บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 434 หวังดี
พอถาวจวินหลันได้ยินว่าโรงยาเกิดเรื่องขึ้นก็ตกใจทันที “จะเป็นไปได้อย่างไร?” โรงยาจะเกิดอะไรขึ้นได้? หรือว่ามีคนกินยาแล้วตาย? แต่นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? หมอเหล่านั้นที่นางเชิญมาแม้จะบอกว่าไม่ใช่หมอชื่อดัง แต่ก็มีฝีมือการแพทย์ที่เข้าขั้นทั้งนั้น ชื่อเสียงก็ดีอย่างมาก
ถาวซินหลันพนักหน้า “โรงยาเกิดเรื่องแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ แม้จะบอกว่าเกี่ยวข้องกับพวกเราไม่มาก แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เหมือนกันเจ้าค่ะ”
คราวนี้ถาวจวินหลันยิ่งงงเข้าไปใหญ่ ขมวดคิ้วพูดว่า “เจ้าพูดให้ดีๆ แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นเป็นแน่?”
“โรคระบาด” ถาวจวินหลันพูดออกมาสามคำ
ฉับพลันนั้นถาวจวินหลันก็เหมือนถูกค้อนทุบเข้าไปอย่างแรง เกิดอาการวิงเวียน ถลึงตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ พลางสบถด้วยตกใจ “อะไรนะ?”
ถาวซินหลันยิ้มขมขื่น ก่อนพยักหน้าพูดซ้ำอีกครั้ง “โรคระบาดเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันนิ่งไป เรื่องนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เหมือนกับที่ถาวซินหลันพูด เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับโรงยาไม่เยอะ แต่ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่
ไม่ หรือจะพูดว่าเป็นเรื่องที่เสมือนกับท้องฟ้าถล่ม
ผ่านไปครู่ใหญ่ถาวจวินหลันถึงได้สติกลับมา ถามถาวซินหลันเสียงเบา “ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? รุนแรงหรือไม่?”
ท่าทีของถาวซินหลันกลับเคร่งเครียด เมื่อเห็นว่าถาวจวินหลันถามก็ส่ายหัวอธิบายเสียงเบา “เพิ่งตัวอย่างเดียวเจ้าค่ะ ช่วยไม่ได้แล้ว หมอรีบรายงานข่าวนี้ขึ้นมา ข้าไม่อนุญาตให้พวกเขาโพทะนาไปเสียก่อน”
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของถาวซินหลัน จึงพยักหน้าชื่นชม “เจ้าทำถูกแล้ว เรื่องเช่นนี้ไม่ควรป่าวประกาศออกไป เอาอย่างนี้ เจ้ากลับไปก่อน ไปบอกแม่สามีของเจ้าให้ทราบ เตือนนางให้พาเด็กในจวนหลีกหนีไปที่สวนในพื้นที่ห่างไกลก่อน สุขภาพของเด็กสู้ผู้ใหญ่ไม่ได้ พบเรื่องเช่นนี้เกรงว่าจะรับมือไม่ไหว”
ที่จริงแล้วในใจถาวซินหลันไม่ได้สงบนิ่งเหมือนที่แสดงออกมา ตอนนี้เห็นว่าถาวจวินหลันสั่งนาง ก็เรียกความมั่นใจขึ้นมาได้บ้าง นางรู้ดีแก่ใจว่าเรื่องนี้รุนแรงมากเพียงใด จึงเร่งรีบกลับไป ไม่กล้าเสียเวลาอีก
ถาวจวินหลันยกมือเรียกหงหลัว สั่งว่า “ไปสั่งให้คนลอบนำเรื่องนี้ไปบอกท่านอ๋องโดยพลัน”
โรคระบาดไม่เหมือนกับโรคอย่างอื่น มันแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาให้ล่าช้าเลยแม้แต่น้อย
หงหลัวเองก็ตกใจจนหน้าถอดสี รีบออกไปสั่งการอย่างเร่งรีบ ด้วยไม่กล้ายืมมือคนอื่น ดังนั้นเรื่องนี้จึงมอบหน้าที่ให้กับหลิวเอินที่ยังไม่หายดี
