องให้พวกเขาได้รับโทษแล่หนึ่งพันดาบทั้งเป็นๆ แน่”
ถาวจวินหลันนิ่งอึ้งไป จากนั้นก็พยักหน้าพูดว่า “ช่างเถิดเพคะ ไม่พูดเรื่องเหล่านี้แล้ว อยู่ดีๆ ใครจะมาหาเรื่องข้าเล่า? กลับเป็นท่านที่วิ่งอยู่ด้านนอกทั้งวัน จะต้องระวังให้มากเสียหน่อย โดยเฉพาะทหารยาม จะต้องคัดสรรอย่างละเอียดนะเพคะ”
นางไม่อยากเจอเรื่องลอบทำร้ายเหมือนครั้งที่แล้วอีก หากมีอีกครั้งหนึ่ง นางคิดว่าตนเองคงรับความตกใจและความเป็นกังวลเช่นนั้นไม่ไหวอีก
ในใจของหลี่เย่รู้ดีว่าทำไมนางถึงพูดเช่นนี้ ท่าทีจึงดูจริงจังขึ้น “เจ้าวางใจเถิด เรื่องเช่นนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นอีก”
“ทางด้านซวนเอ๋อร์ ท่านเองก็ต้องจัดการให้เหมาะสม” ถาวจวินหลันคิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกเป็นกังวลอยู่ จึงพูดเตือนเขาเล็กน้อย “ฮองเฮารู้ว่าซวนเอ๋อร์ไปข้างนอก เกรงว่านางจะลงมือกับซวนเอ๋อร์”
“อย่าเป็นกังวลไป ข้าจัดทหารยามจำนวนมากไว้แล้ว” หลี่เย่พูดออกมาเสียงเบา “อีกอย่างนางเองก็ไม่มีทางรู้ว่าซวนเอ๋อร์จะไปที่ใด หลังจากออกจากประตูเมืองไปแล้ว ข้าก็ได้เตรียมรถม้าที่มีหน้าตาเหมือนกันเองไว้อีกคันหนึ่ง ทั้งสองข้างแยกกันเดินทาง ถ้าหากมีคนตามไปก็จะถูกดึงความสนใจไปเอง”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็สบายใจมากขึ้นไม่น้อย พยักหน้าเอ่ยชม “ท่านจัดการธุระได้รอบคอบมากเพคะ”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง ถาวจวินหลันก็รู้สึกเหนื่อยล้า ทำได้เพียงนั่งลงไปอีกครั้ง แล้วหัวเราะขมขื่น “ยามนี้แม้แต่ลมพัดก็แทบจะปลิวไปแล้ว ยามปกติกลับไม่รู้สึก แต่พอป่วยก็กลายเป็นเช่นนี้ ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง”
หลี่เย่ส่งสายตาให้หงหลัว ปากกลับจงใจกล่าวโทษ “ก็ต้องโทษเจ้าที่ปกติแล้วไม่ดูแลสุขภาพตนเอง พูดไปแล้ว เจ้าดูแลซวนเอ๋อร์และหมิงจูอย่างดี ทางด้านไทเฮาก็คิดอย่างรอบคอบ แต่ทำไมพอเป็นเรื่องตัวเองกลับละเลยสะเพร่าเช่นนี้เล่า?”
