บัลลังก์พญาหงส์ - บทที่ 436 สั่นคลอน
ไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ ต่อให้เป็นเฉินฟู่และถาวจิ้งผิงต่างก็มองหลี่เย่เป็นตาเดียวกัน
หลี่เย่ยิ้มอย่างเรียบนิ่ง พูดว่า “ไม่ทราบว่ายาปี้เซียวตานที่กรมหมอหลวงคิดค้นเมื่อปีที่แล้วยังมีเหลืออยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ถาวซื่อป่วยมาหลายวันแล้ว ไม่มีทีท่าจะดีขึ้นเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ยาปี้เซียวตานเป็นยาลับที่คิดค้นขึ้นมา สำคัญที่การสงบจิตสงบใจ ปรับปรุงบำรุงสารอาหาร ใช้เป็นเวลานานจะเห็นผลดีอย่างมาก แต่เพราะใช้วัตถุดิบล้ำค่ามาก ดังนั้นจึงหาได้ยาก แม้จะบอกว่าด้านนอกก็มียาเม็ดบำรุงใจเจ็ดรสที่ผลลัพธ์พอๆ กัน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ดีกว่ายาปี้เซียวตาน
แต่ยาเม็ดบำรุงใจเจ็ดรสทำเองได้ที่บ้าน แต่ยาปี้เซียวตสนกลับมีให้แค่คนสำคัญในวังหลวงเท่านั้น
แม้แต่นางสนมยศต่ำในวังหลวงก็อย่าหวังว่าจะได้ใช้เป็นระยะเวลายาว
พอหลี่เย่พูดเช่นนี้ ก็ไม่ใช่คำขอธรรมดาจริงๆ แต่ขอแค่ยาปี้เซียวตานเล็กน้อยกลับนอกเหนือความคาดหมายของฮ่องเต้ไปไกล เขามองหลี่เย่อย่างประหลาดใจ ผ่านไปครู่หนึ่งฮ่องเต้ถึงหัวเราะและกล่าวอนุญาตเรื่องนี้ “เมื่อเป็นเช่นนี้ เป่าฉวน เจ้าบอกให้คนของกรมหมอหลวงนำไปส่งจวนตวนชินอ๋องด้วยตนเอง ต่อจากนี้ไปถาวซื่อก็ทานได้ตลอด กรมหมอหลวงทำเพิ่มขึ้นอีกชุดหนึ่งก็พอแล้ว”
หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกดีใจทันที หันไปยิ้มขอบพระทัยฮ่องเต้
ฮ่องเต้พยักหน้า ยิ้มมองหลี่เย่ทีหนึ่งถาวจิ้งผิงทีหนึ่ง “ตระกูลถาวไม่เพียงแค่บุรุษโดดเด่น แม้แต่สตรีก็ดีไม่แพ้บุรุษ! เรื่องที่ถาวซื่อทำ ข้าเองก็พอได้ยินมาบ้าง น่าดีใจจริงๆ ตนเป็นภรรยามีจิตใจเช่นนี้ได้ช่างน่าชื่นชมเสียจริง ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะความคิดนาง คิดว่าผู้ลี้ภัยจำนวนมากก็ยังคงไม่มีที่พักพิง”
ถาวจิ้งผิงยิ้มพลางเอ่ยขอบพระทัย “กระหม่อมขอบพระทัยฮ่องเต้ที่ชื่นชมท่านพี่พ่ะย่ะค่ะ ท่านพี่ก็แค่ใจดีมากเกินไปหน่อยเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ถึงได้คิดมากไปเสียหน่อย ยังดีที่ตวนชินอ๋องปล่อยให้ท่านพี่ได้ทำวิธีพวกนี้ พูดไปแล้วก็ยังถือว่าเป็นผลงานของตวนชินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เย่รีบพูดอย่างถ่อมตัว “ในอดีตเสด็จพ่อเคยสอนลูกว่าต้องมีจิตใจเมตตา ลูกไม่กล้าลืมพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถูกพูดเยินยอเช่นนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาเป็นอย่างมาก จึงโยนเรื่องแคว้นที่น่ารำคาญใจเหล่านั้นทิ้งไปชั่วคราว