แน่นอนว่าหลิวเอินย่อมไม่กล้าชักช้า รีบพุ่งตัวสุดฝีเท้าไปที่ศาลาว่าการเพื่อรายงาน ส่วนถาวจวินหลัน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดอีกว่า “ไปดูชายารองเจียงว่ามีเวลาว่างหรือไม่ หากมีเวลาว่างก็บอกว่าข้ามีเรื่องอยากพบนาง เชิญให้นางมาหาสักรอบหนึ่ง”
เจียงอวี้เหลียนย่อมไม่มีเวลา นางกำลังต้อนรับกู้ซีอยู่ เพราะว่าฐานะของกู้ซีสูงส่ง ดังนั้นจึงไม่ดีหากจะเรียกถาวจือ กู่อวี้จือ หรือคนอื่นๆ มาอยู่เป็นเพื่อนแขก นางทำได้แค่อยู่เป็นเพื่อนด้วยตนเอง
จำต้องพูดเลยว่านิสัยของกู้ซีขี้อายมากเกินไปหน่อย มากจนคนอื่นไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มลงมือจากที่ใดก่อน พูดคุยเป็นเพื่อนนางอยู่ครู่หนึ่ง เจียงอวี้เหลียนก็รู้สึกปากแห้งไปหมด แต่กู้ซีกลับไม่ได้พูดอะไรออกมามากนัก
เห็นบ่าวรับใช้หัวผลุบหัวโผล่อยู่ที่ประตู ในใจของเจียงอวี้เหลียนก็ยิ่งรู้สึกรำคาญ จึงตำหนิหน้าเคร่ง “หลบๆ ซ่อนๆ ทำอะไรกัน? ยังไม่รีบคลานมานี้อีก!” นางรู้ดีแก่ใจว่าที่บ่าวรับใช้มีอาการเช่นนี้ก็เพราะต้องมีเรื่องเป็นแน่ มิเช่นนั้นแล้วจะกล้าหัวผลุบหัวโผล่อยู่ได้อย่างไร?
บ่าวรับใช้เห็นเจียงอวี้เหลียนโมโห จึงรีบถ่ายทอดคำพูดของถาวจวินหลันออกไป
เจียงอวี้เหลียนหันไปมองกู้ซีทีหนึ่ง
กู้ซีเองก็รู้งาน รีบพูดว่า “ชายารองเจียงไปทำธุระเถิด ข้าเองก็จะไปพักสักหน่อย”
เจียงอวี้เหลียนยิ้มน้อยๆ คล้องมือของกู้ซีอย่างเป็นมิตร แล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “ช่างไม่ถูกเวลาเลย ชายารองถาวก็จริงๆ เลย ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเจ้าอยู่กับข้าที่นี่ แต่กลับเรียกข้าไป ไม่รู้ว่ามีเรื่องใหญ่อะไรกัน เจ้าไปพักก่อนเถิด รอข้ากลับมาแล้วจะไปคุยเล่นกับเจ้า ทำตัวให้ให้สบาย มีอะไรก็แค่บอกข้ามา”
เจียงอวี้เหลียนตั้งใจพูดถึงถาวจวินหลัน ก็แสดงความหมายของนางได้ชัดแล้ว กู้ซีจึงโบกมือติดต่อกัน แล้วพูดอย่างเคารพยำเกรง “คิดว่าชายารองถาวจะต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่เจ้าค่ะ ตัวข้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ชายารองเจียงรีบไปเถิดเจ้าค่ะ”
เจียงอวี้เหลียนสั่งลู่ฉี่บ่าวรับใช้ข้างกาย ว่าให้ส่งกู้ซีไปทางเรือนที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนตนเองก็มุ่งหน้าไปที่เรือนเฉินเซียง ทว่ายังรู้สึกไม่สบายใจนัก จึง อดบ่นพึมพำไม่ได้
แต่เมื่อพบถาวจวินหลันแล้วนั้น เจียงอวี้เหลียนกลับไม่แสดงท่าทีรำคาญของตนเองออกมาแม้แต่น้อย เพียงแค่มองสีหน้าเคร่งขรึมของถาวจวินหลันทีหนึ่ง พลางยิ้มและพูดว่า “เป็นอะไรหรือ? เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
พอเห็นสีหน้าเช่นนั้นของถาวจวินหลัน นางก็เชื่อว่าถาวจวินหลันมีเรื่องสำคัญจริงถึงให้คนไปเรียกนางมา
ถาวจวินหลันก็ไม่อ้อมค้อม พูดให้เจียงอวี้เหลียนฟังตรงๆ ว่า “นอกเมืองเกิดโรคระบาดขึ้น”
ปฏิกิริยาของเจียงอวี้เหลียนเหมือนถาวจวินหลันก่อนหน้านี้ไม่มีผิด อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนสบถว่า “อะไรนะ?”