ถาวจวินหลันก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก สถานการณ์ตอนนี้เคร่งเครียด แต่นางกลับไม่อยากสู้ขึ้นมา ไม่เพียงแค่ไม่สามารถช่วยหลี่เย่ได้แล้ว ยังทำให้เขาเป็นกังวลอีกต่างหาก
นี่ก็เป็นเพราะปกติแล้วนางคิดว่าตัวเองยังอายุน้อย ไม่รู้จักบำรุงสุขภาพ แต่คิดไม่ถึงว่าตอนที่นางคิดว่าตนเองแข็งแรงมาก สวรรค์จะส่งคำเตือนเช่นนี้ลงมา
เห็นได้ว่าต่อจากนี้จะละเลยไม่ได้แล้ว
ถาวจวินหลันหน้าดำเคร่งเครียด พลางถอนหายใจเอ่ย “ต่อจากนี้ไปข้าเองก็ไม่กล้าสะเพร่าอีกแล้วเพคะ” ร่างกายแข็งแรงถึงจะเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด หากสุขภาพย่ำแย่ ต่อให้มีความฝันที่ยิ่งใหญ่หรือปณิธานที่แข็งกล้าเพียงใดก็เป็นเพียงการละเลงขนมเบื้องด้วยปากทั้งนั้น
คราวนี้หลี่เย่ถึงพอใจ
ทางด้านหงหลัวก็ยกยาบำรุงมาให้ ยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อชายารองพูดเช่นนี้แล้ว ชายารองก็ต้องดื่มน้ำแกงนี่ให้หมดนะเจ้าคะ นี่เป็นน้ำแกงที่บ่าวสั่งให้ปี้เจียวเคี่ยวอยู่สามชั่วยามเลยเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันมองหม้อน้ำแกง แล้วก็ต้องตกใจทันที “เหลวไหล หม้อใหญ่เพียงนี้จะดื่มหมดได้อย่างไรกัน?” คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เรียกหลี่เย่ “พวกเราดื่มด้วยกันเถิดเจ้าค่ะ”
ขณะดื่มน้ำแกง นางก็นึกถึงเรื่องที่หลี่เย่พูด จึงคิดเรื่องหนึ่งได้ทันที “ท่านบอกว่า วันนี้รัชทายาทเสนอให้ออกนอกเมืองไปสำรวจด้วยตนเองหรือเพคะ? ดูแล้วคราวนี้รัชทายาทคงทุ่มสุดแรง ฐานะสูงส่งเช่นนั้น แต่กลับออกไปสถานที่นั้นโดยไม่มีทหารยามติดตามไปด้วยสักคน”
“มีองค์รักษ์เงาจำนวนไม่น้อย” หลี่เย่พูดออกมาตามสบาย “อีกอย่างช่วงนี้เขาก็ถูกเสด็จพ่อหาเรื่องมาโดยตลอด คิดว่าอาจจะเก็บกดอยู่บ้าง คงคิดใช้วิธีเช่นนี้กอบกู้ชื่อเสียงกลับมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แม้จะบอกว่าเสี่ยงอันตรายไปเสียหน่อย แต่ก็คุ้มค่าอย่างมาก”
เมื่อพูดจบหลี่เย่ก็หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนยุดไปครู่หนึ่งกลับองมาโดยตลอด ใอนครั้งที่แล้วอีกถลึงตามองถาวจวินหลันอีกครั้ง “อยู่ดีๆ จะมาคิดเรื่องนี้อีกทำไม บอกว่าไม่อนุญาตให้เจ้าคิดเรื่องเหล่านี้แล้วมิใช่หรือ?”
น้ำเสียงฉายแววสั่งสอน แต่ที่มากไปกว่านั้นคือการกล่าวโทษอย่างจนใจ
ถาวจวินหลันรีบพูดวนไปวนมาให้เขาหลีกหัวข้อสนทนานี้ไป แต่ก็ยังคงครุ่นคิดการกระทำของรัชทายาทในวันนี้ สุดท้ายแล้วก็อดหัวเราะเยาะในใจไม่ได้ องค์รัชทายาททำเรื่องมากมายเพียงนั้น ก็ยังไม่แน่ว่าจะได้คำชื่นชมจากฮ่องเต้ แต่กระตือรือร้นเช่นนี้ กลับยิ่งให้ฮ่องเต้สงสัยง่ายขึ้นไม่ใช่หรือ?