วันรุ่งขึ้นกรมหมอหลวงก็นำยาปี้เซียวตานมาส่งให้ ถาวจวินหลันถึงรู้ว่าหลี่เย่ได้ทำเรื่องแทนตัวเองอีกหหนึ่งเรื่อง นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี รู้สึกเพียงความอบอุ่นเต็มเปี่ยม
แต่เพียงไม่นานก็รู้สึกหวาดกลัว หลี่เย่ใส่ใจนางเช่นนี้ ถ้าคนอื่นเห็นไม่รู้ว่าจะคิดเช่นไร อีกทั้งรอเรื่องนี้กระจายออกไป เกรงว่าจวนตวนชินอ๋องคงจะต้องโดดเด่นอีกแล้ว
แล้วยังมีทางด้านไทเฮา เกรงว่าคงจะรู้สึกไม่พอใจเช่นเดียวกัน อย่างไรเรื่องที่หลี่เย่โปรดปรานนางก็ถือเป็นปมหนึ่งในใจของไทเฮาแล้ว หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ไม่รู้ว่าไทเฮาจะไม่พอใจมากเพียงใด
ที่จริงแล้วต่อให้มีโอกาสเช่นนี้ หลี่เย่เองก็ควรขอสิ่งที่มีประโยชน์อย่างอื่น ไม่ว่าอะไรก็คงดีกว่ายากล่องหนึ่งเป็นแน่ ต่อให้ยานี้จะมีผลดีเช่นไร แต่ก็เป็นเพียงแค่ยากล่องหนึ่งเท่านั้น กินเข้าไปแล้วก็มีผลมากสุดแค่ให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ไม่อาจทำให้อายุยืนเป็นอมตะมิใช่หรืออย่างไร?
อีกอย่างแม้จะบอกว่ายาสูตรพิเศษนี้มีผลดีกว่ายาอื่น แต่ยาดีๆ ที่ทำขายกันด้านนอกก็ไม่เห็นว่าจะแย่กว่ากันนัก แล้วทำไมจะต้องมาสิ้นเปลืองเรื่องนี้ด้วย?
แต่หลังจากที่รู้สึกกล่าวโทษและเสียดายไปแล้ว สิ่งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ในก้นบึ้งหัวใจแท้จริงแล้วก็คือความอ่อนหวาน ยายังไม่ทันได้กิน แต่นางกลับรู้สึกว่าตนเองดีขึ้นมาไม่น้อย
ถาวจวินหลันแม้จะพูดว่าไม่คุ้มค่า แต่สุดท้ายแล้วบรรดาบ่าวรับใช้กลับไม่คิดเช่นนั้น ตวนชินอ๋องโปรดปรานถาวจวินหลันเพียงนี้ แล้วยังละเอียดอ่อนถึงเพียงนี้ ช่างเป็นผู้ชายที่แสนดีจริงๆ หากดูจากคู่สามีภรรยาของครอบครัวธรรมดาก็ไม่ได้เจอคนที่คิดถึงและใส่ใจผู้หญิงเพียงแค่คนเดียวเช่นนี้บ่อยนัก ดังนั้นจึงชวนให้อิจฉาจริงไ
แน่นอนว่าบ่าวรับใช้ในเรือนเฉินเซียงก็ยิ่งมีเกียรติยศมากขึ้นไปอีก อย่างไรความพิเศษนี้ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับ
ดังนั้นเรื่องที่ถาวจวินหลันได้รับยาปี้เซียวตานก็กระจายไปทั่วเหมือนลมพัดผ่าน เวลาเพียงไม่นานคนทั้งหมดภายในจวนตวนชินอ๋องต่างก็รู้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น