ถาวจวินหลันรู้ว่านางได้ยินชัดเจนแล้ว ดังนั้นจึงไม่พูดซ้ำอีก เพียงแค่มองนางนิ่งๆ รอดูนางได้สติกลับคืนมาเอง
บนใบหน้าของเจียงอวี้เหลียนที่เคยมีรอยยิ้มก็ค่อยๆ หุบลง สุดท้ายแล้วก็ตีหน้านิ่งเอ่ยว่า “เรื่องจริงอย่างนั้นหรือ? ได้อย่างไรกัน…”
“จวนของพวกเราเปิดโรงยา ด้วยเหตุนี้จึงรู้เรื่องนี้ก่อน” ถาวจวินหลันถอนหายใจเอ่ยต่อ “ข้าให้คนไปแจ้งท่านอ๋องแล้ว เรื่องนี้ปิดบังไม่ได้ และยิ่งไม่กล้าปิดบัง ทางที่ดีเจ้าเองก็วางแผนเอาไว้ให้เร็ว”
เสียงของเจียงอวี้เหลียนแหลมสูงขึ้นทันที “วางแผนให้เร็วอย่างนั้น? ข้าจะต้องวางแผนอะไรกัน?” หรือว่านางจะควบคุมโรคระบาดนี้ได้อย่างนั้นหรือ ไม่ปล่อยให้โรคระบาดแพร่กระจายไปทั่วอย่างนั้นหรือ?
ถาวจวินหลันถูกเสียงแหลมสูงของเจียงอวี้เหลียนทำให้ตกใจจนขมับเต้นตุบๆ แต่คราวนี้นางไม่มีเวลามาถกเถียงกับเจียงอวี้เหลียน เพียงแค่ขมวดคิ้วและพูดอีกว่า “ข้างนอกเองหากเกิดการแพร่กระจายของโรคระบาดจริง คงต้องปิดประตูเมือง และจำกัดการใช้เงินอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ หากอนุญาตให้ออกไม่อนุญาตให้เข้าก็ถือว่ายังดี แต่เกรงว่าคงจะเข้าออกไม่ได้ อีกอย่างหากโรคระบาดแพร่กระจายใครยังจะเดินผ่านประตูเมืองอีกเล่า? ถ้าหากอยากออกไปหลบ ก็มีเพียงแค่ตอนนี้เท่านั้นแล้ว หากรอต่อไปเกรงว่าคงจะไม่มีโอกาสแล้ว”
ด้วยนางคำนึงถึงเซิ่นเอ๋อร์ ถึงได้พูดเตือนเจียงอวี้เหลียน นางไม่มีทางเหนื่อยเพียงเพื่อเจียงอวี้เหลียนคนเดียวหรอก
เจียงอวี้เหลียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ฉับพลันนั้นกลับไม่สามารถตัดสินใจได้ สุดท้ายแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าจะพิจารณาให้ละเอียด”
หยุดไปครู่หนึ่ง ก็ถามอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นชายารองถาวจะหลบไปด้วยกันหรือไม่เล่า?”
ถาวจวินหลันมองเจียงอวี้เหลียนวูบหนึ่ง ก่อนหัวเราะออกมา “ข้าเป็นเช่นนี้ จะไปที่ไหนไหวอีก อีกอย่าง ซวนเอ๋อร์ก็ถูกส่งไปแล้ว ข้าเองก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีก จึงไม่จำเป็นต้องหนีแล้ว” นางจะต้องอยู่ที่เดียวกับหลี่เย่ ตอนแรกที่ส่งซวนเอ๋อร์และหมิงจูไป นางก็วางแผนเช่นนี้เอาไว้แล้ว
เจียงอวี้เหลียนเม้มริมฝีปาก ตอนนี้รู้สึกผิดหวังมาก ถาวจวินหลันเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งได้โปรยเสน่ห์ต่อหน้าหลี่เย่มากเลยมิใช่หรืออย่างไรกัน? เกรงว่านางคงคิดถึงเรื่องนี้มานานแล้ว ดังนั้นถึงส่งลูกชายลูกสาวทั้งสองคนออกไป ตัดความกังวลที่อยู่เบื้องหลังออก ส่วนตนเองในตอนนี้…หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็ควรส่งเซิ่นเอ๋อร์ไปก่อน!