ตอนเย็นหลังจากรับประทานอาหารแล้ว ถาวจวินหลันจึงไปพักผ่อนด้วยเหนื่อยล้า แล้วผลักหลี่เย่ออกไป “ท่านไปดูเซิ่นเอ๋อร์เถิด” ตอนนี้ภายในจวนยังต้องอาศัยแรงของเจียงอวี้เหลียน คงไม่ดีหากให้เจียงอวี้เหลียนไม่พอใจ หลี่เย่ไปดูบ้างไปนั่งเล่นบ้าง เจียงอวี้เหลียนอาจจะยิ่งพยายามและยอมลงแรงมากขึ้นก็ได้
ที่จริงแล้วหลี่เย่ก็คิดอยากไปดูเซิ่นเอ๋อร์ อย่างไรนั่นก็เป็นลูกชายของเขา จึงบอกให้ถาวจวินหลันผักพ่อนให้ดี แล้วถึงจากไป
หลี่เย่เพิ่งออกจากเรือนไป ทางด้านถาวซินหลันก็มาหา เห็นว่าหลี่เย่ไม่อยู่ ถึงได้ถามหงหลัว เมื่อรู้ว่าหลี่เย่ไปหาเจียงอวี้เหลียน ก็เม้มริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่งไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าถาวจวินหลันกลับยิ้มเบิกบานเอ่ยว่า “วันนี้ดูดีขึ้นไม่น้อย ท่าทางจะหายดีในเร็ววันแล้วนะเจ้าคะ”
ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น “ดีขึ้นไม่น้อยแล้วเสียที่ไหนกัน? ร่างกายยังรู้สึกเบา ไม่ค่อยมีแรงนัก พูดกันว่าเมื่อโรคมาก็มาอย่างรุนแรง อีกทั้งนานกว่าโรคจะหาย ตอนนี้ข้าเข้าใจคำกล่าวนี้แล้ว ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย”
หยุดไปครู่หนึ่ง ก็มองร่างกายของถาวซินหลัน กำชับว่า “อย่าละเลยสุขภาพตัวเอง จะต้องดูแลให้มากเสียหน่อย อย่าได้คิดว่าอายุยังน้อยแล้วไม่สนใจอะไร”
ถาวซินหลันกลอกตามองนาง “ท่านไปรักษาร่างกายของท่านให้ดีก่อนจะมาบอกข้าดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องเหนื่อยใจมากมายเช่นท่าน หลังจากออกเรือนไปแล้วข้าเห็นว่าตัวเองเหมือนจะอ้วนขึ้นมาไม่น้อย เสื้อผ้าก่อนหน้านี้พอสวมใส่แล้วก็รู้สึกคับขึ้นมาบ้าง”
พี่น้องทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่สักพักหนึ่ง ถาวซินหลันก็สังเกตเห็นว่าถาวจวินหลันเริ่มเหนื่อยแล้วจริงๆ จึงไม่ได้รั้งตัวอยู่ต่อ พอออกมาจากเรือนเฉินเซียงแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป แล้วเริ่มหัวเราะเยาะตัวเอง “คนอื่นมัวแต่อิจฉาพี่สาวของข้า แต่ข้าลอบสังเกตดูแล้ว นางต้องใช้ชีวิตเหนื่อยมากเพียงใดกัน?” มีจวนตวนชินอ๋องที่ใหญ่เพียงนี้ให้ดูแล ยังต้องเผชิญหน้ากับอนุภรรยาของหลี่เย่ อีกทั้งต้องแบกรับความเจ็บปวดใจที่ต้องแบ่งสามีกับคนอื่น หากเป็นนาง เกรงว่านางคงวางมือไปนานแล้ว
บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ มีท่าทีไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงก้มหน้าก้มตาไม่กล้าพูดขัดแม้แต่คำเดียว
แต่ไม่ว่าถาวซินหลันจะสงสารถาวจวินหลันอย่างไรก็ดี วันเวลาควรจะใช้เช่นไรก็ยังต้องเป็นไปตามนั้น นางเองก็ไม่สามารถสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องของจวนตวนชินอ๋องได้ สิ่งเดียวที่นางทำแทนถาวจวินหลันได้ก็คือช่วยนางจัดการเรื่องโรงทานและโรงยาให้เหมาะสม
รอจนวันที่ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ถาวซินหลันจะอยู่ต่อก็คงไม่ดี ทางด้านตระกูลเฉินเองก็ส่งรถม้ามารับ นางจึงทำได้เพียงกลับไปก่อนเท่านั้น คำนวณทั้งหมดดูแล้วก็อาศัยอยู่แค่เพียงหกวันเท่านั้น