เรื่องนี้ไม่มีทางปิดบังได้ ตอนที่กรมหมอหลวงมาส่งยาก็มีคนจำนวนมากเห็น จะปิดบังก็ปิดไม่อยู่
ดังนั้นแม้ถาวจวินหลันจะรู้ว่าคนอื่นอาจอิจฉานางมาก แต่กลับไม่ขัดขวาง อีกทั้งครั้งนี้หยุดได้ก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งหน้าจะหยุดได้ ตั้งแต่ฮ่องเต้ประทานตำแหน่งเท่ากับชายาเอกให้นางตอนนั้น นางเองก็คาดเดาเอาไว้แล้ว ขอแค่นางยังอยู่กับหลี่เย่ ก็คงจะต้องเด่นเกินหน้าเกินตาเช่นนี้ไปตลอด
ไปๆ มาๆ นางเองก็เริ่มเคยชิน
ยาปี้เซียวตานไม่เหมือนกับยาธรรมดา อย่างน้อยก็ไม่ใช่สีน้ำตาลหรือสีดำ แต่เป็นสีเขียวอ่อน มีกลิ่นหอมของสมุนไพรแฝงอยู่ ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกสบายใจอย่างมาก
ของดีขนาดนี้ถาวจวินหลันกลับทำใจกินไม่ได้ จึงให้คนเอาไปเก็บไว้ก่อน
ทางด้านเรือนชิวอี๋ย่อมต้องได้ยินข่าวนี้ ตอนนั้นเจียงอวี้เหลียนกำลังกินของว่างอยู่ พอได้ยินเรื่องนี้ นางก็บีบขนมเม็ดบัวเป็นผงคานิ้วมือ
บ่าวรับใช้ภายในห้องพลันเงียบเป็นเป่าสาก บรรยากาศกดดันจนเซิ่นเอ๋อร์ร้องไห้เสียงดัง
เจียงอวี้เหลียนไม่พอใจ สุดท้ายก็หัวเราะหงุดหงิด “ช่างเถิดๆ ทำไมพวกเราจะต้องหาเรื่องวุ่นวายด้วย? ข้าจะทำเยอะมากเพียงใดก็ใช่ว่าเขาจะเห็น อีกทั้งยังไม่ต้องหวังว่าจะขอผลแระโยชน์ให้เช่นนี้ ไม่สู้หลบไปอยู่สงบดีกว่า! เก็บของ พวกเราเตรียมตัวไปพักผ่อนบ้านพัก!”
เจียงอวี้เหลียนโมโหมาก จึงสั่งให้คนไปเตรียมตัวเก็บของ และให้คนเฝ้าประตูไปเตรียมรถม้า
บรรดาบ่าวรับใช้แต่ละคนเงียบกริบไม่มีใครกล้าพูดกล่อม กลับเป็นถาวจือที่ได้ยินแล้วรีบมาทันที ดึงเจียงอวี้เหลียนเอาไว้พลางยิ้มและพูดว่า “เรื่องใหญ่เพียงใดกันเจ้าคะ เหตุใดชายารองเจียงถึงได้หุนหันพลันแล่นขึ้นมาเล่า?”
เจียงอวี้เหลียนทำเสียงฮึดฮัด “ออกไปหลบสักพักจะเป็นอะไร? ยามนี้ด้านนอกเกิดโรคระบาดขึ้นแล้ว จะอยู่รอความตายหรืออย่างไรกัน?” สุดท้ายแล้วก็มองไปทางถาวจือ พูดเสียงเย็น “ข้าบอกเจ้าสักคำ เจ้าเองก็ต้องคิดหาวิธีให้เร็วถึงจะดี จะไปหลบกับข้าหรือไม่เล่า? เรื่องแค่นี้ ข้ายังพอทำได้”
ถาวจือตะลึงไป คิดอย่างจริงจังถึงข้อเสนอที่เจียงอวี้เหลียนพูด สุดท้ายแล้วก็ส่ายหัว “ในเมื่อนอกเมืองเกิดโรคระบาดแล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือเจ้าคะ? อีกทั้งผ่านนอกเมืองออกไปตอนนี้ก็อาจจะอันตรายมากกว่าในเมืองเสียอีกเจ้าค่ะ” อย่างไรหากยังอยู่ภายในจวน โรคระบาดก็ยังไม่ได้แพร่กระจายเข้ามาง่ายถึงเพียงนั้น แต่นอกเมือง จะมีใครรู้เล่า?