แต่ตอนนี้รู้สึกผิดหวังก็สายเกินไปเสียแล้ว
เจียงอวี้เหลียนหงุดหงิดจนแทบจะกระอักเลือด แต่กลับจำใจด้วยจนปัญญา
ถาวจวินหลันมองความลังเลของเจียงอวี้เหลียนออก จึงพูดออกมาเรียบๆ “เรื่องนี้เจ้าเองก็คิดให้ดี หากจะส่งเซิ่นเอ๋อร์ออกไปหลบก็วางแผนให้เร็ว ไม่ว่าจะพาไปที่บ้านพักของตัวเอง หรือว่าบ้านพักของจวนก็ทำได้ทั้งนั้น”
ถาวจวินหลันไม่ได้พูดลงลึกมากนัก เตือนมาถึงตรงนี้แล้วก็ถือว่าพอสมควรแล้ว ถ้าพูดเยอะไปกว่านี้ก็ไม่รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนจะคิดอะไรอีก ก็เหมือนกับคราวที่แล้ว สุดท้ายทำไมเจียงอวี้เหลียนถึงได้เปลี่ยนไป นางก็พอเข้าใจอยู่บ้าง ดังนั้นครั้งนี้ต่อให้คำนึงถึงเซิ่นเอ๋อร์จริง นางเองก็ควรจะหยุดอยู่ที่ตรงนี้
เจียงอวี้เหลียนกลับยุ่งวุ่นวาย กัดฟันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถามถาวจวินหลันกลับไปว่า “สถานการณ์นอกเมืองตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ตอนนี้จากคนที่ไปตรวจโรคค้นพบเพียงคนเดียว แต่ไม่รู้ว่ามีอีกเท่าไรที่ยังไม่พบ” ถาวจวินหลันถอนหายใจ แล้วพูดความจริงอย่างจริงใจ “ข้าเองก็รู้ไม่ละเอียดนัก อย่างไรข้าและเจ้าก็อยู่ในเรือนในเหมือนกัน ย่อมมองไม่เห็นสถานการณ์จริง เพียงแค่ได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟังเท่านั้น”
เจียงอวี้เหลียนยิ้มเม้มปากแน่นขึ้น ไม่พูดอะไรออกมา
“เจ้ากลับไปคิดให้ดีเถิด” ถาวจวินหลันโบกมือ ไม่อยากดูท่าทีเช่นนี้ของเจียงอวี้เหลียนอีก อีกอย่างนางเองก็เริ่มเหนื่อยแล้ว แต่เดิมอาการป่วยก็ยังไม่หายดี ตอนนี้พอมีเรื่องนี้มาทำให้เครียดอีก ฉับพลันก็เริ่มรู้สึกรับไม่ไหว นางจึงปวดหัวตุบๆ
เจียงอวี้เหลียนทำได้แค่กลับไปก่อน ด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย รู้สึกว่าถาวจวินหลันจงใจ หากถาวจวินหลันหวังดีต่อตนเองจริงไฉนจะทำเช่นนี้? คราวที่แล้วก็ควรเกลี่ยกล่อมนาง แต่ถาวจวินหลันไม่เพียงไม่กล่อม แล้วยังรอจนตอนนี้ถึงพูดเรื่องนี้มาเยาะเย้ย นี่เห็นได้ถึงเจตนาไม่ดี
ถาวจวินหลันกลับไม่รู้ว่าเจียงอวี้เหลียนจะเห็นความหวังดีของตนเองเป็นอย่างนี้ นางให้หงหลัวนวดศีรษะให้ตัวเองอยู่ พลางสั่งให้คนไปส่งจดหมายเตือนไปทุกที่ เช่น ทางด้านถาวจิ้งผิงที่ไม่อาจขาดได้ แล้วยังมีจวนเพ่ยหยางโหว และคนที่มีความสัมพันธ์อันดี
แต่เดิมหงหลัวอยากกล่อมถาวจวินหลันไม่ให้คิดมากอีก แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ตอนนี้ ก็กลืนคำพูดลงไป แม้จะบอกว่าเจียงอวี้เหลียนช่วยจัดการดูแลจวนได้ แต่เรื่องเช่นนี้ทางด้านเจียงอวี้เหลียนกลับไม่สามารถฝากความหวังเอาไว้ได้ ยังจะต้องเป็นถาวจวินหลันรับผิดชอบเรื่องนี้ถึงจะได้
ดังนั้นต่อให้เจ็บปวดใจ หงหลัวก็ทำได้แค่ลอบถอนหายใจเท่านั้น จากนั้นก็ยิ่งตั้งใจนวดขมับให้ถาวจวินหลัน
ตอนนี้ถาวจวินหลันกลับไม่รู้ว่า คำพูดของตนเองได้ทำให้เกิดคลื่นลมอะไรขึ้นมาบ้าง