แต่ถาวจวินหลันก็รักษาอาการเจ็บป่วยจนดีขึ้นแล้ว อย่างน้อยก็ออกข้างนอกได้ แม้จะบอกว่าเรี่ยวแรงยังกลับมาไม่เต็มที่เหมือนเดิม แต่ก็ดูดีขึ้นมาก
ถาวจวินหลันออกไปส่งถาวซินหลันที่ประตูรองด้วยตนเอง ยิ้มและพูดว่า “เจ้าเองก็กลับไปได้แล้ว ถ้ายังไม่กลับไปเกรงว่าเฉินฟู่คงจะมาขอคนคืนถึงที่นี่เสียกระมัง”
ถาวซินหลันถูกเย้าแหย่เช่นนี้ก็หน้าแดงระเรื่อ แต่กลับปากแข็งเอ่ยว่า “เขาไม่สนใจข้าเสียหน่อย มิเช่นนั้นก็คงมาหาไปแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ? กลัวว่าที่ข้าจากมา เขาคงดีใจที่สงบสุขเสียที”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในใจของถาวซินหลันก็รู้ความคิดของเฉินฟู่ดี เพิ่งจะมาอยู่ไม่กี่วันนี้เฉินฟู่ก็ให้คนเขียนจดหมายมาสามฉบับ ส่งของมาอีกสี่อย่างแล้ว
พอส่งถาวซินหลันกลับไป ถาวจวินหลันก็ค่อยๆ เดินกลับไป ตอนที่เดินผ่านสวนดอกไม้ก็บังเอิญพบกับถาวจือ
ถาวจือเดินเข้ามาทำความเคารพ พลางยิ้มและพูดว่า “ดูท่าทีเช่นนี้ ชายารองถาวน่าจะดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ถาวจวินหลันแย้มยิ้ม “แม้จะยังไม่หายดี แต่ก็ใกล้แล้ว”
“เช่นนั้นข้าก็วางใจ” ถาวจือเม้มปากหัวเราะ สีชาดบริเวณหางตายกสูงขึ้น ดูอ่อนช้อยอยู่หลายส่วน “ท่านอ๋องไม่อนุญาตให้พวกเราไปเยี่ยม บอกว่ากลัวจะรบกวนความสงบของชายารองถาว รบกวนการรักษาอาการป่วยของท่าน ดังนั้นพวกเราจึงไม่กล้าไป ขอให้ชายารองถาวได้โปรดให้อภัยด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันไม่รู้ว่ามีเรื่องเช่นนี้ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย หัวเราะพลางพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่โทษพวกเจ้าหรอก อีกทั้งกลัวว่าจะแพร่เชื้อโรคไปให้พวกเจ้า”
“พูดไปแล้วท่านอ๋องก็ช่างมั่นคงยิ่งนัก ชายารองถาวป่วย ก็แทบจะเฝ้าอยู่ทั้งวัน ช่างน่าอิจฉาเสียจริง” ถาวจือเม้มปากหัวเราะ ยิ่งดูออดอ้อนมากขึ้นไปอีก
ถาวจวินหลันไม่ค่อยชอบท่าทีเช่นนี้ของถาวจือนัก จึงยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “ข้าเริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว กลับก่อนก็แล้วกัน”
ถาวจือทำความเคารพส่งถาวจวินหลันเดินจากไป ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกที ภายในดวงตาก็แฝงความเยือกเย็นเอาไว้ ส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ พูดว่า “เสแสร้งเก่งเหลือเกิน! คิดว่าตนเองเป็นชายาตวนชินอ๋องหรืออย่างไร? ชายาที่ถูกต้องทำนองคลองธรรมก็ยังอยู่! นางทำตัวเช่นนี้ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรกัน?”
ถาวจือหันหน้า แล้วเดินไปยังเรือนชิวอี๋ของเจียงอวี้เหลียน
ยามนี้เจียงอวี้เหลียนกำลังถือเทียบเชิญแผ่นหนึ่งเล่นอยู่ ใบหน้าเคร่งขรึมครุ่นคิด ได้ยินว่าถาวจือมาหาก็พยักหน้าอย่างเลื่อนลอย “ให้นางเข้ามาเถิด”