“อีกทั้งตอนนี้เพิ่งมีโรคระบาดปรากฏ ถ้าพวกเรารีบไปเช่นนี้ ถึงเวลานั้นไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะคิดกับพวกเราอย่างไร? เกรงว่าเขาคงยิ่งคิดว่าพวกเราทอดทิ้งเขา ถึงตอนนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ชายารองถาวเองก็ยังไม่ไปมิใช่หรือ?” ถาวจือวิเคราะห์ให้เจียงอวี้เหลียนฟังอย่างละเอียด
“แต่เซิ่นเอ๋อร์…” เจียงอวี้เหลียนมีท่าทีตัดสินใจไม่ได้
ถาวจือยิ้ม แล้วพูดด้วยความมั่นใจว่า “กลัวอะไรเจ้าคะ? เซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกชายแท้ๆ ของท่านอ๋อง หรือว่าท่านอ๋องยังจะปล่อยให้เซิ่นเอ๋อร์เป็นอะไรไปได้? ต่อให้เป็นชายารองถาวเองก็ต้องคิดหาวิธีปกป้องไม่ใช่หรือเจ้าคะ? มิเช่นนั้นชื่อเสียงแม่บ้านแม่เรือนของนางคงจะหายไป อีกทั้งเพียงแค่ไม่สัมผัสกับคนนอก และอยู่ภายในเรือนตลอดเวลา แล้วจะไปติดโรคระบาดมาได้อย่างไรเจ้าคะ?”
ถาวจือพูดเป็นเหตุเป็นผล และแต่ละอย่างก็โน้มน้าวได้ดี เจียงอวี้เหลียนเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังมีท่าทีท้อแท้หมดกำลังใจ “เกรงว่าพวกเราทำเยอะเพียงใดก็คงไม่อยู่ในสายตาท่านอ๋อง”
ถาวจือยิ้ม “น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน ฝนเหล็กสักวันก็กลายเป็นเข็ม ต้องดูว่าพวกเรามีความมุ่งมั่นนี้หรือไม่เจ้าค่ะ อีกทั้งชายารองเจียงก็ยังมีเซิ่นเอ๋อร์ นี่ถือเป็นข้อดีอย่างมาก ต่อไปหากเซิ่นเอ๋อร์เรียบร้อยเชื่อฟัง ท่านอ๋องมีหรือจะไม่ชอบ? ซวนเอ๋อร์บ้าอำนาจแบบนั้น กลับชวนให้หนักใจ”
เจียงอวี้เหลียนถูกถาวจือกล่อมเช่นนี้ ก็เริ่มรู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง บวกกับอารมณ์โมโหเริ่มสงบลง ยิ่งเป็นการสั่นคลอนการตัดสินใจก่อนหน้านี้
แน่นอนว่าความวุ่นวายในเรือนชิวอี๋นี้ไม่สามารถปิดบังได้ ถาวจวินหลันได้ยินเรื่องนี้โดยเร็ว ถาวจวินหลันทำได้แค่ส่ายหน้าให้ความลังเลของเจียงอวี้เหลียน “นางชอบฟังคำพูดของคนอื่น ก็ให้นางฟังไปเถิด แต่ถาวจือคนนี้…”
ช่วงนี้วุ่นวายมากเกินไปหน่อย แล้วยังไปผูกสมัครพรรคพวกกับทางเรือนชิวอี๋ ประเมินจับทางความคิดของเจียงอวี้เหลียนได้อย่างง่ายดาย มองข้ามไม่ได้เลยจริงๆ
หงหลัวพูดอยู่ข้างๆ “ทำตัวไม่น่าให้อภัย คุณชายเซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกของชายารองเจียง ทำไมท่านจะต้องเหนื่อยแทนนางขนาดนี้ด้วยเจ้าคะ? ถ้าพูดไม่น่าฟัง ถาวจือก็เป็นเพียงอี๋เหนียงเท่านั้น นางคงไม่กล้าเอาความคิดพวกนี้มาพูดกับท่าน ถ้าหากถึงเวลานั้นจริง เพียงประโยคเดียวก็ไล่นางออกไปได้แล้วเจ้าค่ะ”
สุดท้ายแล้วหงหลัวก็เตือนอีกครั้ง “ที่จริงแล้วควรต้องระวังทางด้านพระชายามากกว่าเจ้าค่ะ ท่านจะไปบอกนางเรื่องโรคระบาดสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ? เพื่อไม่ให้คนอื่นเอาไปพูดว่าท่านตั้งใจปิดบังนาง”
ถ้าหงหลัวไม่เอ่ยเตือน ถาวจวินหลันก็ลืมหลิวซื่อไปเลยจริงๆ อย่างไรตอนนี้หลิวซื่อก็แทบจะไม่มีตัวตนอยู่แล้ว อยู่ในจวนก็เหมือนไม่อยู่ เผลอลืมไปก็ไม่แปลก
ถาวจวินหลันพยักหน้า “เรื่องนี้เจ้าดูเอาเองเถิด ไม่ต้องมารายงานข้า” ที่จริงแล้วพูดสักหน่อยก็เป็นเหมือนเดิมไม่ใช่หรือ?
“เจ้าให้คนไปบอกหมอพวกนั้น หากสถานการณ์เร่งด่วน ก็ให้พวกเขาดูแลตนเองก่อนเถิด อีกทั้งหากมียาที่ป้องกันได้ก็ให้รีบเขียนเทียบยาออกมา ภายในจวนจะเป็นคนคิดหาวิธีเอาวัตถุดิบมา ขอแค่มีเทียบยาก็จะจัดการง่ายขึ้น” นางเป็นกังวลเรื่องที่เกิดขึ้นนอกเมืองมากกว่า อย่างไรหมอเหล่านั้นก็เป็นหมอที่ถูกจ้างมาตรวจโรค คงไม่ดีหากจะให้ไปเสี่ยงอันตราย หากฝ่ายตรงข้ามมีใจก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าหากไม่มีแล้วทำไมจะต้องไปฝืนใจด้วยเล่า?
เมื่อพูดถึงเทียบยาป้องกันโรคระบาดนั้นนางเองก็ไม่ได้มีความหวัง อย่างไรหากมีจริงก็คงเสนอมานานแล้ว ทำไมจะต้องรอจนถึงตอนนางเอ่ยปากเล่า? พูดเช่นนี้ก็เพื่อให้หมอคิดหาวิธีให้เร็วขึ้นเท่านั้น
พูดให้ไม่น่าฟังก็คือถ้าหากว่าครั้งนี้จวนตวนอ๋องมีวิธีรักษาโรคระบาดได้ก่อน จวนตวนอ๋องก็ถือว่าสร้างผลงานครั้งใหญ่แล้ว ถึงเวลานั้นหลี่เย่คงอาศัยโอกาสนี้ก้าวขึ้นสูงไปอีกขั้นหนึ่ง และได้รับความสำคัญมากกว่าเดิม อีกทั้งสู้กับองค์รัชทายาทได้มั่นใจมากกว่าเดิม
แม้จะบอกว่ามีความหมายเหมือนใช้โอกาสจากโรคระบาดนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นความจริง ในใจของนางก็คิดเช่นนั้นจริงๆ และหวังเช่นนั้นจริง อย่างไรเรื่องได้เกิดขึ้นแล้วแล้วนางจะทำอะไรได้? นางเป็นเพียงสตรี สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงสิ่งเหล่านี้เท่านั้น